เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 20 วสันต์ผาสุก (rewrite)

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 20 วสันต์ผาสุก (rewrite)

เขาน้ำค้างเล็กที่ปกคลุมด้วยสียามโพล้เพล้ หมอกหนานิดๆ นอกจากไผ่น้ำค้างที่สูงตรง ตั้งตระหง่าน ผ่านชีวิตมาอย่างโชกโชนแล้ว เขาน้ำค้างเล็กยังปลูกต้นเฟิงบางส่วน ใบเฟิงสีแดงร่วงลงมาถูกฝนตกใส่ ซ้อนทับกันกลางพุ่มไม้สองข้างทางและบนแผ่นดินดำ

รถม้าที่ถูกทิ้งใช้มานานจอดบนเส้นทางเล็กใต้ภูเขา เหลือเพียงโครงไม้ ฝนตกเปียกชุ่มแล้วได้ชะล้างฝุ่นดินที่แกนไม้ออก พัดใบเฟิงใหม่ไปตามเส้นทางน้ำถนนภูเขา หลายใบวนอยู่ในหลุมใต้ล้อรถ

เสียงตึง โลกที่ใบเฟิงสะท้อนกับน้ำถูกรองเท้าเหยียบแตกเบาๆ

หยดน้ำลอยขึ้นและตกลงมา เงาในหลุมกลับมาดังเดิม ใบเฟิงที่หมุนวนในหลุมแตกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย ติดอยู่ที่ก้นรองเท้า เหยียบไปบนพื้นส่งเสียงดังซ่าๆ

“คุณชายหนิงอี้ เห็นใบหน้าจริงของมือสังหารนั่นหรือไม่”

เสียงเฉินอี้ดูเหมือนไม่ใส่ใจ เขาก้มหน้าลงมองเงาที่ตนเหยียบบนพื้น เดินทีละก้าว ในหลุมน้ำฝนมีเจ้าลัทธิร้อยคนเดินผ่านไปอย่างเงียบเชียบ ความรู้สึกที่ซ่อนในแววตาสงบนิ่งและเฉยชา มองใบหน้าที่จริงที่สุดในโลกนี้

นี่เป็นเด็กหนุ่มที่สุขุมมากและรอบคอบมาก

หนิงอี้หาเอกลักษณ์ความกระตือรือร้นและบ้าคลั่งในตัวเฉินอี้ไม่เจอเลยสักนิด เจ้าลัทธิหนุ่ม ความสุขุมไม่เหมือนคนอายุไม่ถึงยี่สิบปี บางครั้งหนิงอี้ก็สัมผัสถึงใต้ดวงตาของท่านเจ้าลัทธิ รู้สึกว่าในเปลือกกายเช่นนี้จะต้องผ่านความเจ็บปวดมามากมายถึงเติบใหญ่จนตอนนี้ เหมือนมีจิตวิญญาณเข้มแข็งมีพลังอยู่

เด็กหนุ่มสุขุม ไร้เดียงสาและซื่อตรง จิตใจดีและยังเป็นมิตร บางครั้ง…กระทั่งมีความอ่อนต่อโลกเล็กน้อย

เฉินอี้มีคุณสมบัติที่ยังหนุ่มก็ทำให้หอสามวิสุทธิ์แต่งตั้งเป็นเจ้าลัทธิจริงๆ อายุสิบเจ็ดปีก็เป็นเจ้าลัทธิ สถิติเช่นนี้ คงเป็นผู้สืบทอดที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สำนักเต๋า ทำให้คนอิจฉาริษยา

คลื่นลมการลอบสังหารครั้งนี้ผ่านไปแล้ว ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอย่างไร ดีที่บทสรุปสุดท้ายเป็นความโชคดีในความโชคร้าย…ท่านเจ้าลัทธิปลอดภัย

แต่เรื่องราวที่เกิดขึ้นมีข้อสงสัยมากมาย

เบื้องหลังของเงานั่นกลายเป็นข้อสงสัยที่มากที่สุด ตัวแบกวิชาลับสำนักมากขนาดนี้ แทรกซึมมาถึงหลังเขาสู่ซานอย่างเงียบเชียบ หลุดจากสัมผัสของราชันดาราทุกคน ตบหน้ายอดผู้บำเพ็ญทั้งหมด

มือสังหารเช่นนี้เหมือนศูนย์กลางรวมความขัดแย้งน่าเหลือเชื่อ ไม่ใช่แค่สำนักเต๋าต้องสืบประวัติเขาให้ชัดเจน…แขกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ออกไปจากหลังเขาสู่ซานอย่างยากลำบากพวกนั้น ก็ต้องหาทางหาตัวมือสังหารให้ได้เหมือนกัน

หนิงอี้ครุ่นคิดอย่างละเอียด ก่อนจะส่ายหน้า

เขาพูดด้วยความเสียดายเล็กน้อย “ความจริง…ที่สังหารเขาได้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมาย ข้าเห็นใบหน้าเขาไม่ชัด และยากจะหาสำนักเบื้องหลังเขาจากข้อมูลที่รู้”

เฉินอี้มีสีหน้าจริงจังเล็กน้อย

นักพรตชุดคลุมหยาบที่ถือร่มรู้สึกว่าน้ำเสียงของท่านเจ้าลัทธิเปลี่ยนไป

คำพูดนี้ น้ำเสียงของเจ้าลัทธิเคร่งขรึมมาก 艾琳小說

“คุณชายหนิงอี้…เจ้ามั่นใจนะว่าเขาถูกสังหารแล้ว”

หนิงอี้นิ่งไปกับคำถามเล็กน้อย

เขานึกถึงคำพูดพวกนั้นที่ได้ฟังมาจากผู้ครองกระบี่ในที่ราบกระดูก รวมถึงกระบี่นั้นหลังตนคว้าพินิจเหมันต์และผ่าแม่น้ำใหญ่…บนโลกนี้ ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใด เมื่อโดนกระบี่เช่นนี้ จะยังมีเหตุผลอะไรรอดไปได้อีก

แม่น้ำล้อมรอบภูเขานั่นเหมือนแม่น้ำอเวจีในขุมนรก กินได้ทุกสิ่งอย่าง ไม่มีวันจบสิ้น สิ่งมีชีวิตที่จมในนั้น หากไม่มีพลังบำเพ็ญกับแสงดาราจะขึ้นฝั่งได้อย่างไร

หนิงอี้สูดลมหายใจเบาๆ ก่อนพูดอย่างมั่นใจมาก “ข้ามั่นใจ ยืนยัน รวมถึงแน่นอน”

ไม่ตาย…จะเป็นไปได้อย่างไร

เฉินอี้มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาลูบหน้าอก เหมือนวางใจที่ไม่สงบนั้นลง ในที่สุดก็ได้โล่งอก

นักพรตชุดคลุมหยาบที่ติดตามข้างหลังเจ้าลัทธิก็โล่งอกเช่นกัน

หากมือสังหารเช่นนั้น แม้แต่สัมผัสของเจ้าภูเขาสู่ซานน้อยยังหลบไปได้ เช่นนั้นไม่ว่าท่านเจ้าลัทธิไปที่ใดก็จะเป็นอำนาจคุกคามใหญ่หลวง จะปกป้องเจ้าลัทธิได้หรือไม่…พวกเขาก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน

ที่มั่นใจได้คือมือสังหารเช่นนี้ เกรงว่าคงหาคนที่สองได้ยากในโลก เรื่องลอบสังหารเจ้าลัทธิพลาดไม่ได้เลย หากมีคนที่สอง…เช่นนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนหลังเขาสู่ซาน ท่านเจ้าลัทธิโชคไม่ดีแล้ว

สองคนเดินกันไปเงียบๆ

เฉินอี้พลันพูดขึ้น “คุณชายหนิงอี้…เจ้าคิดว่าเงานั่นมีที่มาที่ไปอย่างไร”

หนิงอี้หรี่ตาลง เขาไม่ค่อยเข้าใจความหมายของเจ้าลัทธิ

“ข้าหมายความว่า…มาจากเขาศักดิ์สิทธิ์ใด สำนักศึกษาใด…หรือขุมอำนาจใด หรือราชวงศ์” ตอนพูดถึงช่วงแรก น้ำเสียงเจ้าลัทธิเบามาก น้ำเสียงเขาเปลี่ยนมาจริงจังตอนพูดถึงช่วงหลัง “หรือว่า…มือสังหารนั่นไม่ใช่ของขุมอำนาจใด”

หนิงอี้เงียบ

เขาเคยถามผู้ครองกระบี่ถึงที่มาของเงานั่น

ผู้ครองกระบี่พูดกระชับมาก เอ่ยเพียงแค่คำเดียว

พวกมัน…คือแสงและไม่ใช่แสง

หนิงอี้ไม่เข้าใจความหมายนี้ สัตว์ประหลาดเช่นนั้นซ่อนในเงามืด แม้แต่แสงดาราของศิษย์พี่หญิงพันกรยังยากจะฝ่าไปได้ หากสู้ในขอบเขตพลังเดียวกัน แทบจะเอาชนะอัจฉริยะได้ทุกคน…สัตว์ประหลาดเช่นนี้ยังนับว่าเป็นมนุษย์หรือ

ใต้ฟ้าต้าสุย ปราการฟ้ากั้นกับทะเลพลิกผันแดนอุดร แยกเผ่าปีศาจกับมนุษย์ออก นอกจากปีศาจที่ถูกล่ากลับมาแล้ว ในเขตแดนแทบจะไม่ปรากฏเผ่าปีศาจ…ในตัวเงานั่นไม่มีปราณปีศาจเลย มนุษย์กับปีศาจแตกต่างกันมาก หนิงอี้เคยเจอปีศาจเหมันต์ขอบเขตที่แปดหน้าอารามเทือกเขาประจิม…เขาแยกแยะได้ว่าระหว่างเงานั่นกับเผ่าปีศาจมีความต่างกันอย่างมากในด้านสติปัญญาและรูปแบบการโจมตี

“ในคัมภีร์เต๋าโบราณเคยกล่าวไว้ว่ามีแสงสว่างก็มีเงามืด แสงสว่างกับเงามืออยู่คู่กัน ดับไฟลง เงาก็ยังอยู่ แสงสว่างอาจจะดับลง แต่เงามืดไม่มีวันดับลง” เฉินอี้พูดเสียงเบา เหมือนหยดน้ำฝนที่ตกลงร่มกระดาษ ตกลงกลางทะเลสาบใจคน

“ในความหมายบางอย่าง เงามืดก็คือแสง หากแสบดับลง เช่นนั้นเงามืดก็จะกลายเป็นแสงจริงๆ”

เขาพูดเสียงเบา “ถ้าบอกว่าสำนักเต๋าคือแสงสว่างที่เดินใต้หล้า…เช่นนั้นถูกเงาจับจ้องก็เป็นเรื่องที่สมเหตุผล มีคนอยากให้แสงดับลง หวังให้เงามืดมาเยือน และคนที่ร้อนใจมากที่สุด…ก็คือตัวเงามืดเอง”

คำพูดนี้พูดได้มีเลศนัยมาก

แต่ก็ตื้นเข้าใจได้ง่าย

ไม่ใช่แค่หนิงอี้ นักพรตชุดคลุมหยาบข้างหลังก็ยังเข้าใจความหมายของท่านเจ้าลัทธิ

“ท่านเจ้าลัทธิ…ความหมายของท่านคือการคงอยู่พวกนั้นที่เคยบันทึกในคัมภีร์เต๋าหรือ” นักพรตชุดคลุมหยาบหญิงที่พันแผลให้เฉินอี้คนนั้นตรึกตรองอย่างละเอียด ก่อนพูดอย่างระมัดระวัง “ผู้อาวุโสหอสามวิสุทธิ์เคยบอกว่าต่อให้คัมภีร์เต๋ามีบันทึก แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดยืนยันการคงอยู่ของโลกภูตผีมาร”

หนิงอี้หรี่ตาลง ตรึกตรองถึงคำพูดนักพรตชุดคลุมหยาบหญิงคนนี้…หากบอกว่าโลกนี้มีภูตผีมารสิ่งเลื่อนลอยเช่นนี้อยู่จริงๆ ไม่ใช่การถ่ายทอดแสร้งให้ดูลึกลับของผู้ฝึกภูตผีแดนทักษิณ…เช่นนั้นเงาที่ลอบสังหารเจ้าลัทธิก็สอดคล้องกับภาพลักษณ์จริงๆ

เฉินอี้เงียบอยู่ชั่วครู่

เขามองหนิงอี้ก่อนจะถาม “คุณชายหนิงอี้…เจ้ามองอย่างไร”

หนิงอี้นึกถึงภาพนั้นตอนที่ราบกระดูกปลุกตื่น…ผู้ครองกระบี่กับเงา ความแค้นและปฏิปักษ์ระหว่างกัน และยังมีภาพนั้นที่ม่านฟ้าฉีกขาด ผู้ครองกระบี่บอกว่าการทำลายล้างโลกจะเกิดขึ้นเพราะพวกเขาหรือ

หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เงานั่นก็อาจจะไม่ใช่มนุษย์จริงๆ…

หนิงอี้ส่ายหน้าด้วยความสัตย์จริง “ข้าไม่รู้”

เขาไม่อาจเผยข้อมูลพวกนี้ได้ ต้องเก็บรักษาการคงอยู่ในขลุ่ยกระดูกไว้อย่างระมัดระวัง หากตนรู้ในสิ่งที่ไม่ควร…ก็จะจุดไฟเผาตัวเอง ในตอนนี้ไม่มีความสามารถปกป้องตนเองได้

เฉินอี้มีแววตาผิดหวังเล็กน้อย

เขาหวังว่าคุณชายหนิงอี้คนนี้จะตอบคำถามได้อย่างแม่นยำ อย่างน้อยก็ให้ตอนนี้สำนักเต๋ารู้จักเงาขึ้นมาอีกหน่อย

แต่ตอนนี้ดูแล้ว หนิงอี้รอบคอบมาก ไม่เผยรายละเอียดหลังภูเขาเลย

ส่วนสังหารเงาในขอบเขตพลังหลังได้อย่างไร หนิงอี้ไม่เอ่ยถึงเด็ดขาด บอกแค่ว่าตนโชคดี การสังหารอีกฝ่ายก็ยากมาก

เฉินอี้พบว่าอาจารย์อาน้อยแห่งเขาสู่ซานคนนี้ระวังมากเกินไปหน่อย ไม่เผยพลังบำเพ็ญแม้แต่นิด และยังไม่เผยข้อมูลที่ไม่เกี่ยวข้องใดๆ ไม่พูดมาก ไม่พูดเลย

เขาถอนหายใจเบาในใจ

ใจนึกการคาดเดาหลายอย่างน่าจะสูญเปล่าแล้ว

เฉินอี้ชำเลืองตามองตามจิตใต้สำนึก ก่อนจะมองที่หน้าอกหนิงอี้

เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนถาม “ก่อนหน้านี้บนเขาน้ำค้างเล็ก คนที่เป่าเพลงขลุ่ยคือคุณชายหนิงอี้ใช่หรือไม่”

หนิงอี้อึ้งไป ก่อนจะพยักหน้า

เฉินอี้ชมด้วยรอยยิ้ม เขาพูดอย่างจริงใจ “คุณชายหนิงอี้เป่าขลุ่ยเป็นด้วยรึ”

หนิงอี้ยิ้ม “เป็นแค่เล็กน้อย”

เฉินอี้ยิ้มเช่นกัน “ข้าเป่าได้บ้างเหมือนกัน เมื่อก่อนอยู่หมู่บ้าน เก็บใบไม้ทนๆ มาก็เป่าได้เกือบครึ่งวัน…ขลุ่ยของคุณชายหนิงยังอยู่หรือไม่”

หนิงอี้ยื่นมือไปคว้าขลุ่ยกระดูกตามจิตใต้สำนึก เจอความว่างเปล่า

ที่ราบกระดูกกลายเป็นแกนกระบี่ไปแล้ว ฝังเข้าไปในพินิจเหมันต์แล้ว

เขาหน้าไม่เปลี่ยนสี ใจนึกเจ้าลัทธิเป็นคนที่มีไหวพริบดีจริงๆ

หนิงอี้พูดด้วยความเสียดาย “เรื่องตอนหลังภูเขาวุ่นวายมาก…ขลุ่ยเหมือนจะหายไปแล้ว”

เฉินอี้ยิ้มเจื่อนๆ “นั่นก็น่าเสียดายจริงๆ ตอนแรกอยากจะเรียนกับคุณชายหนิงอี้สักหน่อย…เพลงพวกนั้น เคยได้ยินตอนเดินทางผ่านนอกหมู่บ้านเทือกเขาประจิมเมื่อปีก่อน สตรีขับร้องไปด้วย รู้สึกอ้างว้างนิดๆ และยังมีความเศร้าหน่อยๆ…เพลงนั้นไม่ควรเป็นเช่นนี้”

เฉินอี้ไม่ชอบบรรยากาศเศร้า

แต่ชีวิตมักจะเป็นเช่นนี้ ถูกกดให้ก้มหัวลง ประนีประนอม ยิ่งไม่อยากเห็นอะไรมากเท่าไรก็ยิ่งได้เห็นมากเท่านั้น

เฉินอี้จำได้ว่าคืนก่อนที่จะรับตำแหน่งเจ้าลัทธิ เป็นค่ำคืนเงียบสงบ ก่อนจะกลายเป็นคืนไฟไหม้ที่ไม่สงบที่สุด บ้านหญ้าคาถล่ม ชุดคลุมดำหลั่งไหลเข้ามา มีคนชักดาบกระบี่ มีคนอาบเลือดสู้ มีคนถวายชีวิตเพื่อปกป้องเขา

การต่อสู้เกี่ยวกับอำนาจก็เป็นเช่นนี้เสมอมา…เปลือกนอกสดใสสวยงาม แต่ข้างในมีคลื่นลับไหลหลาก

หลังจากเงามืด แสงสว่างก็เข้ามา เฉินอี้สวมมงกุฎยืนอยู่บนยอดเขาหอสามวิสุทธิ์ การเสียสละทั้งหมดคุ้มค่า

เขาเดินไปบนโลกนี้อย่างระมัดระวัง เพราะเขาต้องระมัดระวัง ทุกวันต้องระวังกว่าเมื่อวาน เขาจำได้ว่าทุกครั้งที่เกิดเรื่องตรงหน้าตน เขาจดจำได้ทุกรายละเอียด ทุกอย่างที่ควรค่าแก่การสงสัย…มีความเป็นไปได้ที่จะสร้างผลลัพธ์ที่ไม่อาจประมาณการได้

เขามาโลกนี้ นั่งตำแหน่งเจ้าลัทธิ ต้องทำเพื่อทุกคนในใต้หล้า ได้แค่สำเร็จ ห้ามพลาด

เฉินอี้ถาม “เพลงนี้มีนามว่าอะไร”

หนิงอี้ชะงักงัน ก่อนพูดปลง “นามของเพลง…คือวสันต์ผาสุก”

…………………………..

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท