ตอนที่ 279 ผลการสอบสวน
ตอนที่ 279 ผลการสอบสวน
ตามที่คาดไว้ หลิวจื้อหมิงปฏิเสธที่จะยอมรับในตอนแรก
พอบันทึกคำให้การเสร็จเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่ก็ไม่มีอะไรจะถามอีก
หวังเฉียงขอเผชิญหน้ากับเขาแบบตัวต่อตัว
เพื่อคลี่คลายคดีโดยเร็วที่สุด ตำรวจจึงอนุญาตให้พวกเขาเผชิญหน้าและถกเถียงกันโดยตรง
หวังเฉียงซึ่งกลายเป็นคนตกงานรู้สึกโกรธและผิดหวังมากเมื่อเห็นหลิวจื้อหมิง เขาแทบควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เกือบจะปรี่เข้าไปชกหน้าหลิวจื้อหมิงบนโรงพัก
หลิวจื้อหมิงยังมีทัศนคติที่แข็งแกร่ง แม้จะเผชิญกับเสียงคำรามอันโกรธเกรี้ยวของหวังเฉียง ก็ยังมีอารมณ์มั่นคงราวกับหินผา “หวังเฉียง การเลิกจ้างของคุณถูกกำหนดโดยโรงงานผ่านการประชุมและติดตามผล มันไม่ใช่ความผิดของผม สาดน้ำสกปรกใส่ผมต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก”
หวังเฉียงคำรามด้วยแรงอารมณ์ “ฉันจะสาดน้ำสกปรกไปเพื่ออะไร? คุณไม่ได้บอกให้ผมไปสร้างปัญหาให้กับแผงขายของของหลิวกุ้ยอิงหรอกเหรอ? ผมอุตส่าห์ยอมเอาชีวิตแม่วัยใกล้แปดสิบไปเสี่ยง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรกลับคืนมาเลย แถมยังโดนแจ้งความอีก ตอนนี้คุณคิดจะโยนความรับผิดชอบทั้งหมดให้ผมหรือไง?”
“คุณมีหลักฐานไหมล่ะ?” หลิวจื้อหมิงมองเขาอย่างมั่นใจ
เจ้าหน้าที่ตำรวจโยนแฟ้มเอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดลงตรงหน้าหลิวจื้อหมิง
“เราคงไม่ไปพาตัวคุณมาถ้าเราไม่มีหลักฐาน”
ตำรวจมีหลักฐานแน่นหนาว่าบุคลากรในโรงงานเครื่องจักรมีการแก้ไขเอกสารที่เกี่ยวข้องกับหวังเฉียง
ซึ่งหลักฐานทั้งหมดเป็นสิ่งที่เฉินเจียเหอได้มาจากเจียงกั๋วเซิ่ง
“ในใบรายชื่อพนักงานชุดแรกที่ถูกเลิกจ้างของฝ่ายทรัพยากรบุคคล ตอนแรกมีชื่อของหวังเฉียงรวมอยู่ในนั้นด้วย แต่ต่อมาชื่อของเขาถูกขีดฆ่าออก ฝ่ายบุคคลบอกว่าคุณเป็นคนสั่งให้พวกเขาทำแบบนั้น และหลังจากนั้นรองผู้อำนวยการโรงงานเจียงก็ตัดสินใจเลิกจ้างหวังเฉียงอย่างเป็นทางการ”
หลิวจื้อหมิงโต้กลับ “แต่นั่นก็พิสูจน์ไม่ได้ซะหน่อยว่าผมเป็นคนบอกให้หวังเฉียงไปวางยาแม่ของเขาด้วยการกินผัดกุยช่ายเน่า”
“ไม่ว่ามันจะเป็นความคิดของคุณจริงไหม เราจะทำการตรวจสอบเพิ่มเติม”
หวังเฉียงและหลิวจื้อหมิงถูกควบคุมตัวด้วยกันทั้งคู่
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจต่อไป
…
เซี่ยไห่ถามเฉินเจียเหอและหลินเซี่ย “พวกเธอคิดว่าหลิวจื้อหมิงจะกล้าทรยศเสิ่นเถี่ยจวินไหม?”
หลินเซี่ยส่ายหัว “ไม่มีทางซะหรอก”
หลิวจื้อหมิงเป็นสุนัขรับใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่ได้รับการฝึกฝนโดยเสิ่นเถี่ยจวินมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
แม้แต่ตอนที่ตัวเองอยู่ในสถานการณ์หน้าสิ่วหน้าขวาน เขายังปิดปากเงียบสนิท
เมื่อได้ยินแบบนี้เซี่ยไห่ก็เริ่มกังวล “งั้นหมายความว่าพวกเราทำอะไรคนสารเลวนั่นไม่ได้เลยเหรอ?”
“จะรีบร้อนไปทำไม? มะรืนนี้ก็จะถึงงานวันเกิดของผู้เฒ่าเซี่ยแล้วไม่ใช่เหรอ? เราไม่ต้องคุยกันแล้วว่าเขาจะโดนลงโทษทางกฎหมายไหม มาฉีกหน้ากากหน้าซื่อใจคดของเขาต่อหน้าทุกคนกันเถอะ”
ทันใดนั้นเซี่ยไห่ก็เริ่มสนใจ เดินเข้าไปใกล้เธอแล้วถามว่า “เซี่ยเซี่ย เธอคิดจะทำอะไรล่ะ?”
หลินเซี่ยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะแสดงความคิดของเธอต่อพวกเขา
ทั้งสองเห็นด้วยอย่างไม่มีข้อกังขา
“ได้ เอาแบบนี้แหละ ต่อให้เราจะไม่สามารถจับเขาเข้าคุกได้ อย่างน้อยโฉมหน้าที่แท้จริงของเขาก็จะถูกเปิดโปงจนไม่เหลือชิ้นดี ถ้าพี่เซี่ยหลานรู้ว่าเขาเป็นคนทำเรื่องเลวทรามในตอนนั้น หล่อนต้องขอหย่ากับเขาแน่ คราวนี้เขาจะกลายเป็นคนทรยศในบรรดาเครือญาติ ได้รับความอับอายขายหน้า”
เมื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ มาจนถึงระดับนี้ ในที่สุดหลิวกุ้ยอิงก็หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งหมด
ถึงอย่างนั้นพวกหล่อนก็ไม่สามารถตั้งแผงลอยได้อีกต่อไป
แผงขายอาหารของหล่อนไม่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากกรมอาหารและยาตั้งแต่แรก แถมยังไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจ ถ้าไม่เกิดปัญหาขึ้น แผงลอยก็จะยังเปิดขายในที่สาธารณะริมถนนได้โดยที่ไม่มีใครมาตรวจสอบ
มาตอนนี้มันได้เกิดปัญหาขึ้น แม้ว่าเรื่องทั้งหมดจะไม่ใช่ความผิดของหล่อน แต่แผงขายอาหารที่ไม่มีเอกสารคุ้มครองด้านสุขอนามัยก็ยังถูกจัดให้เป็นความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
เมื่อไม่สามารถทำงานหาเลี้ยงชีพได้อีกต่อไป หลิวกุ้ยอิงก็เริ่มรู้สึกเคว้งคว้าง เหมือนตัวเองไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเมืองนี้ และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป
หลินเซี่ยจับมือหล่อนและเอ่ยปลอบโยน “แม่ นี่ถือเป็นบทเรียนหนึ่งสำหรับพวกเราเท่านั้นค่ะ แต่เรายังมีอุปกรณ์สำหรับทำมาหากินอยู่ในมือ ตราบใดที่เราหาเช่าร้านค้าได้ แล้วจัดการขอใบอนุญาตด้านสุขอนามัยและใบอนุญาตประกอบธุรกิจแล้ว เราก็จะยังเปิดร้านที่ถูกกฎหมายได้ คิดซะว่าป้องกันตัวด้วย อย่าเพิ่งสิ้นหวังไปเลย”
หลิวกุ้ยอิงกังวล “แต่นั่นก็เป็นค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่”
“รอให้พ่อแท้ ๆ ของฉันมาก่อนสิคะ พวกคุณค่อยลงทุนเปิดร้านด้วยกัน แบบนี้จะได้ประหยัดต้นทุนลงมาหน่อย”
หลินเซี่ยเห็นด้วยอย่างมากกับข้อเสนอของเซี่ยไห่ที่จะให้แม่เปิดร้านกับพ่อผู้ให้กำเนิดของเธอ บางทีพวกเขาอาจจะมีโอกาสได้กลับมาสานสัมพันธ์กันอีกครั้ง
หลิวกุ้ยอิงถอนหายใจ “ตอนนี้เขาไม่รู้จักแม่ด้วยซ้ำ แม่จะไปเปิดร้านร่วมกับคนอื่นเขาได้ยังไง? เขาจะเต็มใจเหรอ?”
หลินเซี่ยยิ้มและพูดว่า “ไม่แน่ว่าทันทีที่เขาเห็นหน้าแม่ ความทรงจำที่ตายด้านไปแล้วของเขาอาจจะฟื้นคืนกลับมาก็ได้นะคะ ใช้ชีวิตหลังจากนี้ให้มีความสุขเถอะ ไหน ๆ วันนี้แม่ก็ไม่มีอะไรทำแล้ว ออกไปซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่กันดีกว่า”
เธออยากให้ผู้เป็นแม่อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อที่จะได้เจอหน้าอดีตคนรักของหล่อนเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว
ช่วงบ่าย เฉินเจียเหอออกไปรับหู่จือกลับจากโรงเรียนและไปที่ร้านตัดผมหลังจากนั้น เขาบอกว่าครอบครัวโทรมาชวนให้พวกเขากลับไปกินข้าวมื้อเย็นด้วยกัน
สามพ่อแม่ลูกกลับไปที่บ้าน เฉินเจียซิ่งและเฉินเจียวั่งต่างก็อยู่ที่บ้านเช่นเดียวกัน
มองแวบแรกเหมือนพวกเขาถูกปู่เรียกกลับมาเพื่อร่วมงานรวมญาติอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากเฉินเจียซิ่งหย่าร้าง ดูเหมือนว่าเขาจะมีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น การแต่งตัวเริ่มทันสมัย แม้แต่ทรงผมก็เปลี่ยนใหม่ ดูเหมือนว่าเขามีความสุขกับการได้รับอิสระโดยที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้คำสั่งของใคร
ผู้เฒ่าเฉินถามพวกเขา “เจียเหอ เซี่ยเซี่ย ในวันเกิดของเหล่าเซี่ยที่ใกล้จะมาถึง พวกเธอได้เตรียมของขวัญอะไรให้เขาบ้าง?”
หลินเซี่ยตอบ “คุณปู่ ฉันตัดเสื้อคลุมเข้าคู่กับกางเกงตัวใหม่ให้ผู้เฒ่าเซี่ยค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ผู้เฒ่าเฉินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “เธอนี่เข้าใจคิดจริง ๆ เหล่าเซี่ยจะต้องพอใจกับเสื้อตัวใหม่ที่เธอตัดเย็บด้วยตัวเองแน่นอน”
ผู้เฒ่าเฉินเหลือบมองเฉินเจียซิ่งซึ่งกำลังนั่งก้มหน้าเล่นเพจเจอร์อยู่ แล้วพูดกับพวกเขาว่า
“วันนี้ฉันเรียกพวกเธอทุกคนให้มารวมตัวกัน ก็เพราะอยากจะเล่าให้ทุกคนฟังเกี่ยวกับผลการสอบสวนของโรงพยาบาลเหรินกวง เกี่ยวกับเรื่องท้องปลอมของเสิ่นเสี่ยวเหมย”
“เรื่องเป็นอย่างนี้ เดิมทีโรงพยาบาลเหรินกวงต้องการสรุปผลให้จบ ๆ ไป แล้วรายงานผลการตรวจสอบว่าเป็นเพราะหมอประมาทเลินเล่อวินิจฉัยผิดพลาด แต่โรงพยาบาลจะยิ่งด้อยคุณภาพ ตราบใดที่บุคลากรภายในได้รับผลประโยชน์ก็จะฝ่าฝืนกฎหมายและจรรยาบรรณแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
“ฉันขอให้ลูกน้องที่รู้จักสร้างความกดดันให้ทางโรงพยาบาล บีบให้ผู้บริหารลงมาสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง สุดท้ายก็พบว่าหมอของโรงพยาบาลถูกติดสินบนจริง ๆ และจงใจเขียนใบตรวจวินิจฉัยอันเป็นเท็จ เปลี่ยนการมีประจำเดือนให้กลายเป็นภาวะแท้งบุตร
“และคนที่จ่ายเงินติดสินบนหมอ ก็คือถังหลิง”
ผู้เฒ่าเฉินพูดเสียงทุ้มต่ำ
ว่าแล้วเชียว หลินเซี่ยคาดเดาต้นตอของเรื่องนี้ได้อยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด
กลับกัน เฉินเจียซิ่งกลับรีบคว้าเอกสารผลการสอบสวนที่ปู่ของเขาหยิบออกมาวางขึ้นอ่านด้วยความไม่เชื่อ
เมื่อเห็นข้อมูลทั้งหมดบนหน้ากระดาษ ตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตกตะลึง
เขาไม่เคยแม้แต่จะคิดจินตนาการมาก่อนว่าใบหน้าที่ไม่มีพิษภัยของถังหลิง จะมีความร้ายกาจซุกซ่อนอยู่
หล่อนมีส่วนวางแผนสมรู้ร่วมคิดกับเสิ่นเสี่ยวเหมยเรื่องท้องปลอมตั้งแต่ต้นจนจบ สุดท้ายก็ยังมาวิพากษ์วิจารณ์เสิ่นเสี่ยวเหมยต่อหน้าเขา
ทำไมหล่อนถึงสร้างเรื่องทุกอย่างได้แนบเนียนถึงขนาดนี้
หลินเซี่ยพูดขึ้นว่า “ถังหลิงเป็นคนต้นคิดเรื่องเสิ่นเสี่ยวเหมยท้องตั้งแต่แรก พอรู้ว่าตัวเองเดาผิดก็วางแผนใส่ร้ายฉัน พวกหล่อนเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกัน เมื่อเห็นว่าความจริงดังกล่าวอาจจะถูกเปิดเผยในสักวัน หล่อนกลัวว่าตัวเองจะต้องรับผิดชอบ ช่วงนี้หล่อนเลยแวะเวียนมาเอาใจใส่ฉันเป็นพิเศษ”
คุณย่าเฉินคร่ำครวญด้วยความผิดหวัง “สมัยเหล่าถังยังมีชีวิตอยู่ เขาเป็นคนดีมีคุณธรรมมาก ทำไมลูกหลานรุ่นหลังในครอบครัวเขาถึงได้มีจิตใจชั่วร้ายผ่าเหล่าผ่ากออย่างนี้? พ่อของถังหลิงโดนไล่ออกจากราชการข้อหายักยอกเงินและละเมิดวินัยของหน่วยงาน ไม่กี่ปีต่อมา น้องชายของเขาก็เข้าไปมีส่วนพัวพันกับเรื่องนี้ ทำให้ทั้งครอบครัวต้องย้ายออกจากเขตชุมชนนี้ไป เราคิดว่าครอบครัวของพวกเขาจะประพฤติตัวดีขึ้นหลังจากได้รับบทเรียนอันเจ็บปวด ใครจะคิดว่ามาถึงตอนนี้ ถังหลิงยังวางแผนชั่วร้ายทำลายครอบครัวของคนอื่น?”
โชคดีที่หล่อนไม่ถูกจับแต่งงานกับเจียเหอตั้งแต่แรก
ไม่อย่างนั้นถ้าผู้หญิงสองคนนี้กลายมาเป็นสะใภ้ครอบครัวเดียวกันเมื่อใด ครอบครัวของพวกเขาอาจต้องเป็นฝ่ายย้ายออกไปจากชุมชนบ้านพักทหารซะเอง
หลินเซี่ยบอกว่า “เสิ่นเสี่ยวเหมยเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่หรอกค่ะ ถ้าหล่อนมีจิตสำนึกในความถูกต้อง หล่อนหรือจะเชื่อฟังถังหลิงง่าย ๆ?”
“เซี่ยเซี่ย ถึงยังไงเรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว เสิ่นเสี่ยวเหมยกับเฉินเจียซิ่งหย่ากันเรียบร้อย นับจากนี้หล่อนจะไม่มีความสัมพันธ์ใด ๆ กับครอบครัวของเราอีก
“จากนี้ไป พวกเธอทุกคนต้องระวังถังหลิงให้มากขึ้น พวกเธอทำธุรกิจอยู่ในละแวกเดียวกันไม่ใช่เหรอ คนอย่างหล่อนต้องมีความคิดแย่ ๆ ตลอดเวลา เธอยังเด็กต้องระวังคนอื่นไว้ให้มาก และต้องรู้จักป้องกันตัวเอง”
หลังจากที่ผู้เฒ่าเฉินตักเตือนหลินเซี่ยเสร็จแล้ว เขาก็มองไปที่เฉินเจียเหอ แล้วเตือนเขาด้วย “หลานเองก็ควรอยู่ห่างจากหล่อน”
เฉินเจียเหอลูบจมูกตัวเองด้วยความลำบากใจทันที รู้สึกว่าตัวเองโดนพาดพิง
เขาเคยใกล้ชิดกับผู้หญิงคนนั้นเสียที่ไหนกัน?
ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างหากที่พยายามจะจับคู่ให้เขากับถังหลิงไม่ใช่เหรอ?
เรื่องที่ผ่านมาเป็นเพราะพวกเขาจัดแจงทั้งนั้น
หลินเซี่ยเหลือบมองเฉินเจียเหอซึ่งกำลังทำหน้ากระอักกระอ่วนอย่างไร้เดียงสา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณปู่ คุณย่า เดี๋ยวนี้ถังหลิงไม่สนใจเขาแล้วค่ะ ตอนนี้เธอกำลังมุ่งเป้าไปที่เซี่ยไห่ บางทีอาจจะเป็นเพราะตาลุกวาวกับฐานะทางการเงินของเซี่ยไห่ก็ได้”
“หวังว่าเขาจะไม่ตาบอดไปหลงหล่อน”
ผู้เฒ่าเฉินมองไปที่เฉินเจียเหออีกครั้ง และเตือนว่า “ฝากไปบอกเซี่ยไห่ ถ้าเขาตาบอด อีกหน่อยหลานจะตัดมิตรภาพกับเขาซะ”
เฉินเจียเหอแตะจมูกเขาอีกครั้งแล้วพยักหน้า “ผมจะเอาคำเตือนของปู่ไปบอกเขาครับ”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
พระโคเจียเหอปังมาก แฉคนชั่วสองคนในเวลาติดๆ กันเลย
ยัยถังหล่อนเตรียมตัวโดนขึ้นแบล็คลิสต์ตระกูลเฉินได้แล้ว
ไหหม่า(海馬)