ตอนที่ 269 ทำตัวเหมือนพ่อ
ตอนที่ 269 ทำตัวเหมือนพ่อ
เมื่อได้ยินถังจวิ้นเฟิงพูดถึงถังหลิง และมองดูด้วยสายตาที่คลุมเครือ เซี่ยไห่ก็กลอกตาไปทางถังจวิ้นเฟิงอีกครั้ง “นายพยายามจะสื่อถึงอะไร? ลูกพี่ลูกน้องนายไม่มีโอกาสหรอก ไม่ต้องมาวุ่นวายกับภาพนกยวนยาง(1)เลย”
ฟางจิ้นเป่าซุบซิบ “แปลว่ามีคนอื่นอยู่แล้วเหรอ?”
“พี่ไห่ สุดท้ายนายก็ยอมสละโสดแล้วสินะ? ยินดีด้วยแล้วกัน”
ยกเว้นเฉินเจียเหอ อีกหลายคนพยายามคาดเดา
“ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ แล้วก็ไม่สละโสดด้วย มันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับปัญหาส่วนตัวของฉัน” เซี่ยไห่มองพวกเขาพลางเผยรอยยิ้มดูลึกลับ “แต่มันมีอะไรเกี่ยวข้องกับเซี่ยเซี่ยต่างหาก พวกนายจะรู้เองเมื่อถึงเวลา”
“บอกมาตรง ๆ เถอะน่า มันเกี่ยวอะไรกับน้องสะใภ้กันแน่?”
เมื่อพูดถึงหลินเซี่ย พวกเขายิ่งนึกเบาะแสอะไรไม่ออกเลย
ถังจวิ้นเฟิงมองเซี่ยไห่และเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าแปลก ๆ ดวงตาของเขาหรี่ลงจนเล็กเท่าเม็ดถั่ว
สองคนนี้กำลังทำอะไรอยู่กันแน่?
เขานึกถึงพฤติกรรมผิดปกติทั้งหมดของเซี่ยไห่เวลาอยู่ต่อหน้าหลินเซี่ยก่อนหน้านี้ ในใจเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยไห่และหลินเซี่ยมากขึ้น
เขาเคยเตือนเซี่ยไห่มาก่อนว่าควรระวังไม่ให้ถูกเฉินเจียเหอทุบตีเอาได้
ตอนนี้ดูเหมือนว่าสายตาของเซี่ยไห่ที่มีต่อหลินเซี่ยไม่ใช่การล้อเล่นไร้สาระอย่างแน่นอน
เขามองไปทางเซี่ยไห่ พยายามอ่านข้อมูลบางอย่างจากสีหน้าอันบูดบึ้ง
เซี่ยไห่โบกมือ “อย่ามองแบบนั้นสิ เดี๋ยวนายจะรู้เองเมื่อพี่ชายฉันกลับมา ฉันยังบอกนายตอนนี้ไม่ได้”
เฉินเจียเหอเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย เขามองไปทางถังจวิ้นเฟิงแล้วถามว่า “จริงสิ นายอยู่ที่สถานีรถไฟทั้งวัน เคยเห็นผู้หญิงคนนั้นอีกไหม?”
ความสนใจของฟางจิ้นเป่าและลู่เจิ้งอวี่ถูกคำพูดของเฉินเจียเหอดึงดูดอีกครั้ง ทั้งคู่ต่างหันมองมาที่เขา “ผู้หญิงคนไหน?”
เฉินเจียเหอโบกมือให้ถังจวิ้นเฟิงเล่าให้พวกเขาฟัง
ถังจวิ้นเฟิงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “แม่แท้ ๆ ของหู่จือ”
เมื่อฟางจิ้นเป่าได้ยินประโยคนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป ก่อนตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืน พลางลืมตาอย่างตื่นเต้น “อะไรนะ? ทำไมหล่อนถึงยังโผล่หน้ามาอีก? คิดจะมาแย่งเด็กไปงั้นเหรอ?”
ถังจวิ้นเฟิงดึงเขาและขอให้นั่งลง “เหล่าฟาง ลดเสียงนายลงหน่อย”
“โอ้ เล่ามาหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง” ฟางจิ้นเป่านั่งลงอีกครั้ง
เนื่องจากหัวข้อนี้เป็นประเด็น บรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่ารื่นรมย์แต่เดิม จึงกลับกลายเป็นบรรยากาศจริงจังขึ้นมาทันที
สีหน้าของทุกคนดูเคร่งขรึมมาก พวกเขาทั้งหมดมองไปทางถังจวิ้นเฟิง และเฝ้ารอคำตอบ
“ครั้งสุดท้ายที่ฉันอยู่สถานีรถไฟ เห็นแม่ของหู่จือเข้ามาที่สถานีรถไฟกับใครบางคน ตอนนั้นตรงกับเป็นช่วงเทศกาลฤดูใบไม้ผลิ และพวกเขาก็หายตัวไปหลังจากนั้น” ถังจวิ้นเฟิงพูดต่อ “ตั้งแต่นั้นมา ฉันก็ให้ความสนใจเรื่องนี้มาตลอด แต่ไม่ได้เจอหล่อนอีกเลยสักพักใหญ่ เดาว่าหล่อนน่าจะออกจากไห่เฉิงไปแล้ว”
ฟางจิ้นเป่าถามอย่างเร่งรีบ “ฉันจำได้ว่าตอนที่หล่อนทิ้งหู่จือ จดหมายที่หล่อนให้มาเหมือนจะบอกว่าพ่อแม่ของหล่อนแนะนำให้รู้จักกับผู้ชายอีกคนไม่ใช่เหรอ? แล้วตอนนั้นหล่อนมาทำอะไรที่ไห่เฉิง? เป็นไปได้ไหมว่าหล่อนต้องการพาหู่จือกลับไปด้วย?”
ถังจวิ้นเฟิงตอบกลับอย่างจนใจว่า “ถ้าหล่อนต้องการพาเขากลับไปด้วย เราก็คงทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายแล้วหล่อนก็เป็นแม่แท้ ๆ ของเด็ก”
ฟางจิ้นเป่าถ่มน้ำลายลงพื้น “แม่แท้ ๆ งั้นเหรอ? ไร้สาระสิ้นดี มีแม่ผู้ให้กำเนิดที่ไหนทิ้งลูกในไส้ได้ลงคอ? ตอนนั้นหู่จืออายุไม่ถึงหนึ่งขวบด้วยซ้ำ แต่หล่อนก็ทิ้งเด็กไว้หน้าประตูบ้านเจียเหออย่างไร้ความรับชอบ แล้วป่านนี้หล่อนจะกลับมาเอาลูกคืนได้ยังไง?”
“เหล่าฟาง อย่าเพิ่งบุ่มบ่าม บางทีหล่อนอาจแค่ผ่านมาทางไห่เฉิงเพื่อทำธุระก็ได้ ถ้าต้องการเจอลูกจริง เป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่มีข่าวคราวเกี่ยวกับหล่อนนานถึงวันนี้”
เซี่ยไห่ดื่มชาและถอนหายใจ “อันที่จริงเมื่อคิดดูแล้ว มันไม่ง่ายเลยสำหรับหล่อนที่เป็นผู้หญิง กลายเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวในวัยยี่สิบต้น ๆ แถมไม่มีญาติหรือครอบครัวที่นี่ด้วยซ้ำ ไม่มีใครเลยที่พึ่งพาได้ พ่อแม่ของหล่อนคงต้องการพาหล่อนกลับไปอยู่กับครอบครัวด้วยกัน แถมพ่อแม่ฝั่งสามีที่เป็นผู้บัญชาการกองร้อยก็ดันเสียชีวิตซะก่อน ถ้าหล่อนไม่ทิ้งเด็กไว้ให้เรา แล้วหล่อนกับลูกจะอยู่กันยังไง?”
ฟางจิ้นเป่าตะคอกอย่างเย็นชา “แต่หล่อนก็ไม่ควรรีบร้อนแต่งงานหรือเปล่า ถ้าภรรยาฉันทิ้งลูกในไส้และเจอผู้ชายคนใหม่หลังจากฉันตายไม่ถึงครึ่งปี ฉันคงต้องโกรธมากจนคลานขึ้นมาจากหลุมศพแน่ เป็นสามีภรรยาหนึ่งวันผูกพันกันตลอดชีวิต คนเรามันจะใจร้ายขนาดนี้ได้ยังไงกัน?
นอกจากนี้หล่อนยังไม่ทิ้งเงินชดเชยที่กองทัพมอบให้ไว้ให้ลูกเลยสักแดง เอาเงินทั้งหมดออกไปใช้เวลาอยู่กับคนอื่น แค่คิดเรื่องนี้ฉันก็รู้สึกแย่แทนผู้บัญชาการกองร้อยจริง ๆ”
ฟางจิ้นเป่าเป็นคนตรงไปตรงมา ดวงตาเปลี่ยนเป็นแดงก่ำ เมื่อพูดถึงผู้บัญชาการกองร้อยที่เสียสละ
รอยยิ้มบนใบหน้าของคนอื่นหายไป พวกเขาทั้งหมดเริ่มจริงจังมากขึ้น
เฉินเจียเหอพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย หู่จือเติบโตมาอย่างมีความสุขกับพวกเราก็พอแล้ว เมื่อคิดดูดี ๆ ฉันรู้สึกโชคดีมาก โชคดีที่หล่อนทิ้งเด็กไว้กับฉัน ถ้าหล่อนพาเด็กไปที่อื่นและแต่งงานใหม่ ฉันเกรงว่าหล่อนจะไม่เห็นลูกติดอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ และไม่รู้ว่าลูกจะอยู่หรือตายไปกับหล่อน
ผู้บัญชาการกองร้อยเสียสละเพื่อเรา มันเป็นความรับผิดชอบของเราที่ต้องเลี้ยงดูลูกของเขา ฉันดีใจมากที่มีลูกชาย ห้าปีที่ผ่านมาฉันไม่เคยรู้สึกว่าเขาเป็นภาระเลย กลับสนุกเสียอีกกับการดูเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่”
แม้การเลี้ยงลูกจะเป็นงานหนัก แต่การเฝ้าดูเด็กคนหนึ่งเติบโตขึ้นทีละน้อยก็ทำให้รู้สึกถึงความสำเร็จที่คนอื่นไม่สามารถสัมผัสได้
“เจียเหอ นายจะเปลี่ยนแซ่ของหู่จือเมื่อไหร่? ถ้าจะเปลี่ยนชื่อแซ่ นายต้องบอกความจริงเกี่ยวกับช่วงชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาให้ฟังด้วย” ฟางจิ้นเป่ามองเขาแล้วถาม
หู่จือเป็นลูกชายคนเดียวของผู้บัญชาการกองร้อย ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้เขาใช้แซ่เฉินตลอดไป
หลังจากได้ฟังคำถามของฟางจิ้นเป่า เฉินเจียเหอลดสายตาลงเล็กน้อย และพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “รอจนกว่าเขาจะโตมากกว่านี้”
“ก่อนหน้านี้พอฉันเห็นว่าผู้ชายร่างใหญ่อย่างนายกลายเป็นพ่อหู่จือโดยที่นายไม่สนใจจะแต่งงานซะที ฉันก็แอบรู้สึกเศร้าใจจริง ๆ นายน่ะใจแข็งเกินไป ฉันบอกให้นายทิ้งเด็กไว้ที่บ้านฉัน แล้วปล่อยให้ภรรยาของฉันช่วยเลี้ยงดูอีกแรง แต่นายก็ไม่เห็นด้วย“
ฟางจิ้นเป่าจิบน้ำชา ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลายว่า “แต่ตอนนี้ดีแล้ว นายโชคดีมากและได้แต่งงานกับหญิงสาวที่สวยมากคนหนึ่ง แถมยังมีความสามารถและจิตใจดี จากการสังเกตเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ผ่านมา ฉันเห็นแล้วว่าเธอใจดีกับหู่จือมาก เป็นการดีเลยที่เธอยอมรับเขาจากก้นบึ้งของหัวใจในฐานะลูกชายแท้ ๆ ไม่ใช่แค่การแสดงละครต่อหน้าคนอื่น ฉันบอกเจิ้งอวี่ครั้งที่แล้วว่าผู้บัญชาการกองร้อยต้องอวยพรนายอยู่บนสวรรค์แน่ ถึงได้ให้หู่จือพบแม่เลี้ยงที่ดีแบบนี้”
“เหล่าฟาง นายก็พูดเกินไป พวกเราทุกคนล้วนเป็นนักวัตถุนิยม อย่าไปเชื่อโชคลางอะไรนั่นเลย ต่อให้เขาจะอวยพรจริงไหมก็แล้วแต่ เจียเหอเองก็เป็นคนที่ยอดเยี่ยมมาก เขาถึงดึงดูดเซี่ยเซี่ยที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เซี่ยเซี่ยก็เป็นคนจิตใจดีเสมอต้นเสมอปลาย เข้าอกเข้าใจ ทั้งยังยุติธรรม และหู่จือก็เป็นเด็กดีมาก เจียเหออบรมสั่งสอนเขามาอย่างดี เพราะแบบนี้ครอบครัวสามพ่อแม่ลูกถึงอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขได้”
เมื่อพูดถึงหลินเซี่ย ดวงตาของเฉินเจียเหอก็ดูอ่อนโยนและมีความสุข น้ำเสียงของเขาอ่อนโยนลงมาก “เหล่าเซี่ยพูดถูก เซี่ยเซี่ยเป็นคนมีเหตุผลและใจดีมาก ฉันโชคดีที่ได้แต่งงานกับหล่อน ยินดียอมรับหู่จือเพราะรักฉันจริง ๆ จะรักบ้านก็ต้องรักอีกาบนหลังคาบ้านหลังนั้นด้วย”
“เฮ้ ฟังนายพูดชมเชยเมียอย่างไร้ยางอายเข้าสิ ไม่อายตัวเองหรือไงกัน?”
ฟางจิ้นเป่ารับบทเป็นพี่ใหญ่ เขาเตือนอย่างมีความรับผิดชอบว่า “ถ้านายมีลูกเป็นของตัวเองเมื่อไหร่ อย่าปฏิบัติต่อหู่จือต่างไปจากเดิม เด็กคนนั้นน่าสงสารมาก”
เซี่ยไห่พูดอย่างจริงจังว่า “อย่ากังวลไปเลย ถ้าเซี่ยเซี่ยมีลูกในอนาคต เราทุกคนจะช่วยกันดูแล แต่ถ้าดูแลไม่ได้ ฉันจะเอาหู่จือมาอยู่ด้วยและเลี้ยงดูเขาเอง และจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เซี่ยเซี่ยยังเด็ก ดังนั้นเราไม่ควรวางภาระหรือกดดันเธอมากจนเกินไป“
เซี่ยไห่พูดอย่างจริงใจ แฝงมีความรู้สึกเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งในน้ำเสียง
ฟางจิ้นเป่าสังเกตและถามอย่างสงสัยว่า “เหล่าเซี่ย ทำไมฉันรู้สึกว่าวันนี้นายกำลังพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นพ่อคนจังเลย?”
“เหมือนยังไง?” เซี่ยไห่เหลือบมองอย่างสงสัย
แม้เซี่ยไห่จะอายุพอ ๆ กันกับเขา แต่อาจเป็นเพราะเขายังไม่ได้แต่งงาน ทำให้เขายังดูเป็นผู้ชายที่ไร้เดียงสา เหมือนเด็กโข่งที่ไม่เคยเข้าใจชีวิต
…………………………………………………………………………………………………….
วุ่นวายกับภาพนกยวนยาง 乱点鸳鸯谱
หมายถึงการจับคู่ให้กับคนสองคนที่ไม่ชอบพอกัน
สารจากผู้แปล
พี่ไห่เตรียมพร้อมเป็นพ่อแล้ว ขาดแต่ภรรยานี่แหละที่จะเป็นใคร
ไหหม่า(海馬)