ตอนที่ 268 ร้องคาราโอเกะกันเถอะ
ตอนที่ 268 ร้องคาราโอเกะกันเถอะ
พอหลายคนเริ่มส่งเสียงดัง เฉินเจียเหอก็เตือนพวกเขาว่า “พวกนายช่วยลดเสียงลงหน่อย มันรบกวนสมาธิของภรรยาฉัน”
ทันทีที่เฉินเจียเหอเตือน ในที่สุดพวกเขาก็หยุดโต้เถียงกัน
ฟางจิ้นเป่าเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเห็นทรงผมของลู่เจิ้งอวี่ ดวงตาของเขาก็สว่างวาบขึ้น “โอ้ น้องสะใภ้นี่ฝีมือดีมากจริง ๆ ด้วย พอเปลี่ยนทรงผมเป็นแบบนี้ เจิ้งอวี่ก็ดูสมาร์ทขึ้นทันตาเลย”
ช่วงนี้ลู่เจิ้งอวี่และฟางจิ้นเป่างานยุ่งมาก พวกเขาอยู่ทำงานในอู่ซ่อมรถไฟตลอดทั้งวัน ไม่ค่อยได้มีเวลาออกไปไหนมากนัก ทำให้ผมของพวกเขายาวเฟื้อยและยุ่งเหยิง ก่อนหน้านี้เขาเคยไว้ผมแสกกลางแบบโบราณ ดังนั้นพอเส้นผมเริ่มยาว มันจึงดูกระเซอะกระเซิงเป็นพิเศษ
หลินเซี่ยจัดการเล็มผมส่วนหลังและด้านข้างให้สั้นลงตามรูปร่างของศีรษะและใบหน้า โดยคงเหลือส่วนหน้าให้ยาวแบบเดิม พอเป็นแบบนี้ก็ทำให้ช่วงคอดูยาวขึ้น ขับเน้นโครงหน้าให้เด่นชัด ส่งเสริมให้เขากลายเป็นชายหนุ่มที่มีพลังมากขึ้น
ในขณะที่หลินเซี่ยกำลังตัดผมให้กับลู่เจิ้งอวี่อย่างจริงจัง เธอก็พูดกับชุนฟางว่า “ชุนฟาง พี่จิ้นเป่าคนนี้อยากโกนผมกับหนวดเครา วานเธอช่วยจัดการเสริมหล่อให้เขาหน่อย คืนนี้เขาจะไปเที่ยวที่ห้องเต้นรำ ดังนั้นต้องเคลียร์ใบหน้าให้ดูดี”
“ไม่เอา…” ฟางจิ้นเปามองไปที่ลู่เจิ้งอวี่ที่กลายเป็นพ่อหนุ่มรูปงาม จากนั้นหันกลับมามองตัวเองที่ทรงเหมือนคนจรจัดในกระจก เมื่อเขาเห็นว่าชุนฟางถือมีดโกนรอแล้ว เขาก็ได้แต่กลืนน้ำลายอึกใหญ่และลังเลที่จะพูด
ชุนฟางพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “พี่ใหญ่ เชิญนั่งตรงนี้ได้เลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะโกนหนวดเคราให้”
ฟางจิ้นเป่าหัวเราะเหอะ ๆ ยังคงลังเลที่จะหย่อนก้นลงนั่ง
ทันทีที่เขายกมือขึ้นเกาหัว เซี่ยไห่และคนอื่น ๆ ก็เข้าใจทันทีว่าเขากำลังคิดจะทำอะไร เซี่ยไห่หยอกล้อเขาทันที “เหล่าฟาง เป็นอะไรของนาย? อย่าบอกนะว่านายไม่อยากโกนแล้ว แต่อยากได้ทรงผมเดียวกันกับเจิ้งอวี่?”
ฟางจิ้นเป่าหัวเราะอีกครั้งเมื่อสหายพี่น้องมองทะลุความคิดของเขาอย่างปรุโปร่ง แล้วพูดต่อว่า “ใคร ๆ ก็สนใจรูปร่างหน้าตาของตัวเองกันทั้งนั้น ฉันแค่กังวลเกี่ยวกับมันนิดหน่อย ก่อนหน้านี้ฉันเคยโกนหนวดแล้ว แต่ความหล่อของฉันมันเป็นที่สะดุดตาเกินไป ดังนั้นฉันเลยคิดว่า… เห็นแก่สายตาของทุกคน ฉันควรไว้หนวดเคราตามเดิมดีกว่า จะได้ไม่ทำให้พวกนายหมองเมื่อฉันโกนมันทิ้งอย่างกะทันหัน”
“วาจาร้อยเล่ห์ของนายหลอกคนอื่นไม่สำเร็จหรอกนะ”
ถังจวิ้นเฟิงเปลี่ยนมานั่งไขว้ขา ทำเสียงเข้มเหมือนเป็นตาลุงจอมเข้มงวด “ไม่ต้องกังวล พวกเราไม่ได้ไร้ภูมิต้านทานขนาดนั้น รีบโกนซะ”
ในที่สุดฟางจิ้นเป่าก็เปลี่ยนใจ “ฉันว่าฉันไม่เอาแล้วดีกว่า”
ถังจวิ้นเฟิงและเซี่ยไห่หันขวับมองหน้ากัน จากนั้นพวกเขาก็ยืนขึ้นและผลักฟางจิ้นเป่าให้ไปนั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นก็โบกมือเรียกชุนฟาง “มาโกนให้เขาได้เลย”
ตอนนี้ฟางจิ้นเป่ารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นปลาบนเขียง เขาร้องคร่ำครวญ “พวกนายอย่าโหดร้ายขนาดนี้สิ ให้น้องสะใภ้เป็นคนโกนให้ดีกว่า”
ชุนฟางที่ถือมีดโกนค้างไว้นานแล้วไม่รู้จะทำอย่างไรดี
“ฉันเอง”
ถังจวิ้นเฟิงคว้ามีดโกนจากมือหล่อนโดยตรง จากนั้นก็โกนแฉลบเข้าที่ปอยผมด้านหลังศีรษะของฟางจิ้นเป่า
ทันใดนั้นฟางจิ้นเปาก็ร้องเสียงดังเหมือนหมูโดนเชือด “ถังจวิ้นเฟิง ทวดแกสิ!”
ฟางจิ้นเป่ามองเส้นผมของตัวเองที่หายไปผ่านกระจก จากนั้นมองหลินเซี่ยด้วยสายตาอ้อนวอน “น้องสะใภ้ พอเป็นแบบนี้แล้วพอจะแก้ทรงได้ไหม?”
หลินเซี่ยพยายามกลั้นขำ ก่อนจะตอบกลับอย่างมืออาชีพที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ “ได้ค่ะ”
จากนั้นเธอก็จ้องมองไปที่เซี่ยไห่และถังจวิ้นเฟิง “พวกคุณอย่าเอาแต่รังแกคนอื่นสิ”
ฟางจิ้นเป่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินว่ามันสามารถแก้ไขได้ จากนั้นเขาก็ยอมนั่งอยู่เฉย ๆ พร้อมกับสาปแช่งและกล่าวหาผู้กระทำผิดทั้งสอง ลามไปถึงขุดเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมาโจมตี
หลินเซี่ยเป่าผมของลู่เจิ้งอวี่ให้แห้ง จากนั้นยิ้มให้กับคนในกระจกแล้วพูดว่า “เป็นยังไงบ้าง? พอใจกับผลที่ได้หรือเปล่า?”
ลู่เจิ้งอวี่พยักหน้าอย่างหนัก “พอใจมากครับ พี่สะใภ้ ผมชอบมากเลย”
เขามองดูตัวเองในกระจก ทันใดนั้นก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
เขายังหล่อเหมือนที่คนอื่นพูดจริง ๆ
เมื่อลู่เจิ้งอวี่ตัดผมใหม่แล้วเห็นว่าตัวเองดูดีแค่ไหน ความมั่นใจของเขาก็เพิ่มสูงขึ้นทันที
เขาเหลือบมองไปทางหญิงสาวผู้อ่อนโยนและพูดน้อยที่กำลังรินน้ำเสิร์ฟให้กับทุกคนโดยไม่ตั้งใจ
ลู่เจิ้งอวี่ผละออกจากเก้าอี้ไปรวมตัวกับคนอื่น ๆ ฟางจิ้นเป่าก็รีบนั่งลงแทนที่เขา “น้องสะใภ้ ช่วยฉันด้วยนะ ฉันไม่เอาทรงผมแบบเดียวกับเจิ้งอวี่ อย่างน้อยขอแค่ไม่ต้องโกนผมจนหมดหัว สภาพเวลาฉันโกนหัวดูไม่ดีจริง ๆ”
หลินเซี่ยพูดยิ้ม ๆ “คุณไม่ได้อยากจะสร้างความสบายใจให้กับภรรยาหรอกเหรอ?”
“ฉันคุยโวไปอย่างนั้นเอง ด้วยอายุของฉันและงานสกปรกซอมซ่อที่ฉันทำอยู่ แม้แต่ผู้ชายเห็นสภาพฉันแล้วยังวิ่งหนีกระเจิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงสาว ๆ คนไหน น้องสะใภ้ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย ช่วยเลือกทรงผมที่ทำให้ฉันดูภูมิฐานขึ้นหน่อยก็ได้ หน้าตาฉันจะได้ดูน่ากลัวน้อยลง”
“โอเค ฉันจะแก้ทรงให้ค่ะ”
หลินเซี่ยหยิบปัตตาเลี่ยน พอมองเห็นผมที่แหว่งจนเห็นหนังหัวด้านหลังของฟางจิ้นเป่า เธอก็อดบ่นหันไปบ่นกับผู้ชายทั้งสองที่เล่นพิเรนทร์ไม่ได้ “เถ้าแก่เซี่ย เจ้าหน้าที่ถัง พวกคุณเล่นแรงเกินไปหน่อยนะ เคยได้ยินคำนี้ไหม? หัวแตกได้ แต่ไม่ควรล้อเล่นกับทรงผม พวกคุณสักแต่แกล้งพี่จินเปาจริง ๆ เลย”
“ใช่แล้ว คนพวกนั้นใช้ไม่ได้ ใช้ไม่ได้”
เซี่ยไห่โต้กลับ “ก็เขาบอกเองนี่ว่าเขาอยากโกนหัว”
หลินเซี่ยไถด้านหลังศีรษะของฟางจิ้นเป่าให้สั้นเตียน เหลือผมด้านหน้าไว้อีกนิดหน่อย ถึงแม้จะดูแปลกตา แต่ทรงผมนี้ก็ทำให้เขารู้สึกมั่นใจมากขึ้น ฟางจิ้นเป่าแสดงสีหน้าว่าเขาพอใจมาก
ถ้าผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งรวมตัวกันอยู่ในร้านตัดผมนานกว่านี้ อาจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจของร้าน เซี่ยไห่จึงชวนพวกเขาออกไป
“มาเถอะ ยังเช้าอยู่ ไปนั่งคุยกันที่ห้องเต้นรำสักหน่อย ไม่รู้ว่าคราวหน้าพวกเราจะได้เจอกันอย่างพร้อมหน้าแบบนี้อีกไหม”
ถังจวิ้นเฟิงมองเข้าไปในสถานที่อันพลุกพล่าน ก่อนจะถอยห่างออกไปโดยไม่รู้ตัว “ฉันต้องไปแล้ว”
“รีบร้อนไปไหน? นายเข้าเวรตอนกลางคืนไม่ใช่หรือไง? ตอนนี้เพิ่งจะกี่โมงเอง?”
เซี่ยไห่พูดต่อ “ฉันไม่ได้จะชวนพวกนายเข้าไปเต้น เราขึ้นไปที่ชั้นสองกัน ฉันมีเรื่องอยากจะบอกกับพวกนายอย่างเป็นทางการ”
ถังจวิ้นเฟิงไม่สนใจ “เรื่องอะไร? ไม่ต้องคิดจะโน้มน้าวฉันให้ลาออกมาทำงานที่ห้องเต้นรำเลยนะ ไปคุยกับเจิ้งอวี่โน่น”
“เรื่องเกี่ยวกับไอดอลของนาย พี่ใหญ่ของฉัน”
เมื่อได้ยินว่าเซี่ยไห่มีเรื่องจะพูดเกี่ยวกับสหายเซี่ยเหลย ดวงตาของถังจวิ้นเฟิงก็สว่างขึ้น
“วีรบุรุษสงครามงั้นเหรอ? มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาหรือเปล่า?”
เซี่ยไห่แสร้งทำเป็นอุบอิบ “ไปคุยกันชั้นบนก่อนเถอะ”
ถังจวิ้นเฟิงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยินยอมตามพวกเขาขึ้นไป
ทุกคนไม่ลืมกล่าวคำอำลากับหลิวกุ้ยอิงและคนอื่น ๆ
เซี่ยไห่พูดว่า “พี่อิงจื่อ เสี่ยวเยี่ยน พวกเราขอตัวก่อน ไว้ตอนเย็นอย่าลืมมาเที่ยวชมแสงสีที่นี่นะครับ ถนนน่าจะมีชีวิตชีวาขึ้นมาก”
“อืม พวกคุณไปทำธุระต่อเถอะ”
เซี่ยไห่พาสหายพี่น้องของเขาขึ้นไปบนชั้นสอง
หลังจากได้รับคำแนะนำจากหลินเซี่ยในครั้งนั้น เซี่ยไห่ก็เริ่มโปรเจ็กต์ใหม่ของเขาทันที เขาทำการสั่งซื้อเครื่องเล่นคาราโอเกะและซื้อทีวีสี วีซีดี รวมถึงอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ และติดตั้งไว้ในห้องส่วนตัวชั้นบน
ตั้งใจว่าจะทดสอบระบบการใช้งานของมันด้วยตัวเองก่อน
ทันทีที่เขาเดินเข้าไปและปิดประตู เซี่ยไห่ก็หันไปหยิบแผ่นวีซีดีออกมาเปิดในเครื่องเล่น “มา มาร้องคาราโอเกะกันเถอะ”
“ว่าไงนะ?” ทุกคนต่างไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาพูด
เซี่ยไห่อธิบาย “ร้องเพลงไงล่ะ”
“บอกมาก่อนว่าเกิดเรื่องอะไรกับพี่ใหญ่ของนายกันแน่?” ถังจวิ้นเฟิงถามอย่างไม่อดทน
เซี่ยไห่ไม่คิดจะปิดบังอะไรอีกต่อไป พูดตรง ๆ ว่า “พี่ใหญ่ของฉันกำลังจะย้ายมาอยู่ที่ไห่เฉิงอย่างถาวร”
“ย้ายมาเมื่อไหร่?” ถังจวิ้นเฟิงรีบถามกลับด้วยสีหน้ายินดี มองไปที่เซี่ยไห่อย่างคาดหวัง
“เร็ว ๆ นี้”
เฉินเจียเหอพูดเสริมจากด้านข้าง “ฉันหาบ้านที่เงียบสงบเหมาะกับเขาได้แล้ว ไว้เหล่าเซี่ยค่อยหาเวลาไปเซ็นสัญญา แล้วจ้างวานคนให้เข้าไปทำความสะอาด พวกเขาสามารถเข้าอยู่ได้ทันทีที่มาถึง”
“เรื่องใหญ่โตขนาดนี้แท้ ๆ ทำไมพวกนายถึงเพิ่งมาบอกเราล่ะ?”
ถังจวิ้นเฟิงมองไปที่เซี่ยไห่และเฉินเจียเหอ แสดงความไม่พอใจต่อพวกเขา “ช่วงนี้พวกนายสองคนดูสนิทชิดเชื้อกันมากเลยนี่ พวกเราทุกคนนับถือกันเป็นพี่น้องแท้ ๆ นี่พวกนายคิดจะแยกไปตั้งกลุ่มย่อยกันหรือไง?”
เหล่าฟางกับเจิ้งอวี้ทำงานอยู่ที่เดียวกัน พวกเขาเจอหน้ากันตลอดเวลา เหล่าเซี่ยกับเหล่าเฉินยังมาอยู่ใกล้กันอีก พอมีเรื่องอะไรก็ตามอีกฝ่ายกลับเก็บเงียบไม่ยอมบอกทันที นี่ยังถือว่าเขาเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า?
เซี่ยไห่ใส่แผ่นดิสก์ลงในเครื่องเล่นวีซีดี จากนั้นกลอกตาใส่เขาพลางบ่นว่า “ใครใช้ให้นายเข้าเวรอยู่ที่สถานีรถไฟได้ทุกวี่ทุกวันโดยไม่ยอมออกมาข้างนอกเลยล่ะ?”
เขาพูดต่อ “ไม่ต้องกังวลไป ถ้าเขามาถึงเมื่อไหร่ฉันจะนัดพวกนายให้มาเจอเขาแน่”
“อย่าลืมว่าฉันยังมีอีกเรื่องสำคัญที่จะประกาศให้ทุกคนทราบ”
“เรื่องอะไรอีก? อย่าเอาแต่เกริ่นสิ” ถังจวิ้นเฟิงไม่อดทนฟังเขาเกริ่นอีกแล้ว
“นายสละโสดแล้วงั้นเหรอ?” ฟางจิ้นเป่ามองเขาแล้วถามด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
เมื่อถังจวิ้นเฟิงได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะถามอย่างไม่แน่ใจว่า “หรือว่านายกับลูกพี่ลูกน้องของฉัน…”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
หนุ่มๆ พวกนี้เวลาแกล้งกันนี่ก็ไม่ต่างจากเด็กอนุบาลแกล้งเพื่อนเลยนะเนี่ย ดีที่เซี่ยเซี่ยยังแก้ทรงผมให้ได้อยู่
อะไรคะพี่ไห่ มีอะไรรีบพูดอย่าอมพะนำนาน เดี๋ยวได้เข้าใจผิดกันล่ะ
ไหหม่า(海馬)