เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า – ตอนที่ 93 ผู้ฝึกบำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ สามเคราะห์สี่หายนะ

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 93 ผู้ฝึกบำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ สามเคราะห์สี่หายนะ

“บอกนามทั้งสองท่านไปก็ไม่มีประโยชน์…” หนิงอี้ยิ้มพลางเอานิ้วมาวางบนด้ามกระบี่ยาว พูดราบเรียบ “ถึงอย่างไรทั้งสองท่านก็เป็นคนตายไปแล้ว”

เจ้าภูเขาพัดหลิวตื่นกลัวขึ้นมา

หนิงอี้ปล่อยมือนั้นที่จับด้ามกระบี่เบาๆ กลางฝ่ามือกดด้ามกระบี่กลม ปลายเท้าเตะเข้าไป เชือกสองเส้นลอยออกไป หนึ่ง ‘ขนห่าน’ อีกหนึ่ง ‘ไท่ซาน’

‘ใต้ฟ้าต้าสุยปราณกระบี่ท่องหล้า’ เล่มนั้นเปิดดินบนพื้นขึ้นมาจริงๆ หินดินแตกกระจาย ปราณกระบี่พุ่งออกไป ฝักกระบี่หนักนั้นหลุดออกจากร่าง พลันมาอยู่ตรงหน้าเจ้าภูเขาพัดหลิว คนชราอายุมากร้อยปีคนนี้ยกสองแขนขึ้น ตัดสลับกันต้านแรงปะทะ ร่างเขากระเด็นไปข้างหลัง กระแทกกับกำแพงโรงเตี๊ยม

ทั้งโรงเตี๊ยมโคลงเคลง

แต่ผนังหินนั้น ไม่รู้ทำจากวัสดุใด แข็งทนทานอย่างยิ่ง เจ้าภูเขาพัดหลิวกระแทกกำแพงแตกเป็นใยแมงมุมยักษ์ มองจากข้างนอก โรงเตี๊ยมที่โคลงเคลงจะถล่มลง ยังคงตั้งตระหง่านกลางพายุฝน ไม่มีแนวโน้มจะพังทลายลงเลย

หญิงชราเขาสายลมวสันต์หน้าดำมืด นางจ้องแปดคำนั้นบนตัวหนิงอี้เขม็ง

จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงที่เบาอย่างยิ่ง

“ใต้ฟ้าต้าสุย ปราณกระบี่ท่องหล้า”

หนิงอี้หัวเราะเบาๆ

หญิงชราสวมงอบใหญ่พลันถูกแสงเย็นเยือกจู่โจมในพริบตา ห่างไปสามฉื่อ งอบของนางแตกเป็นเสี่ยงๆ กระบี่ตารางหนาเล่มนั้นหลุดจากมือเมื่อไรไม่รู้ พุ่งตรงมาหน้านาง เทียบกับฝักกระบี่หนักนั้นก่อนหน้านี้แล้ว ปราณกระบี่ของกระบี่ยาวนี้แหลมคมจนน่ากลัว

นางพลิกข้อมือ ประกบสองมือ อยากจะคีบแสงเย็นเยือกนั้นไว้กลางฝ่ามือ ดังนั้นเชือก ‘ขนห่าน’ นั้นพลันสว่างขึ้นโดยสังเกตเห็นได้ยาก ตอนที่เข้ามาใกล้ก็เพิ่มความเร็วขึ้น ชั่วพริบตาเดียวก็ทะลวงหน้าอกหญิงชรา ตอกนางกับกำแพงหินโรงเตี๊ยมอย่างแรง

เมื่อตอกเข้าผนังหินดุจค้อนใหญ่ตอกกำแพงแล้ว เชือก ‘เขาไท่ซาน’ นั้นสว่างขึ้นอีกครั้ง ผนังหินที่แข็งแรงทนทานพลันถล่มลง เจ้าภูเขาสายลมวสันต์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังล้มลงในหินแตกหัก เงยหน้ามองฟ้า งอบฉีกขาด หยดน้ำฝนบนฟ้ากระทบแก้มลึกลับที่เผยไปนอกโรงเตี๊ยม ในนั้นไม่ใช่หญิงชราอายุร้อยแปดสิบปี แต่เป็นใบหน้าเด็กสาวสับสน

หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น รู้สึกสนใจ

ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเด็กสาว ‘วัยแรกแย้ม’ ไม่รู้ว่าฝึกวิชาอะไร พลังชีวิตสิ้นไปแล้ว แก้มเด็กสาวถูกหยดน้ำกระทบเกิดคลื่นกระเพื่อม ค่อยๆ เหี่ยวย่น เปลี่ยนเป็นแก่ชรา

หานเยวียแห่งแดนบูรพามาจากแดนทักษิณ สู้จนมีชื่อเสียง นี่คือการเลียนแบบเขาเดินบนเส้นทางนอกรีตชั่วร้ายนั้น ผู้ฝึกบำเพ็ญแดนทักษิณเหมือนกันหมด คนที่ฝึกจนมีสภาพภูตผีอย่างหญิงชราภูเขาสายลมวสันต์นี้ ดูท่าคงมีไม่ใช่น้อยๆ ในแดนบูรพา

ส่วนเจ้าภูเขาพัดหลิวที่ถูกฝักกระบี่อัดเหมือนจะหมดสติไปแล้วนั้น ข้างกายเป็นผนังหินแตกเป็นรูยักษ์ ดูเหมือนศพ เขาขยับตัวทีหนึ่ง พลันพลิกตัว กดปลายเท้ากับพื้น พุ่งออกไปเหมือนลำแสง พยายามใช้กำลังทั้งหมดหนีไปนอกโรงเตี๊ยม

เด็กสาวที่กอดร่มกระดาษมันยื่นมือข้างหนึ่ง ตะโกนเสียงดัง “กลับมา!”

ฝ่ามือนั้นเล็งไปที่หัวใจข้างหลังเจ้าภูเขาพัดหลิวที่กำลังหนีออกไป

ระหว่างคิ้วของเผยฝานขยับแสงสีแดง ห่างจากโรงเตี๊ยมไกลลิบ ฝนตกหนักเชื่อมเป็นเส้นสาย เส้นปราณกระบี่นับพันนับหมื่นในฟ้าดินตัดสลับกัน ฟันสายฝนขาด เมื่อเด็กสาวกำห้านิ้วมือ ก็รวมเป็นข่ายใหญ่ทันที

เผยฝานกระชากแขนเบาๆ

หนิงอี้ถอนหายใจยาวในใจ

ตนออกมือ ยังเหลือศพสมบูรณ์ไว้ร่างหนึ่ง

ส่วนเด็กสาวออกมือ…

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เจ้าภูเขาพัดหลิวที่หนีออกจากโรงเตี๊ยม ยังไม่ทันออกไปได้จั้งกว่าก็ถูกเส้นยาวปราณกระบี่ลากกลับมา แต่ละชิ้นสาดกระจายใส่ผนังหินพังทลาย ฝนตกหนักกับสายฟ้าโหมซัดสาดข้างนอก พายุเงามืดถาโถมเข้ามา

โรงเตี๊ยมเงียบสงัด

ชั้นหนึ่งเต็มไปด้วยศพ หมอกโลหิตจากปราณดาบเชือดเฉือนถูกสายลมนอกโรงเตี๊ยมพัดหายไป กระจายไปข้างนอก

แสงเทียนข้างในแกว่งไกวกลางพายุอย่างบ้าคลั่ง แต่ก็ยังไม่ดับ

ภายในโรงเตี๊ยมมืดสลัว

หนิงอี้มองทางขึ้นชั้นสองด้วยสีหน้าซับซ้อน

ตรงนั้นมีเด็กสองคนนั่งอยู่ หน้าตาน่ารัก แยกแยะชายหญิงได้ยาก ถักผมเปียหางแกะชี้ฟ้าสองข้าง แกว่งขาสองข้างตรงทางขึ้นชั้นสอง ใบไม้ผลิแรกยังคงหนาว เด็กสองคนเยาว์วัยกลับไม่รู้ตัวเลย บนตัวคลุมแค่ผ้าเนื้อหยาบบางๆ

มีแค่นี้

หน้าขาวซีดจนน่าตกใจ มุมปากเป็นสีแดงก่ำ

“หรือว่าแดนบูรพาจะมีแต่พวกคนก็ไม่ใช่ผีก็ไม่ใช่พวกนี้กัน”

เผยฝานขมวดคิ้ว นางส่งร่มกระดาษมันให้หนิงอี้ที่มีสีหน้าเคร่งขรึมอย่างเบามือ ก่อนพูดอย่างจริงจัง “เมื่อครู่เล่นใหญ่มาก หลี่ไป๋จิงจะทำอะไรกันแน่”

หนิงอี้รับร่มกระดาษมัน เขาพูดเสียงเบา “วันล่าเหยื่อต้องการผู้บำเพ็ญอัจฉริยะต่ำกว่าสิบขอบเขตร่วมเดินทาง กองกำลังสองฝ่ายพบกัน ย่อมมีการทักทายด้วยดาบและกระบี่ บุตรศักดิ์สิทธิ์ทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ต้าสุยติดที่เกียรติ ต้องรอออกหน้าในงานราชวงศ์ใหญ่ ดังนั้นไม่ว่าจะหลี่ไป๋จิงหรือหลี่ไป๋หลิน ก็ได้แต่หาคนจากผู้ฝึกบำเพ็ญป่าเขาพวกนี้”

“ส่วนแดนบูรพา…” เขาชะงักไป ก่อนพูดด้วยรอยยิ้ม “สามเคราะห์สี่หายนะใต้มือหายเยวียล้วนเป็นผู้ฝึกภูตผีจากแดนทักษิณ ขุมอำนาจใต้บัญชาอยู่ในป่าเขาแดนทักษิณ สอนภูตผีปีศาจอะไรก็เป็นเรื่องปกติมาก”

เด็กสองคนที่นั่งตรงทางขึ้นบันไดมีใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์ ฟังคำพูดหนิงอี้ คนทางซ้ายและขวาพลันหยุดการแกว่งเท้า สองมือซ้อนกันนั่งอย่างสงบนิ่ง

คนทางซ้ายพูดเสียงแหบแห้ง “เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะควักไส้เจ้าออกมา”

คนทางขวาพูดด้วยน้ำเสียงไม่แก่ชรา แต่นุ่มนวล ทว่าพูดถึงช่วงหลังก็เหี้ยมโหดกว่าคนก่อนหน้า “ข้าจะดึงเส้นเอ็นลอกหนังพวกเจ้าสองคน เอาเครื่องในให้หมาป่าข้างนอกกิน!”

หนิงอี้ถอนหายใจ

เขาพูดงึมงำ “หรือข้าต้องฆ่าทั้งโรงเตี๊ยมจริงๆ ถึงจะให้ทูตประจำแดนบูรพามาต้อนรับข้าด้วยตนเอง”

เด็กสาวพูดอย่างจริงจัง “ให้ข้าไปแดนอุดรเป็นเพื่อนเจ้าเถอะ”

หนิงอี้มองค้อน “รอก่อน”

เด็กสองคนที่นั่งตรงปากบันไดโรงเตี๊ยมตื่นกลัว ไม่ทันตั้งตัวก็ปรากฏร่างเงาสีดำที่สูงกว่าตนหลายเท่าขึ้นตรงหน้า ก่อนจะตามด้วยการตบหน้าสองที ซ้ายขวาเข้าที่แก้ม ไม่ทันตั้งตัวเลย

ผู้บำเพ็ญภูตผีแดนบูรพาสองคนจะร้องเสียงดัง ยังไม่ทันส่งเสียงก็ถูกหนิงอี้บีบคอไว้

หนิงอี้ชำเลืองตามองเด็กสองคนที่ทั้งกัดทั้งจิกมือตน ไอแห่งมารเงามืดแดนทักษิณถาโถมเข้ามา แสงดาราสีฟ้าใสโดดไปมาในตัวเขา กลั้นอารมณ์ชั่ววูบจะเรียก ‘คนยักษ์ดารา’ ออกมาไว้ ก่อนจะเอ่ยราบเรียบ “ข้างนอกฝนตกหนัก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะโยนพวกเจ้าไปบนหลังคา ใช้วิชาอัสนีปรนนิบัติดูแล ให้พวกเจ้าวิญญาณสลายหายไปตลอดกาล”

เด็กสองคนตาหรี่แคบลง เล็บมือดำยาวเฟื้อยถอยหายไปช้าๆ

หนิงอี้ยกเด็กสองคนมาถึงห้องอักษรดิน

“ผู้ฝึกบำเพ็ญภูตผีแดนทักษิณ หลอมศพเงามืดเป็นวิธีการอย่างหนึ่ง แต่จับเด็กมาหลอมมีอัตราสำเร็จต่ำมาก จะหลอมศพเด็กที่แบ่งเป็นธาตุน้ำกับดินสองคน เกรงว่าคงต้องฆ่าล้างทั้งหมู่บ้าน” หนิงอี้พูดกับห้องนั้นเบาๆ “ท่านกระทำโหดเหี้ยมเช่นนี้ ดูแล้วไม่เหมือนคนสติเลอะเลือน”

ภายในห้องเงียบ

“เป็นคนตาดี” คนนั้นพูดเสียงต่ำ “เจ้าคืนเด็กสองคนนั้นของข้ามา ข้าจะถือว่าเรื่องในคืนนี้ไม่เคยเกิดขึ้น”

“เด็ก…” หนิงอี้ยิ้ม “หลอมศพปัญจธาตุ ข้างในยังมีอีกสามคน หรือมากกว่านั้นล่ะ คืนให้เจ้าก็ใช่ว่าจะไม่ได้…”

เขากดศีรษะเด็กสองคนชนกับประตูห้อง เสียงร้องแหลมเล็กสองเสียงดังขึ้น

“บังอาจ!”

เสียงด่าทอด้วยความโกรธและนุ่มนวลดังแว่วมาจากข้างใน

“บังอาจอะไรกัน”

หนิงอี้ยิ้มเยาะ ก่อนจะถีบประตูเข้าไป ไอภูตผีกระจายเข้ามามืดฟ้ามัวดิน

ร่มกระดาษมันกางออก

เสียงสะอื้นไห้ของทารก เสียงคำรามของสัตว์ป่า เสียงตะโกนของหญิงและชาย เหมือนก้าวสู่นรกไร้ขอบเขต หลังกางร่มก็เกิดความเงียบสงบ เสียงทั้งหมดข้างนอกถูกกั้นไว้

“อีแค่ผู้ฝึกภูตผีเล็กจ้อย กลับพูดจาใหญ่โตอย่างไม่ละอาย จะดึงกระดูกถลกหนัง อย่างเจ้าคู่ควรรึ”

หนิงอี้หรี่ตาลง เดินหนึ่งก้าว พลันหุบกระบี่ร่ม ทันใดนั้นปราณหยินเต็มฟ้าก็รวมกันเป็นเส้นยาวเหมือนน้ำตก ควบคุมไม่ได้

หนึ่งกระบี่ตัดผ่าน!

ภายในห้องเหมือนกับยามกลางวัน

จากนั้นภายในห้อง ปรากฏเส้นแสงสีเงินขยับวูบไหว

เสียงทั้งหมดพลันหายไป

ศีรษะข้ามประตูไม้ ร่างโยกเยกไปมาตามประตูไม้เหมือนตุ๊กตาที่ห้อยอยู่ ศพหลอมปัญจธาตุเด็กสองคนนั้นโคลงเคลง กลายเป็นผุยผง สลายไปตามลม

หนิงอี้ถือกระบี่ร่ม เดินออกจากห้องด้วยใบหน้าไร้คลื่นอารมณ์

เขายืนตรงทางเดินยาวและมืด ในชั้นสอง ไอแห่งมารเงามืดรุนแรงอย่างยิ่ง แต่ละห้องประตูปิดสนิท ไอหนาวลอดผ่านประตูออกมา ไม่รู้ข้างในมีผีวัวเทพงูกี่ตน เหมือนว่าไม่มีผู้บำเพ็ญปกติเลยสักคน

หนิงอี้เอ่ยราบเรียบ “ข้านับถึงสาม แดนบูรพา หากไม่มีแม้แต่คนที่พูดได้ เช่นนั้นคืนนี้ ในโรงเตี๊ยมคงไม่ต้องมีใครรอด ข้าจะไปเยือนทุกคน ฆ่าให้หมดไม่ให้เหลือ”

คำพูดนี้จบลง

“สหายน้อย…กลิ่นอายสังหารเจ้าหนักเกินไปหรือไม่”

ห้องตรงสุดทางเดิน ประตูไม้เปิดเองโดยไม่มีลมพัด ควันดำรวมเป็นร่างชายชรา ตรงหน้าผากเขามีเหงื่อเย็นๆ ซึมออกมา ตอนนี้หลังค่อม พยายามเค้นรอยยิ้ม “เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญถูกต้องชอบธรรมในเขตแดน เหตุใดไอมารถึงมากกว่าข้า พวกเราเป็นผู้บำเพ็ญภูตผีจากแดนทักษิณก็จริง แต่ไม่เห็นจำเป็นต้องฆ่ากันทั้งหมดเลย รอบเมืองหลวงมีเจ็ดโรงเตี๊ยม ถ้าเจ้าไม่มีที่ค้างแรม ข้าจะยกห้องให้เจ้า ว่าอย่างไร”

หนิงอี้เงียบ

ชายชราได้ยินเสียงดังข้างนอกเช่นกัน คนที่มีคุณสมบัติพักห้องส่วนตัวที่นี่ เป็นผู้บำเพ็ญที่เจ้าภูเขา ‘สายลมวสันต์’ กับ ‘ภูเขาพัดหลิว’ ข้างล่างนั่นรวมกันก็ยังแกร่งกว่า ถึงอย่างไรผู้บำเพ็ญป่าเขาของชายแดนใต้ดินแดนบูรพา ขอบเขตหลังก็มากพอจะแสดงอำนาจแล้ว

หนุ่มคนนี้ฆ่าชั้นหนึ่งทั้งหมด เดาว่าคงใช้เวลาราวครึ่งถ้วยน้ำชา เขารู้ตัวเองว่าก็ทำได้เช่นกัน แต่สังหารผู้หลอม ‘ศพปัญจธาตุ’ ห้องในสุดกลับใช้เวลาไปเพียงสิบกว่าลมหายใจเท่านั้น

ไม่มีวิชาที่ใช้ต่อกรกับวิถีภูตผีโดยเฉพาะก็เป็นทายาทฝ่ายในของยอดผู้บำเพ็ญ

ไม่ว่าอย่างใด เขาก็ล่วงเกินไม่ได้

ตามหลักแล้ว คนเช่นนี้…ท่านทูตน่าจะต้อนรับราวกับเป็นพระโพธิสัตว์ถึงจะถูก

ท่านทูตล่ะ

เขาชำเลืองตามองไปข้างล่าง ก็ตกใจสะดุ้ง

ท่านทูตคนนั้นศีรษะตกลงถูกกดในโต๊ะต้อนรับ ตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรได้อีก

รอบเมืองหลวง โรงเตี๊ยมเจ็ดแห่ง คืนนี้จะเลือกคนมีฝีมือติดตามองค์ชายรองไปแดนอุดรด้วยกัน ‘สามเคราะห์สี่หายนะ’ แห่งแดนบูรพาล้วนเป็นยอดผู้บำเพ็ญเหนือกว่าสิบขอบเขต ติดตามหานเยวียมาหลายปีแล้ว คนหนึ่งจะรับผิดชอบหนึ่งโรงเตี๊ยม มีชื่อเสียงของพวกเขาอยู่ ใครจะกล้าสร้างความวุ่นวายเช่นนี้

คนชรามองหนิงอี้อีกครั้ง เกิดความหวาดกลัวในใจ

คนที่เจอในวันนี้เป็นตัวอ่อนสังหารชัดๆ!

………………………….

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

Status: Ongoing

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน