ตอนที่ 95 โลหิตบริสุทธิ์ชีวิตวิถีกระบี่
“หานเยวียหรือน้ำค้าง ก็ได้ทั้งนั้น ตามที่เจ้าชอบ”
บุรุษที่มีสีหน้าเหมือนปกติยิ้มเล็กน้อย นิ้วมือขยับบนศีรษะเบาๆ เนื้อศีรษะนั้นแห้งเหี่ยวลงด้วยสายตามองเห็น พลังเลือดลมไหลผ่านห้านิ้วมือไปรวมที่ตัวเขา อาภรณ์ขาดวิ่น เปลือยกายและเผยผิวพรรณแตกลายเป็นแผ่นใหญ่ๆ เหมือนมังกรงูขดไปมา เส้นเลือดบ้างสีแดงบ้างสีเขียวปูดขึ้น ส่งต่อเป็นข้อๆ
เขายกมือขึ้นลูบตรงหน้าตนเบาๆ
ใบหน้าขาวซีดนั้นมีความแดงเรื่อเพิ่มมาสี่ห้าส่วน
จากนั้นหานเยวียยื่นมือข้างหนึ่ง แกะดวงตาสองดวงของศีรษะข้างๆ ออก สองมือกำดวงตา กดเข้าไปในกระบอกตาว่างเปล่าของตนช้าๆ เลือดสีแดงไหลอาบทั้งใบหน้า
เขาแสยะปากยิ้ม สองมือบีบแก้ม เช็ดคราบเลือด กลับมาในสภาพผู้คงแก่เรียนหล่อเหลานั้นแบบเดิม
เทียบกับผู้คงแก่เรียนนั้นที่นอนบนพื้น นอกจากส่วนสูงจะต่างกันเล็กน้อยแล้ว ส่วนอื่นไม่มีต่างกันเลย
นี่เป็นวิชาที่แปลกเพียงใด
เผยฝานกอดปราณกระบี่ท่องหล้าในอก ยืนข้างหนิงอี้ด้วยสีหน้าจริงจัง จ้อง ‘บุรุษผอมสูง’ ที่นั่งบนชั้นสองมองลงมาด้วยสายตาไม่เป็นสุข
“ไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนดีอะไร แต่ที่นี่เป็นเขตเมืองหลวง เป็นแดนกลางต้าสุย” บุรุษผอมสูงลุกขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ใช่แดนบูรพาและชายแดนทักษิณ ดังนั้นข้าจึงไม่ลงมือกับพวกเจ้า”
เมื่อเขาลงมา ตัวบุรุษผอมสูงก็เกิดเสียงถั่วระเบิดดังกังวานไม่หยุด ดังเปาะแปะ ภายใต้ความสามารถในการควบคุมแข็งแกร่ง ตัวเขาค่อยๆ เตี้ยลง กลับมาในสภาพผู้คงแก่เรียนที่เดินทางมานั้น ตอนเดินมาอยู่หน้าหนิงอี้ก็ไม่เห็นคราบเลือดกับบาดแผลแล้ว เป็นเหมือนผู้คงแก่เรียนอ่อนแอ
หานเยวียหยิบถั่วเหลืองคั่วเม็ดหนึ่งบนโต๊ะต้อนรับขึ้นมาใส่ปากตัวเอง เคี้ยวช้าๆ
“ได้ยินว่าคุณชายน้ำค้างมีพันหน้า” หนิงอี้เอ่ยนิ่งๆ “วิชาบำเพ็ญภูตผีชั้นยอดของแดนทักษิณ วันนี้ได้เห็น ช่างสุดยอดจริงๆ”
“สู้พวกเจ้าไม่ได้หรอก”
หานเยวียยิ้ม ตอนนี้เขาเหมือนคุยกับสหายเก่า มีท่าทีง่ายๆ สบายๆ ข้อศอกวางข้างโต๊ะต้อนรับ วางคางกลางฝ่ามือ พูดอย่างเกียจคร้าน “ข้าแก่แล้ว อยู่ได้อีกไม่กี่ปี มีศัตรูอยู่เยอะ มีคนมาล้างแค้นทุกวันนับไม่ถ้วน ถ่มน้ำลายคนละทีก็ทำให้ข้าจมน้ำตายได้ ถ้าไม่มีวิชาอำพรางตัวจริงบ้าง จะหลบจากศัตรูมาแก้แค้นได้อย่างไร”
หนิงอี้ฉีกมุมปาก
เขาถือว่าได้เห็นคนที่หน้าหนากว่าตนแล้ว ด้วยชื่อเสียงของหานเยวีย ใครจะกล้ามาแก้แค้นเขา เขาไม่ไปหาถึงบ้านก็บุญแล้ว
อยู่ร่วมห้องกับบุรุษคนนี้ หนิงอี้มีสีหน้าราบเรียบ แต่เหมือนเกิดผื่นไปทั้งตัว เหมือนถูกงูรัด ถูกสิ่งที่มีพิษร้ายแรงจับจ้อง…พอนึกดูก็พบว่าหลังจากหานเยวียมาถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้ สิ่งที่ทำล้วนไม่ใช่หลักการปกติ
ฉีกหน้าตัวเอง แสดงวิชาน่าเหลือเชื่อเปลี่ยนร่าง จากนั้นฆ่าผู้ฝึกพเนจรดินแดนทักษิณบนชั้นสองทั้งหมด กระทั่งยังสังหารแขกเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเชิญมา
หากเดาไม่ผิด คนที่รับผิดชอบเก็บศพแขกของ ‘เขาล่องโอฬาร’ กับ ‘ภูเขาเชียง’ ก็น่าจะเป็นยอดผู้บำเพ็ญหนึ่งใน ‘สามเคราะห์สี่หายนะ’
หนิงอี้สูดลมหายใจเข้าลึก เขาตบบ่าเด็กสาวเบาๆ “กลับบ้านไปก่อน ส่งเท่านี้ก็พอ”
เผยฝานหน้าเปลี่ยนสีไป
หานเยวียมองเด็กสาวด้วยรอยยิ้ม พูดเสียงเบา “ไม่ต้องหรอก นั่งอีกสักเดี๋ยวเถอะ”
เด็กสาวขนลุกไปทั้งตัว แม้จะเป็นเช่นนั้นนางก็ยังไม่ยอมไป
“อย่าดื้อ”
หนิงอี้ขวางหน้านางไว้ด้วยรอยยิ้ม เขามองผู้คงแก่เรียน พูดอย่างอ่อนโยนโดยไม่หันมามอง “คุณชายหานเยวียมีวิชาเหนือชั้น ครั้งนี้ถึงขั้นสังหารแขกเขาศักดิ์สิทธิ์ไปสองคน ไม่มีอะไรที่เจ้าต้องกังวลแล้ว กลับไป…รอข่าวดีของข้า”
เด็กสาวครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพ่นลมหายใจ
นางปล่อยกระบี่ตารางหนา พูดเสียงเบา “ดี”
…….
จนเมื่อเด็กสาวออกจากโรงเตี๊ยม
ในที่สุดหนิงอี้ก็โล่งอก ตรงหน้าเป็นคุณชายน้ำค้างที่มีอำนาจและเลวบริสุทธิ์ในแดนบูรพา หากเด็กสาวอยู่ที่นี่ เขาจะปล่อยมือปล่อยเท้าไม่ได้จริงๆ
หนิงอี้ทำอะไร จะต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด
แต่ใต้ฟ้าต้าสุยสองแดนบูรพาและประจิม ไม่ว่าจะเลือกฝ่ายใด ล้วนมีความรู้สึกว่าหารือกับพยัคฆ์
“องค์ชายรองไปแดนอุดรก่อนแล้ว”
หานเยวียยันข้อศอกบนโต๊ะ เขายิ้มบางๆ พูดเสียงเบา “ที่ราบสูงของแดนอุดรมีทะเลพลิกผันกั้นระหว่างเผ่าปีศาจกับแผ่นดินใหญ่ เหนือกว่าสิบขอบเขต ต่ำกว่าราชันดารา การจะข้ามทะเลพลิกผันนั้นต้องจ่ายไปอย่างมหาศาล ข้าไม่สะดวกตามไปด้วยตนเอง ทางหลี่ไป๋หลินก็เช่นกัน ยอดฝีมือที่แท้จริงไม่เข้าร่วมวันล่าเหยื่อครั้งนี้”
หนิงอี้ครุ่นคิด
“คนที่ออกมือจริงส่วนใหญ่จะเป็นผู้บำเพ็ญรุ่นเยาว์ นี่เป็นกฎที่ฝ่าบาทยอมรับโดยนัย” หานเยวียก้มหน้าลง นิ้วมือเขี่ยถั่วเหลืองคั่วที่กลิ้งไปมาในจาน โยนขึ้นทีละชิ้น แลบลิ้นยาวออกมาม้วน กินอย่างออกรส “ศึกของจิงกับหลินอยู่ในเขตต้องห้ามปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณ ไม่ว่าจะแดนบูรพาหรือแดนประจิม คนส่วนใหญ่จะติดตามไป”
หนิงอี้หรี่ตาลง
“แต่เจ้าไม่เหมือนกัน”
หนิงอี้จ้องหานเยวีย พบว่าปลายลิ้นที่บุรุษคนนี้ม้วนถั่วเหลืองแยกเป็นสองแฉกเหมือนอสรพิษ เห็นแล้วยังขนพองสยองเกล้า เป็นสัตว์ประหลาดจริงๆ
หานเยวียเหมือนไม่สนใจสายตาของหนิงอี้ เขาเลิกโยนเองกินเอง เลิกทำให้ตัวเองมีความสุขอีก แต่เม้มริมฝีปาก พูดอย่างสบายใจ “แดนประจิมมีสินค้าที่สำคัญมาก พวกเราจะสกัดไว้ ในการเดินทางครั้งนี้มีคนที่เก่งกาจอยู่ ไม่ใช่แค่เจ้า แต่ยังมีเขาศักดิ์สิทธิ์อื่น ส่วนตัวตนของคนพวกนั้น ข้าไม่สะดวกพูด เจ้าเองก็ไม่ต้องรู้”
เขาโยนป้ายคำสั่งมาอันหนึ่ง
หนิงอี้รับไว้ในมือ พบว่าป้ายคำสั่งนี้ขนาดพอๆ กับอันนั้นของตน ลักษณะกลมโค้ง ถือไว้พอดีมือ
ภายนอกของป้ายคำสั่งประทับดอกบัวเช่นกัน เพียงแต่ว่าข้างในฝังค่ายกลง่ายๆ ไว้ ใช้ครั้งเดียวก็พัง
“หนิงอี้ เจ้าคือหมายเลขเก้า ระหว่างทางอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรถาม” หานเยวียเอ่ยราบเรียบ “ป้ายคำสั่งนี้ใช้เลือดหัวใจของแดนบูรพาไปเยอะมาก หลังบีบแตกจะมีกำลังเสริมมา ไปถึงแดนอุดรแล้ว พวกเจ้าตามหลังองค์ชายรอง รอโอกาสลงมือก็พอ”
หนิงอี้ก้มหน้าครุ่นคิด เขาหัวเราะเบาๆ “มีแค่นี้หรือ”
หานเยวียชะงักไปก่อนจะพูด “สินค้านั่นสำคัญมาก สำเร็จแล้วจะมีรางวัลให้อย่างงาม”
“ของของหลี่ไป๋จิงข้ายังกล้ารับ แต่ของของเจ้าหานเยวีย ช่างมันเถอะ” หนิงอี้จ้องบุรุษตรงหน้า ไม่รู้ว่านี่เป็นร่างจริงหรือร่างแยก เขาไม่มั่นใจจริงๆ ขมวดคิ้วพูด “หากทูตตรงโต๊ะต้อนรับไม่ตาย คำพูดพวกนี้น่าจะเป็นเขาที่พูดกับข้า”
หานเยวียเอ่ยราบเรียบ “น่าเสียดายที่เขาตายแล้ว ข้าเลยได้แต่พูดด้วยตัวเอง…แดนบูรพาสร้างโรงเตี๊ยมไว้เจ็ดหลัง ตอนนี้เจ้าพังไปหลังหนึ่ง กำลังคนลดลง หากเจ้าไม่ออกแรงในที่ราบสูงเทพสวรรค์”
“กลับไปเมืองหลวง” เขาชะงักไป ก่อนพูดอย่างน่าเสียดาย “ก็อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่มิตรภาพแล้วกัน”
หนิงอี้แค่นยิ้ม “มดปลวกพวกนี้หรือจะทำอะไรสำเร็จในแดนอุดร เจ้าหานเยวียวาดวงกลมไว้อย่างดี หลอมศพคนเป็นสองร่างจะเปลืองแรงเท่าไรกันเชียว ราชครูกลับวังไปเป็น ‘ขุนนางมีคุณ’ ให้ผู้บำเพ็ญป่าเขาพวกนั้นในยุทธภพแดนบูรพาเทิดทูนเลื่อมใสเจ้าต่อไป อยากจะพุ่งชนเข้าฝ่ายดอกบัวแดนบูรพาใจจะขาด จะมาแสร้งเสียหายหนักอะไร”
หานเยวียหัวเราะเสียงดัง ไม่ได้ปฏิเสธอะไร
เขาพลันเก็บรอยยิ้ม เสียงเบาอย่างยิ่ง “พวกเขาถูกข้าหลอม นับว่าเป็นโชคของพวกเขา”
หนิงอี้หรี่ตาลง
“หนิงอี้ ข้ายังมีข้อตกลงอีกอย่าง ไม่เกี่ยวกับหลี่ไป๋จิง”
ผู้คงแก่เรียนที่พิงโต๊ะไม่มีรูปลักษณ์ที่ดีคนนี้พลันเหยียดหลังตรง ท่าทางเกียจคร้านหายไปทั้งหมด
หานเยวียพูดทีละคำด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่เดินทางลัด เดินแค่เส้นทางใหญ่ ไม่เดินเส้นทางนอกรีต ไม่มีเรื่องกังวลข้างหลัง ข้าช่วยให้เจ้าเป็นผู้บำเพ็ญหนุ่มที่อยู่สุดยอดของต้าสุยได้ในหนึ่งปี บางทีอาจจะเทียบกับลั่วฉางเซิงแห่งที่พำนักเทพไม่ได้ แต่ไม่แพ้ให้กับเยี่ยหงฝูแห่งเขาลั่วเจียกับเฉาหลันผู้บำเพ็ญพเนจรแดนอุดรเด็ดขาด เจ้า ยินดีหรือไม่”
หนิงอี้เย้ยเยาะ “คิดว่าข้าจะเชื่อคำโกหกของเจ้ารึ”
หานเยวียหนังหน้าสั่นไหวเล็กน้อย
“แค่เจ้ายอมสละไปบ้าง หลอมข้าเป็นศพคนสวรรค์ในหนึ่งปี อยู่ขอบเขตราชันดารา อยู่เหนือสามเคราะห์สี่หายนะนั่น ข้าก็ทุบหัวลั่วฉางเซิงกระจุยได้ด้วยซ้ำ” หนิงอี้ยิ้มเยาะ “อยากได้ร่างข้า ไฉนต้องอ้อมค้อม จะบอกเจ้าให้ ไม่มีหวัง! เพ้อฝันแดนบูรพาของเจ้าต่อไปเถอะ!”
หานเยวียมีสีหน้าปั้นยากเล็กน้อย
เขายังคงพูดเสียงนุ่มนวล “ดี หนิงอี้ เจ้าเป็นคนฉลาด ข้ายังมีข้อตกลง…”
หนิงอี้มองค้อน ถ้าไม่ใช่เพราะสู้ผู้คงแก่เรียนคนนี้ไม่ได้ เขาคงจะเอ่ยคำว่า ‘ไสหัวไป’ ไปแล้ว
“ตอนนี้ข้ามอบทรัพยากรทั้งหมดก่อนที่เจ้าจะทะลวงสิบขอบเขตให้ได้” หานเยวียพลันเอ่ยขึ้น “ข้าต้องการเลือดเจ้าหยดเดียว”
ดวงตาหนิงอี้หรี่แคบลง
เขาจ้องหานเยวีย ไม่พูดสักคำ
หานเยวียมีสีหน้าสงบนิ่ง รู้แก่ใจดีว่าข้อตกลงที่ตนต้องการจริงๆ เป็นอย่างแรกและทั้งอย่างหลัง เป็นการโยนหินถามทาง ข้อตกลงแรกถูกหนิงอี้มองออก เขาไม่ได้รู้สึกพ่ายแพ้ใดๆ ตอนที่โยนข้อตกลงที่สอง เขาก็ต้องการผลลัพธ์อย่างตอนนี้
ลมหายใจของหนิงอี้เร็วขึ้นเล็กน้อย
เขายังคงใจเย็น
หนิงอี้เลิกคิ้วขึ้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าจะไปถึงขอบเขตที่สิบ ต้องใช้ทรัพยากรเท่าไร”
หานเยวียเอ่ยราบเรียบ “ไม่ว่าเท่าไร ข้าก็ให้ได้”
ผู้คงแก่เรียนเคาะโต๊ะเบาๆ “ข้าต้องการโลหิตบริสุทธิ์ชีวิตวิถีกระบี่ของเจ้า หยดเดียวก็พอ”
หลังหานเยวียเอ่ยคำนี้ กระบี่บินสามเล่มในทะเลสาบจิตของหนิงอี้เริ่มสั่นไหวโดยไม่ได้นัดหมาย
เคียงกระบี่ที่นั่งอยู่เหนือกระบี่บินเหมือนได้สติมาเล็กน้อย สัมผัสได้ถึงการมาเยือนของวิกฤติ
โลหิตบริสุทธิ์ชีวิตวิถีกระบี่
นักกระบี่ก้าวสู่ขอบเขตแรกได้ต้องอาศัยโลหิตบริสุทธิ์หยดนี้ หากให้คนอื่น แม้จะไม่ได้ตัดเส้นทางการฝึกกระบี่ แต่จะเสียหายอย่างหนัก แทบจะไม่อาจฝึกวิถีกระบี่ไปได้ช่วงหนึ่งเลย
…………………………