ตอนที่ 43 พายุฝนมาคุ (rewrite)
จวนเขาคราม
“ท่านมั่นใจนะว่า…เขามีพลังบำเพ็ญแค่ขอบเขตกลาง”
ทั้งจวนแบ่งเป็นหยินหยางสองด้าน น้ำพุร้อนที่บ่มเพาะชีพจรมังกรนั้นอยู่ด้านหยิน ในการลอบโจมตีครั้งก่อน ได้รับความเสียหายไม่น้อย ปรมาจารย์ค่ายกลของจวนขานฟ้าเสริมการป้องกันของจวนเขาครามให้แกร่งขึ้น สร้างขึ้นมาใหม่
ตอนนี้ด้านหยางของจวนเขาคราม เก้ามังกรคาบไข่มุก ต่อให้อยู่ในคืนมืดก็ยังมีแสงสว่างอยู่เล็กน้อย
ใต้ชายคาวางโต๊ะแปดเซียนสีเขียวมรกตแทบจะออกมาเป็นหยดและมีคุณภาพดียิ่งตัวหนึ่ง ครึ่งใบหน้าคุณชายครามอยู่ในเงามืด เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
เขาพูดคำนี้ ใช้คำเคารพ
ท่าน
คนที่นั่งอยู่ใต้ชายตาบ้านมังกรคาบไข่มุก อาบแสงสว่างอบอุ่น เป็นบุรุษหนุ่มสวมชุดคลุมขาว ใบหน้าดูอ่อนโยนและอบอุ่น สองมือเขายกน้ำชาร้อนถ้วยหนึ่ง ไอร้อนลอยขึ้นช้าๆ
ป้ายคำสั่งจวนปฐพีบนโต๊ะแตกออก
หลี่ไป๋หลินรู้สึกว่าพญายมน้อยที่ถวายชีวิตให้ตน พูดเป็นจริงเป็นจังว่าจะต้องสังหารหนิงอี้ให้ได้ ตอนนี้พลังวิญญาณทั้งหมดในป้ายคำสั่งสลายหายไปในไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ
การต่อสู้ที่ตรอกฝนพรำรู้ผลลัพธ์แล้ว
หลี่ไป๋หลินยิ้มเล็กน้อย “ก่อนที่เรื่องนั้นจะเปิดฉาก ข้าต้องสั่งสมพลัง แต่คนที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้…ขอแค่ไม่ส่งผลกับเรื่องสุดท้าย เช่นนั้นแค่ข้ายื่นนิ้วมือมาก็สังหารได้ หรือไม่ทำก็ได้เช่นกัน หนิงอี้ บังเอิญมาก เขาเป็นบุตรแห่งโชค ขอแค่เขาโดดมาไม่ถึงหน้าข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่มีวิธีปล่อยมือปล่อยเท้าสังหารเขา สิ่งที่ทำได้มีเพียงยืมดาบสังหารคน”
คุณชายครามสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยในดวงตาองค์ชายสาม เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ดูท่าดาบอย่างพญายมน้อยคงจะไม่มีประโยชน์”
“ดาบทื่อเล่มเดียว ได้แค่เชือดไก่ฆ่าสุนัข หักก็หักไป การฆ่าหนิงอี้…เดิมทีข้าไม่ได้หวังกับเขาอยู่แล้ว” หลี่ไป๋หลินหัวเราะเบาๆ “คุณชายชิงเค่อเคยบอกว่าถ้าจะจัดการก็ต้องให้เรื่องใหญ่กว่านี้อีกหน่อย ดังนั้นข้าจึงอดทนอย่างมากมาตลอด ยอมให้อย่างมาก ทว่าเรื่องมาถึงตอนนี้…คงไม่ถึงกับต้องอดทนยอมทุกอย่างให้กับเด็กกำพร้าเทือกเขาประจิมที่แย่งโชควาสนาของข้าหรอกกระมัง”
คุณชายครามพยักหน้า
องค์ชายสามต้าสุยผู้ยิ่งใหญ่ มีบุคลิกดี ไม่ได้หมายความว่าจะโกรธไม่เป็น
เขาพูดอย่างระมัดระวัง “หากหนิงอี้มีพลังเพียงขอบเขตกลางจริงๆ เช่นนั้นในตัวเขาต้องมีโชควาสนาที่สุดยอด”
เขานึกถึงกระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาด
ไม่ใช่กระบี่ที่ขอบเขตกลางจะออกได้เลย
หลี่ไป๋หลินหัวเราะไม่สนใจ “เดินมาถึงก้าวนี้ได้ ใครบ้างไม่มีโชควาสนาอย่างสองอย่าง”
องค์ชายสามก็ได้ยินกระบี่นั้นที่ถนนนิมิตชาด
ตอนนั้นเขากำลังเล่นพวกแมลงวันพวกนั้นในเขตเทือกเขาประจิม ขูดรีดเครื่องบรรณาการที่ส่งมาอย่างเต็มที่ เพ่งพินิจดาบหยกนาฟ้าที่เล่าลือว่ามีค่าเท่าเมือง กำลังอารมณ์ดี แต่หลังจากรู้ข่าวก็กำด้ามดาบหยกแน่น ก่อนจะฟันของอื่นๆ ที่ส่งมาในตำหนักพังหมด
เพราะเหตุใด
พินิจเหมันต์ที่ทำลายถนนมินิตชาดและสร้างความสั่นสะเทือนไปทั้งเมืองหลวงควรเป็นของเขา!
เขาวางแผนมานานขนาดนั้น ทำการตรึกตรองอย่างหนัก ทั้งหมดกลับกลายเป็นของหนิงอี้…
แต่เขากลับได้แค่อดทน!
หลี่ไป๋หลินพูดเสียงเฉยชา “ข้ารู้กฎของสำนักศึกษา เข้าสำนักศึกษาแล้วไม่ยุ่งเรื่องทางโลก ห้ามสมคบคิดกับราชนิกุล หรือเข้าหาราชวงศ์ แต่เส้นทางบำเพ็ญ บางอย่าง…ก็ต้องแย่งชิงกัน คุณชายครามคิดว่าอย่างไร”
เหลียนชิงยิ้ม ในหมอกร้อน ดวงตาเขายากจะคาดเดาได้
“องค์ชายพูดมีเหตุผล เรื่องทางโลกก็ต้องแย่งชิงเหมือนกัน…” เขาชะงักไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “หนิงอี้ผูกอาฆาตกับจวนขานฟ้า ต่อให้ท่านไม่เคยมาจวนเขาคราม ข้าก็ไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆ อยู่แล้ว”
“ขอบเขตแสงดาราเขาไม่สูง มากสุดขอบเขตที่หก น่าจะยังหยุดอยู่ที่ขอบเขตที่ห้า แต่สังหารพญายมน้อยได้ นั่นหมายความว่าเขามีกลอุบายอื่นจริงๆ น่าจะเป็นนักกระบี่ กำลังรบเต็มที่ก็คงแค่เพิ่งคลำพบธรณีประตูขอบเขตที่เจ็ด” หลี่ไป๋หลินพูดเสียงราบเรียบ “ไพ่ตายของเขา ข้ารู้ดี กระบี่นั้นที่ถนนนิมิตชาดต้องจ่ายในราคาสูงมาก น่าจะไม่ฟื้นฟูในเวลาสั้นๆ ช่วงที่เก็บตัวอยู่ในจวนก็เพื่อปกปิดหูตาคน แต่ความจริงกำลังพักฟื้น”
คุณชายครามหรี่ตาลง
นิ้วกลางและนิ้วชี้เขางอเล็กน้อย เคาะโต๊ะเบาๆ ตอนนี้พลันหยุดลง
“ข้าอยากถามองค์ชายเรื่องหนึ่ง”
คุณชายครามนึกถึงร่างเงานั้นที่ขี่หมื่นกระบี่บินมาและทำลายน้ำพุร้อนชีพจรมังกรด้านหยินพังพินาศ….ในน้ำเสียงมีความงงงวยเสี้ยวหนึ่ง และยังมีความโกรธแฝงอยู่
“องค์ชายรู้…ว่าคนที่มาจวนเขาครามข้าเป็นใครหรือไม่”
เมื่อถามคำถามนี้ ดวงตาหรี่ไป๋หลินหลุบลงเล็กน้อย เขามองผิวน้ำชาที่มีไอร้อนลอยขึ้น ในคลื่นแสงกระเพื่อม ลูกตาสีดำเปล่งแสงสว่างสีทองขึ้นช้าๆ
ภายในเมืองนี้ ต่อให้เป็นบิดาของตน จักรพรรดิไท่จง ก็มีเรื่องที่ไม่รู้เหมือนกัน
อย่าว่าแต่ใต้เท้าบุตรสวรรค์เลย ต่อให้เป็นใต้ตาสวรรค์ ในตาสวรรค์ก็ยังมองข้ามไปบางเรื่อง…ตัวอยู่ในสถานการณ์ย่อมไม่รู้ แต่คนนอกอย่างหลี่ไป๋หลิน มุมมองต่างออกไป
เขาไม่ได้รู้มากกว่า
เขาแค่บังเอิญรู้…
หลี่ไป๋หลินนึกไปถึงสัญญาหมั้นที่ไม่มีอำนาจผูกมัดใดๆ นั้น และนึกถึงค่ำคืนที่ตนไปเยือนและถูกปฏิเสธก่อนเขาลั่วเจียจะปิด
สามารถใช้กระบี่บินหมื่นเล่มได้ กลอุบายนี้ เกรงว่าคงมีคนมากมายที่ลืมไปแล้ว
วิชานี้สามารถสืบทอดกันมาได้จากรุ่นสู่รุ่น มีนามว่าคลังมรดกแห่งกระบี่ ยอดอาวุธสังหารวิถีกระบี่ ตอนนั้นเป็นตัวการที่กดดันจนท่านพ่อต้องลงมือสังหาร และในโลกนี้คนที่ชำนาญคลังมรดกแห่งกระบี่มากที่สุด ก็คือขุนพลใหญ่เผยหมินที่เป็นที่เคารพในตอนนั้น
ตนไม่เคยพบหน้าขุนพลเผยหมิน แต่มีสัญญาหมั้นกับบุตรสาวเขา…หลี่ไป๋หลินรู้แก่ใจดีถึงที่มาของสัญญาหมั้นนี้ บิดาตนอยากสังหารคนหนึ่ง มีวิธีมากมาย แต่ก็ต้องการเหตุผล
ไท่จงเมตตาขอหมั้นหมาย เผยหมินปฏิเสธ
ดังนั้นถึงได้เกิดค่ำคืนโลหิตเมืองหลวง
หลี่ไป๋หลินส่ายหน้า สงบใจลง ก่อนเอ่ยอย่างเฉยชา “ไม่ต้องกลัวเบื้องหลังอีกฝ่าย เขาไม่ใช่อาจารย์เบื้องหลังหนิงอี้ ในเมืองหลวง ใครก็ปกป้องหนิงอี้ไม่ได้”
คุณชายครามโล่งอกเบาๆ
เขากังวลเล็กน้อยว่าผู้มีอิทธิพลเรียกลมเรียกฝนพวกนั้นในเมืองหลวง มีบางคนเป็นวัตถุโบราณอยู่มาหลายร้อยปี จะสนใจอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานคนนี้ ยินดีปกป้อง เช่นนั้นการลงมือกับจวนเขาครามก่อนหน้านี้ก็จะเป็นการเตือน
หากเป็นอย่างนั้น ที่ตนเสียเปรียบไปก่อนหน้านี้ก็ได้แต่ช่างมัน
ทว่าตอนนี้การมาเยี่ยมเยือนอย่างเงียบเชียบขององค์ชายสามทำให้เขามีความมั่นใจเพิ่มมาส่วนหนึ่ง ดูท่าคงไม่ใช่แค่จวนขานฟ้ากับสำนักศึกษา ราชวงศ์ที่อยู่สูงสุดในเมืองหลวงก็อยากจะให้อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานผู้อวดดีคนนี้ตายในวันหิมะตกที่หนาวเหน็บที่สุดในอาณาจักรเหมือนกัน
“องค์ชายพูดเช่นนี้ ข้าก็วางใจ”
คุณชายครามพ่นลมหายใจออกเบาๆ เงยหน้ามองฟ้า
อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานลึกลับที่มีศักยภาพ พลังบำเพ็ญและเบื้องหลังลึกลับคนนั้น เป็นเพียงนักกระบี่ขอบเขตกลาง ดูแค่ระยะเวลาการฝึกก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะจริงๆ แต่ถ้าจะผลักเขาลงจากแท่นบวงสรวงเทพ กระทั่งไม่ต้องให้ตนลงมือ จวนขานฟ้าก็มีกลอุบายที่ให้ขึ้นเวทีไม่ได้
ขอแค่คลำพบรากฐานของหนิงอี้ก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
คุณชายครามหรี่ตาลง ใบหน้ามืดทะมึน
เขากำสองหมัดแน่น นั่งหน้าโต๊ะ อาภรณ์ปลิวไสวเองแม้ไร้สายลม
เขาไม่ได้กังวลแค่หนิงอี้ที่มีพลังขอบเขตกลาง เบื้องหน้า กระบี่นั้นบนถนนนิมิตชาดได้ขีดบุญคุณความแค้นไว้ชัดเจน แต่คนชุดคลุมดำที่เข้ามาทำลายจวนเขาคราม ทำให้ตนทุกข์มากที่สุดในชีวิต
เขากำลังรอให้คนชุดคลุมดำนั้นมาเป็นครั้งที่สอง
ทั้งจวนขานฟ้าเตรียมการรับมือรอบด้านแล้ว
……
นอกตรอกฝนพรำ เด็กหนุ่มที่โยนหัวคนนั้นออกมา มีสีหน้าเฉยชา
พญายมน้อยแห่งจวนปฐพีถูกเขาฟันกระบี่ใส่ ความจริงนี่เป็นผลการรบที่ควรค่าแก่การโอ้อวด แต่ใบหน้าของหนิงอี้ไม่มีความลำพองใจใดๆ เลย
นอกตรอกเล็กเงียบสงัด
หัวคนนั้นสร้างความตื่นตกใจอย่างยิ่ง ภายในตรอกเกิดการต่อสู้อย่างดุเดือด อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานสู้กับพญายมน้อยที่ป่าวประกาศว่าจะสังหารคุณชายครามแห่งจวนขานฟ้า แต่หนิงอี้ที่สุดท้ายหิ้วหัวเดินออกมาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย สองข้างกำแพงตรอกเล็กเต็มไปด้วยเลือดเนื้อ หากเดาไม่ผิด มือสังหารจวนปฐพีคนนี้ยังวางกับดักไว้อีกมากมาย
อย่างเช่นค่ายกลผนึกแสงดารา
และยังมีค่ายกลกั้นเสียงไม่ให้คนนอกได้ยิน
ดูท่าคงจะสังหารหนิงอี้ให้ได้ แต่ไม่นึกว่าหนิงอี้จะแกร่งขนาดนี้ ใช้ทุกอย่างที่วางไว้ สุดท้ายหนีก็หนีไม่รอด ได้แต่กล้ำกลืนความแค้น
พญายมน้อยตายที่นี่
ท่านหญิงถ้ำกวางขาวถามเสียงเบา “หนิงอี้…พญายมน้อย เบื้องหลังเขาเป็นใครบงการกัน ถึงกล้าหาญเช่นนี้”
คิดจะสังหารคนในเมืองหลวง!
กฎหมายต้าสุยอยู่ที่ใด
หนิงอี้พ่นลมหายใจขุ่น เขามองไปรอบๆ แววตาไม่ทิ้งร่องรอย ชำเลืองตามองไปเห็นเด็กสาวเผยฝานที่สวมงอบอยู่ในกลุ่มคน ใจสั่นไหวขึ้นมา ก่อนจะละสายตากลับ มาแสยะปากยิ้มให้ท่านหญิงถ้ำกวางขาว
เขาพูดอย่างอบอุ่น “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับคนอื่น เป็นความแค้นส่วนตัว ไม่มีตัวบงการ ถือว่าเป็นการท้าสู้กัน…ไม่มีที่ใดผิดกฎ”
การท้าสู้กันรึ
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ศิษย์สองสำนักศึกษาใจสั่นไหว สองด้านทั้งตรอกเล็กถูกปราณกระบี่สาดเลือดกระจายเต็มไปหมด อาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานที่สืบทอดมรดกของสวีจั้งมาคนนี้ ลงมือเหี้ยมโหดจริงๆ
ไม่มีใครสงสัยว่าไม่เหมาะสม พญายมน้อยกล้าหาญจริงๆ มือสังหารจวนปฐพีคนนี้ หากทำสำเร็จก็จะสังหารอาจารย์อาน้อยเขาสู่ซานในเมืองหลวงจริงๆ ไม่พูดว่ากฎหมายต้าสุยจะจัดการอย่างไร แต่ในเขตต้าสุยจะต้องเกิดการล่าสังหารจากเขาสู่ซาน หากเจ้าภูเขาน้อยเขาสู่ซานลงมือ เช่นนั้นต่อให้พญายมใหญ่บางคนในจวนปฐพีลงมือ ก็เกรงว่าจะปกป้องพญายมน้อยไว้ไม่ได้
หักใจขีดบุญคุณความแค้นนี้ให้ชัดเจน ความจริงภายในใจหนิงอี้ก็เอ่ยนามของหลี่ไป๋หลินช้าๆ
องค์ชายสามต้าสุยคนนี้วางกับดักลงมือกับตน วางไว้ในทุกจุดทั้งตรอกเล็ก
ไม่มีใครรู้ว่าตนกับหลี่ไป๋หลินเคยมีความแค้นต่อกัน
หากตนเอ่ยออกมา ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยังมีกลอุบายอีกเท่าไร มีหลุมพรางที่ขุดไว้อีกเท่าไรที่รอตนพูดออกมา
ท่ามกลางความเงียบของตรอกเล็ก
เสียงหนึ่งดังแว่วมา
“กรมผู้คุมกฎ…เมืองหลวงต้าสุยมาแล้ว!”
…………………………….