บทที่ 790 พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นการประชันเครื่องดนตรีหรืออย่างไร นำโลงศพมา!
พริบตาเดียว ต้นหลิวและก้อนหินก็มาถึงดินแดนตระกูลเทียน
ที่นี่มีต้นไม้ขึ้นอยู่เขียวขจี น้ำตาไหลหลาก หมอกขาวเลือนรางปกคลุมอยู่ท่ามกลางขุนเขาพงไพร ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยความสงบ สิ่งปลูกสร้างสูงใหญ่โอ่อ่าของตระกูลเทียนตั้งอยู่ในทัศนียภาพนี้ ดูน่าอภิรมย์ยิ่งนัก
ทว่าความเงียบสงบนี้ต้องถูกทำลายลงในอีกไม่ช้า เสียงระเบิดดังติดต่อกันในห้วงมิติ พลังปราณสยดสยองคืบคลาน สิ่งมีชีวิตผู้ฝึกตนจำนวนมากมายังที่นี่
สัตว์อสูรพุ่งทะยานออกมาตัวหนึ่ง มันคือพยัคฆ์ขาว ขนทั้งตัวขาวผ่องดุจหิมะ ดวงตาสองข้างมีเปลวไฟลุกโชน ร่างเสือของมันมหึมายิ่งกว่าภูผา
มันคือบรรพจารย์ กำลังรบอันเป็นเพดานสูงสุดของชั้นเก้า ทลายม่านกั้นขอบเขตผู้บงการ เป็นหนึ่งในกำลังรบระดับนิรันดร์จำนวนน้อยนั่น
ข้างกายมันมีปักษามหึมา ขนสีแดงฉานจัดจ้านอยู่ตนหนึ่ง นี่คือนกฉงหมิง เป็นกำลังรบระดับนิรันดร์ตนหนึ่งเช่นกัน
ยังมีสัตว์อสูรอีกตัวที่บรรลุขอบเขตนิรันดร์ด้วย นั่นคือมังกรฟ้าห้ากรงเล็บ เกล็ดมังกรส่องแสงสีทองอร่าม เจิดจ้าแยงตา
ผู้เฒ่าผมขาวตัวงอผู้หนึ่งที่ผอมจนหนังติดกระดูกสวมอาภรณ์นักพรตขาดรุ่งริ่งคือ ผู้เป็นนิรันดร์เช่นเดียวกัน เขามาจากวังสวรรค์เร้นเมฆา มีนามว่าบรรพจารย์โม่
สตรีเฉิดฉันนางหนึ่งยิ้มบาง ดวงหน้าสะคราญเมือง ท่วงท่าสง่างาม นางมาจากตระกูลอวิ๋น อยู่ในขอบเขตนิรันดร์แล้วเช่นกัน เป็นสตรีนางเดียวในบรรดาผู้เป็นนิรันดร์
แล้วยังมีบุรุษกำยำผู้หนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราอันแสดงถึงความดิบเถื่อน กล้ามเนื้อปูดโปน ตัวเป็นสีน้ำผึ้ง เขาคือผู้เป็นนิรันดร์ตนหนึ่งเช่นกัน ผู้คนมอบฉายาให้เขาว่า…บรรพจารย์เถื่อน อารมณ์ร้อน นิสัยผลีผลาม
และข้างกายเขามีชายวัยกลางคนท่าทางสุภาพผู้หนึ่งยืนอยู่ด้วย สะท้อนถึงความตรงกันข้ามกับบุรุษกำยำอย่างชัดเจน เขามีขลุ่ยหยกเล่มหนึ่งในมือ ใบหน้าเปื้อนยิ้มอ่อนโยน
เขาเองก็คือผู้เป็นนิรันดร์เช่นกัน ชื่นชอบการเป่าขลุ่ย ตั้งสมญานามให้ตนว่าบรรพจารย์ขลุ่ย
เบื้องหลังบรรดาผู้เป็นนิรันดร์มีกำลังรบระดับผู้บงการอยู่จำนวนมาก พวกเขายืนอยู่ในดินแดนตระกูลเทียน ประจันหน้ากับต้นหลิวและก้อนหิน
“น่าสนใจ ๆ มากันหมดเลยหรือ…”
ต้นหลิวหัวเราะพลางกล่าว “นับแต่โบราณกาล ชั้นเก้ามีผู้เป็นนิรันดร์ถือกำเนิดขึ้นทั้งหมดเจ็ดตน บัดนี้อยู่ที่นี่กันหมด ทุกท่านให้เกียรติข้ายิ่งนัก”
มันกล่าวต่อ “ยังมีระดับผู้บงการอย่างพวกเจ้าที่มาอยู่กันพร้อมหน้าอีก ขบวนทัพครบครันเช่นนี้ กำลังรบระดับผู้เป็นนิรันดร์และผู้บงการรวมตัวกันอย่างนี้ คงเป็นครั้งแรกในประวัติการณ์กระมัง ข้าตกใจในน้ำใจนี้ยิ่ง!”
“เจ้าพูดผิดแล้ว!”
เวลานั้นเอง ร่างสยดสยองอีกมากมายเหินออกจากตระกูลเทียน ล้วนแล้วคือผู้เป็นนิรันดร์ พลังปราณนิรันดร์อันล้ำเลิศน่าพรั่นพรึงแผ่ซ่านออกมา ยืนอยู่แนวเดียวกับผู้เป็นนิรันดร์ตนอื่น
“เจ้ายังมิได้นับรวมผู้เป็นนิรันดร์ในตระกูลเทียนของเราเข้าไปด้วย!”
ผู้นำตระกูลเทียนกล่าว เขาเองก็คือผู้เป็นนิรันดร์ตนหนึ่งเช่นกัน
หกตน!
ตระกูลเทียนมีผู้เป็นนิรันดร์ถึงหกคน!
น่าตกใจยิ่งนัก!
กำลังรบระดับผู้บงการและผู้เป็นนิรันดร์ออกโรงพร้อมเพรียง ชุมนุม ณ ที่เดียวกัน ความยิ่งใหญ่นี้ดึงดูดสายตาของสิ่งมีชีวิตทุกตนในชั้นเก้า
หลังพวกเขาเห็นตระกูลเทียนมีผู้เป็นนิรันดร์ก้าวออกมาถึงหกคน ก็สะท้านใจเป็นหนักหนา มิน่า ช่วงนี้ตระกูลเทียนถึงรุ่งโรจน์ขึ้นปานนั้น มิมีกองกำลังยอดฝีมือตนใดไม่ก้มหัวให้ตระกูลเทียน
ตระกูลเดียวมีผู้เป็นนิรันดร์ถึงหกคน ผู้ใดเล่าจะกล้าไม่ก้มหัว
ผู้ใดเล่าจะกล้าไม่เชื่อฟังคำสั่งของตระกูลเทียน!
“พวกเจ้าถือเป็นผู้เป็นนิรันดร์ด้วยหรือ พวกเจ้าแต่ละคน มีผู้ใดฝึกฝนจนบรรลุขึ้นไปด้วยตนเองบ้าง หวังพึ่งความเมตตาจากพลังมืดมิดเช่นนั้นเพื่อก้าวสู่ขอบเขตนิรันดร์ พวกเจ้าไม่คู่ควรจะเรียกขานตนว่าผู้เป็นนิรันดร์เลย”
ต้นหลิวยิ้มเย็น มองปราดเดียวก็เห็นเบื้องหลังของบรรดาผู้เป็นนิรันดร์แห่งตระกูลเทียน และได้รับรู้ว่าพลังนั้นเป็นสิ่งใดกันแน่
ในกายของผู้เป็นนิรันดร์ตระกูลเทียนเหล่านั้นมีพลังมืดมิดไหลเวียนอยู่ เห็นได้ชัดว่าตระกูลเทียนเข้าเป็นพรรคพวกของพลังมืดมิด ยืมพลังมืดมิดจนได้บรรลุผู้เป็นนิรันดร์
มีพลังมืดมิดจุติลงมายังที่นี้อีกแล้วหรือ
ต้นหลิวคิดในใจ ไม่ได้แปลกใจกับพลังมืดมิดนั้น บนกระโปรงสีขาวแห่งความตายที่จู่ ๆ ก็บุกออกมาคราวก่อนนั้นเต็มไปด้วยพลังมืดมิดเช่นนี้
คราวก่อน กระโปรงสีขาวแห่งความตายถูกภาพฉายของคุณชายทำลายจนราบคาบแล้ว แล้วตอนนี้มีพลังมืดมิดจุติลงมาอีกครั้ง หรือกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวจริงมาที่นี่?
มันรู้ว่ากระโปรงสีขาวแห่งความตายที่คุณชายทำลายคราวก่อนเป็นเพียงภาพฉาย มิใช่กระโปรงสีขาวแห่งความตายจริง ๆ
“เจ้าเยาะเย้ยพวกเราหรือ?”
ผู้นำตระกูลเทียนหัวเราะ เอ่ยเสียงดูแคลน “ข้ามองว่านี่คือความอิจฉาของเจ้า!”
ใช่แล้ว
พวกเขาโผเข้าสู่อ้อมกอดของพลังมืดมิดจริง ๆ
ครานั้น หลังภาพฉายของหลี่จิ่วเต้าสำแดงความไร้เทียมทานออกมา ผู้นำตระกูลเทียนก็ตกตะลึงอย่างมาก ต้นหลิวได้ติดตามข้างกายคนระดับนี้ หากย้อนกลับมาคิดบัญชีกับตระกูลเทียนของพวกเขาจริง ๆ ตระกูลเทียนของพวกเขาไฉนเลยจะต้านอยู่
นึกถึงสิ่งที่ตระกูลเทียนของพวกเขาเคยลงมือกับเผ่าหลิวสวรรค์ ต้นหลิวไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่
เพราะอย่างนั้น ต่อมา ผู้นำตระกูลเทียนเข้าไปยังสถานที่หนึ่งของส่วนลึก ขอเข้าพบกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้น
ครานั้น เขาไม่แน่ใจเท่าใดว่ากระโปรงสีขาวแห่งความตายจะยังอยู่ที่ส่วนลึกหรือไม่ ถึงอย่างไร พวกเขาเห็นเพียงกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้นเข้าไปยังส่วนลึก แต่ไม่รู้เรื่องอื่น ๆ เลย
ก่อนเข้าไป ได้กำชับคนในตระกูลให้ไปขอโทษเผ่าหลิวสวรรค์ เช่นนี้ หากพวกเขาไม่ได้รับความคุ้มครองจากกระโปรงสีขาวแห่งความตาย ก็อาจพอมีทางรอดอยู่บ้าง
ทว่าตระกูลเทียนของพวกเขายังไม่ถึงคราวชะตาขาด กระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้นยังคงอยู่ในส่วนลึก และเขาได้พบกระโปรงสีขาวแห่งความตายตัวนั้น ทั้งยังได้อยู่ใต้บัญชาอีกด้วย
ภายใต้การเกื้อกูลจากระโปรงสีขาวแห่งความตาย ตระกูลเขาบรรลุขอบเขตนิรันดร์ถึงหกคนด้วยกัน ทั้งยังมีสมาชิกอีกมากมายบรรลุขอบเขตผู้บงการ
ส่งผลให้ตระกูลเทียนของพวกเขาทรงพลังในระดับที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!
นอกจากนี้ กระโปรงสีขาวแห่งความตายยังเอ่ยอีกว่าไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวหลี่จิ่วเต้า ตัวแปรผิดแผกอย่างหลี่จิ่วเต้าต้องถูกกำจัดในที่สุด ความมืดมิดจะกลืนกินแสงสว่างทั้งหมดในตอนสุดท้าย
พวกเขาจึงบุกเข้าไปในเผ่าหลิวสวรรค์ พาตัวสมาชิกเผ่าหลิวสวรรค์มาทั้งหมด
ด้านทุ่งร้างหมอกทึบก็เป็นคำสั่งจากเขา เวลานี้ ชั้นเก้าทั้งชั้นอยู่ในการควบคุมของกระโปรงสีขาวแห่งความตาย บรรดาสิ่งมีชีวิตในทุ่งร้างหมอกทึบที่ถูกร่างภาพฉายของหลี่จิ่วเต้าสังหารก็ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยความช่วยเหลือจากกระโปรงสีขาวแห่งความตาย
“มีสิ่งใดต้องอิจฉา เจ้าพวกหนอนสกปรกที่อยู่ใต้ปีกความมืดมิด รังแต่จะน่าขยะแขยง!”
ก้อนหินถ่มน้ำลาย เปี่ยมไปด้วยท่าทีดูแคลน
“เจ้าหินเก่งแต่ปาก โอหังไปมีแต่จะยิ่งทำให้เจ้าต้องอนาถยิ่งขึ้น!”
ผู้นำตระกูลเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย็น “วันนี้ ต่อให้พวกเจ้ามีท่านผู้นั้นคอยคุ้มครองก็เท่านั้น ต้องตายอยู่ที่นี่ทั้งหมด!”
จากนั้น เขาตวาดเสียงเย็น “จับตัวพวกเขาไว้!”
ยอดฝีมือตระกูลเทียนขานรับ ทำท่าจะบุกออกไปทันที แต่กลับถูกผู้นำตระกูลเทียนยั้งไว้เสียก่อน
“พวกเจ้าลงมือก็พอ”
ผู้นำตระกูลเทียนปรายตามองยอดฝีมือจากกองกำลังอื่นนิ่ง
เจ้าเล่ห์นัก!
คนอะไรนี่!
ไม่อยากให้คนตระกูลตัวเองเสี่ยงชีวิตจึงสั่งให้พวกเขาไปอย่างนั้นหรือ ยอดฝีมือจากตระกูลอื่น ๆ ต่างไม่พอใจอย่างยิ่ง ขุ่นเคืองในตัวผู้นำตระกูลเทียนตั้งไม่รู้เท่าไหร่
ทว่าพวกเขามิกล้าเอ่ยอันใดไปมากกว่านั้น
ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้ตระกูลเทียน ‘สนิท’ กับพลังนั้นที่สุดเล่า!
พวกเขาไม่อยากเชื่อฟังก็ต้องฟัง
จากนั้น พวกเขาออกโรงพร้อมเพรียง บุกสังหารต้นหลิวและก้อนหิน!
นอกจากตระกูลเทียน กำลังรบระดับผู้บงการของกองกำลังอื่น ๆ ก็บุกออกไปถ้วนหน้า บรรดาผู้เป็นนิรันดร์มิได้เคลื่อนไหว มองดูอยู่เงียบ ๆ
“ข้าจะกวาดล้างเอง!”
ก้อนหินชักดาบหินออกมาเล่มหนึ่ง ตวัดออกไป
มันจำแลงเป็นร่างมนุษย์แล้ว จึงทึกทักเอาเองว่าหล่อเหลาเอาการ ทว่าแท้จริงแล้วไม่เท่าไหร่เลย ดวงหน้ารูปลักษณ์ออกจะ…หยาบกร้านไปหน่อย ทรวดทรงก็บิด ๆ เบี้ยว ๆ
ทว่ามันนั้นดุดันอย่างแท้จริง หลังบุกไปถึง ประหนึ่งหมาป่าที่บุกเข้าไปในฝูงหมาป่า หนึ่งดาบสังหารได้หนึ่งตน ไม่มีผู้ใดขวางทางมันได้เลย
สายตาผู้เป็นนิรันดร์เหล่านั้นต่างทอประกายประหลาด คิดไม่ถึงนิดหน่อย กำลังรบระดับผู้บงการบุกเข้าไปนับร้อย สุดท้ายกลับไม่เป็นผลอันใด มิใช่คู่มือของก้อนหินเลย
โฮก!
บรรพจารย์พยัคฆ์คำราม ออกโรงด้วยตนเอง หวังให้กำลังรบระดับผู้บงการเหล่านั้นเอาชนะต้นหลิวและก้อนหินคงเป็นไปมิได้ ผู้นิรันดร์อย่างพวกเขาจำต้องเคลื่อนไหวแล้ว
มันแหงนหน้าคำรามเสียงยาว คลื่นสีทองซัดสาด เล็งเป้าไปที่ก้อนหินในพริบตา คลื่นเสียงนั้นแฝงไว้ด้วยพลังน่าครั่นคร้าม โถมทับเข้าไปถึงก้อนหิน
ทว่าลมหายใจต่อมามันก็ต้องอึ้ง ก้อนหินหายไป!
เวลานั้นเอง จู่ ๆ มันก็รู้สึกเย็นวาบที่คอ ก้อนหินมาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังของมัน!
“เจ้าแมวใหญ่โหวกเหวกอะไร!”
ก้อนหินฟันดาบลงไป ตัดศีรษะบรรพจารย์พยัคฆ์ลงมาดังพรวด
ผู้เป็นนิรันดร์ตนอื่นต่างตื่นตกใจกันหมด ก้อนหินผู้นี้แข็งแกร่งจนผิดปกติจริง ๆ อย่างวิชาหายตัวของก้อนหินเมื่อครู่เป็นที่น่าทึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
พวกเขาสูญเสียรอยสัมผัสทั้งหมดของก้อนหิน!
เป็นไปได้อย่างไรกัน?
แข็งแกร่งดุจพวกเขาไฉนเลยจะสูญเสียรอยสัมผัสไปเช่นนี้
ก้อนหินไม่ธรรมดา ต่อกรด้วยยากยิ่ง!
ฟิ้ว!
นกฉงหมิงบินเข้ามา อ้าปากพ่นไฟ ส่งผลให้สถานที่นี้อุณหภูมิสูงขึ้นในพริบตา พสุธาหลอมละลายอย่างรวดเร็ว!
ครืนคราน!
มังกรฟ้าห้าขาบุกเข้ามาด้วย ฟ้าแลบแปลบปลาบไม่หยุด มันบังคับอสนีบาตของตนให้ถล่มใส่ก้อนหิน
ม่านหมอกหลั่งไหลเข้ามา ปกคลุมพื้นที่ทั้งหมดไว้ในอึดใจเดียว บรรพจารย์โม่แห่งวังสวรรค์เร้นเมฆาลงมือ ร่างโก่งโค้งของเขาหายลับเข้าไปในหมอกอย่างเงียบเชียบ ไม่เหลือร่องรอย
สตรีผู้เป็นนิรันดร์แห่งตระกูลอวิ๋นเรียกกระดิ่งทองแดงออกมาลูกหนึ่งพลางเขย่าเป็นเสียงกังวานใส สะกดจิตใจ โจมตีเข้าไปถึงวิญญาณ
บรรพจารย์เถื่อนผู้นั้นคำรามเสียงต่ำ ร่างทั้งร่างขยายใหญ่ในพริบตาจนแทบเทียบเท่าผืนนภา เข้าจู่โจมใส่ก้อนหินอย่างดุดัน
บรรพจารย์ขลุ่ยสุภาพสง่า ยกมือจ่อขลุ่ยขึ้นปาก ก่อนจะบรรเลงทำนอง
ชั่วขณะนั้น กำลังรบผู้เป็นนิรันดร์อื่น ๆ ต่างระเบิดพลังออกมา
“น่ารำคาญจริง!”
ประเดี๋ยวเสียงกระดิ่ง ประเดี๋ยวเสียงขลุ่ย ก้อนหินหงุดหงิดใจนักหนา ถูกรบกวนไม่น้อย
มันฝ่าออกจากเปลวเพลิง ตัดอสนีบาตที่ถล่มลงมาในดาบเดียว แล้วเข้ารับการโจมตีจากผู้เฒ่าที่บุกออกมาจากม่านหมอกกะทันหัน
“มาสู้กันจริงจังสักตั้งได้หรือไม่ ไยต้องใช้ลูกไม้เช่นนี้ด้วย ทั้งสั่นกระดิ่ง ทั้งเป่าขลุ่ย พวกเจ้าคิดว่านี่เป็นการประลองเครื่องดนตรีหรืออย่างไร!?”
ก้อนหินสบถก่นด่า “หากพวกเจ้ายังจะทำเช่นนี้อยู่ อย่าหาว่าข้าไม่เตือน!”
จากนั้น ดาบใหญ่ในมือมันเปล่งแสงจรัส กลายเป็นปี่สั่วน่า
“ผีผากู่เจิงล้วนหัดได้ยาก ทว่าเมื่อปี่สั่วน่าออกโรง ไม่มีผู้ใดกลบรัศมีได้!”
มันตะโกนลั่น “เครื่องดนตรีนับร้อย ต่างยกให้ปี่สั่วน่าเป็นราชัน! ข้าจะเป่าลำนำส่งวิญญาณให้พวกเจ้าฟัง ให้พวกเจ้าไม่รู้สึกเหงาระหว่างทางไปสู่โลกหลังความตาย! เด็ก ๆ นำโลงศพเข้ามา!”
คุณชายเคยเป่าปี่สั่วน่ามาก่อน เด็ก ๆ อย่างพวกอ้ายฉานต่างสนอกสนใจในสั่วน่ามาก คุณชายก็เคยอธิบายความรู้เกี่ยวกับสั่วน่าให้พวกอ้ายฉานฟัง
ครานั้น มันอยู่ข้าง ๆ จึงเป่าปี่สั่วน่าเป็นไปด้วย!