ตอนที่ 243 หมดอาลัยตายอยาก
ขอทานชราบิดคอเสร็จแล้วบิดเอว คราบเลือดบนพื้นยังคงอยู่ แต่คนกลับพูดได้เดินได้เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“เฮือก…”
“อึก…”
เห็นขอทานชราเดินมาทางตนเองหลายก้าว องครักษ์ใจเสาะบางคนถอยหลังคุกเข่าลง ต่อให้เป็นทหารอารักขาหน้าตำหนักที่มีวิชายุทธ์สูงส่งก็พลันนึกกลัวขึ้นมาเหมือนกัน
แน่นอนว่ามีคนจำนวนหนึ่งยังคงยืนมองอยู่ที่เดิมอย่างสงบ ย่อมเป็นจี้หยวนและผู้ฝึกปราณจากเขาล้อมหยกหลายคน
ขอทานชราชำเลืองมององครักษ์และทหารอารักขาหน้าตำหนักเหล่านั้น จากนั้นประสานมือให้จี้หยวนแล้วเดินเข้าไปหา
“ท่านจี้ ทำให้ท่านหัวเราะเยาะแล้ว ไปดื่มชาด้วยกันหรือไม่”
จี้หยวนยิ้มพลางประสานมือกลับ
“ได้ยินมาว่าตำแหน่งปรมาจารย์ได้รับเงินหนึ่งพันตำลึงทอง วันนี้ท่านหลู่นับว่าร่ำรวยมีชื่อเสียงขึ้นมาแล้วจริงๆ ส่วนค่าน้ำชา…”
“เอ่อ…ค่าน้ำชายังต้องให้ท่านจี้เป็นคนจ่าย ข้าผู้ชราไม่ใช่ว่าถูกฮ่องเต้ตัดคอแล้วหรือ มีความผิดติดตัวไหนเลยจะมีเงินรางวัล…”
“ฮ่าๆๆๆ…ไปเถอะๆ ข้าเลี้ยงเอง!”
หนึ่งคุณชายในชุดคลุมยาวสีเขียว หนึ่งขอทานในเสื้อผ้าขาดวิ่น ก้าวเท้าจากไปพร้อมเสียงหัวเราะ ทั้งคู่เดินอย่างเชื่องช้าแท้ๆ แต่กลับเหมือนห่างออกจากสายตาและหายไปจากตรงหน้าในไม่กี่อึดใจเท่านั้น
จนกระทั่งจี้หยวนและขอทานชราหายไปได้พักใหญ่ องครักษ์และทหารอารักขาหน้าตำหนักจำนวนหนึ่งถึงดึงสติกลับมาจากความรู้สึกตกใจกลัวได้
เมื่อมองไปรอบๆ ชายในชุดปักลายและคนสวมชุดขนนกที่ยืนนิ่งอยู่หลายคนก่อนหน้านี้ ตอนนี้หมุนกายจากไปแล้ว มีชาวบ้านใจกล้าบางคนเข้ามาดูสถานการณ์แล้วเช่นกัน
คราบเลือดบนพื้นไม่แตกต่างอะไรกับคนถูกตัดศีรษะทั่วไป แต่ครั้งนี้ไม่มีใครต้องไปเก็บศพ
ทหารอารักขาหน้าตำหนักสองสามคนใจเย็นลงแล้วต่างมองหน้ากัน
“นั่น นั่นเป็นเซียนจริงๆ!?”
“เอ่อ…พวกเราจะรายงานกับฝ่าบาทอย่างไรดี”
“ทำได้แค่บอกไปตามตรงแล้ว”
คำตอบของคนข้างๆ ดูไม่สบายใจอยู่บ้าง เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เกินจริงและเหนือจินตนาการเกินไป คนถูกตัดศีรษะแล้วยังมีชีวิตอยู่ได้ มีแค่อธิบายว่าเป็นเทพเซียนเท่านั้นแล้ว
แต่รายงานแบบนั้นมีความหมายอะไรสำหรับฮ่องเต้ หรือมีความหมายอะไรสำหรับพวกเขา องครักษ์หน้าตำหนักหลายคนล้วนไม่กล้าคิดแล้ว
อย่างไรเสียองครักษ์โดยรอบก็ไม่มีอะไรทำเสียแปดส่วน อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นการสนทนาเมื่อดื่มและพูดคุยแบบส่วนตัว
เมื่อองครักษ์และทหารอารักขาหน้าตำหนักออกไปจากถนนสันตินิรันดร์ด้วยความรู้สึกสับสน จากนั้นมีชาวบ้านมากขึ้นกลับมาที่นี่ คนที่ใจกล้าหน่อยพูดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้คร่าวๆ
กลุ่มคนกล่าวว่าเหลือเชื่อและตกอกตกใจไม่น้อยอยู่เรื่อยๆ…
…
ในวังหลวง เพราะบทแทรกเมื่อก่อนหน้านี้ บรรยากาศในท้องพระโรงจมอยู่ในความรู้สึกอึดอัดวางตัวไม่ถูก จนกระทั่งหลังจากนั้นเริ่มรายงานเรื่องงานชุมนุมอีกครั้ง บรรยากาศในท้องพระโรงถึงกลับคืนสู่สภาพปกติ
นอกจากรายงานสถานการณ์ระหว่างงานชุมนุมแล้ว ที่เหลือเป็นการแนะนำนักเวทกลุ่มหนึ่งให้ฮ่องเต้รู้
นักเวทสิบกว่าคนนี้ไม่มีใครโดดเด่น แนะนำตนเองรอบหนึ่งแล้วอวยพรฮ่องเต้ให้มีอายุยืนยาว จากนั้นก็มีท่าทางยินดีตามปกติ
ท่ามกลางคนกลุ่มนี้ ฮ่องเต้ชราและขุนนางใหญ่จำนวนหนึ่งมีแนวโน้มมุมมองของตนเอง นักเวทที่ดูดีย่อมได้รับความสนใจมากกว่า อย่างเช่นภิกษุรูปนั้น อย่างเช่นนักเวทชราที่มีปราณเซียนมรรคสูงส่งซึ่งจี้หยวนพาบุตรธิดามังกรไปดูก่อนหน้านี้
ตอนนี้บังเอิญเจอภิกษุรูปนั้น ขุนนางกรมพิธีการคนหนึ่งทำหน้าที่แทนเหยียนฉางผายมือให้ภิกษุ
“ฝ่าบาท ท่านนี้คือไต้ซือฮุ่ยถง ไม่ใช่คนต้าเจิน ทว่ามาจากทางเหนือของอาณาจักรถิงเหลียง เขาสวดมนต์ท่องพระสูตรในงานชุมนุม มีเสียงธรรมดังสะท้อน เปล่งประกายแสงอยู่ตรงนั้นพ่ะย่ะค่ะ!”
“โอ้?”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อเผยสีหน้าตื่นเต้น มองภิกษุรูปนี้
“นักเวทผู้นี้ เจ้ามีพระธรรมอภินิหารอัศจรรย์อะไร”
ภิกษุฝืนยิ้มขึ้น มองซ้ายขวาแล้วก้าวออกไปก้าวหนึ่ง ยกมือสองข้างพนมมือแล้วโค้งตัวลงให้ฮ่องเต้ชรา
“สาธุพระวิทยาราช ทูลฝ่าบาท อาตมาเป็นเพียงผู้สืบทอดพุทธศาสนา ไม่ได้มีอภินิหารอัศจรรย์อะไร เข้าร่วมงานชุมนุมก็เพื่อสวดมนต์ขอพรขจัดภัยเท่านั้น!”
ความจริงแล้วภิกษุรูปนี้แทบเป็นนักเวทคนเดียวที่ไม่อยากมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ สิ่งที่ทำระหว่างงานชุมนุมเก้าวันก็เป็นสิ่งที่ควรทำในงานชุมนุมวารีปฐพีตามปกติ ทว่าจริงจังเกินไปและแสดงอภินิหารอยู่บ้าง จึงได้รับการคัดเลือกจากกรมพิธีการโดยตรง
น้ำเสียงและสีหน้าของภิกษุเรียบนิ่ง ฮ่องเต้หรี่ตามองเขาครู่หนึ่ง แค่นหัวเราะเสียงเย็นด้วยความผิดหวังอย่างชัดเจนถึงกล่าวซ้ำ
“ภิกษุ เจ้าพูดเช่นนี้ หรือว่าขุนนางทั้งหลายจากกรมพิธีการกำลังหลอกลวงข้าอยู่”
ขุนนางกรมพิธีการหลายคนสูดลมหายใจเข้าทันที ขนลุกซู่ไปหมด
ภิกษุก็เงยหน้ามองฮ่องเต้ด้วยความขลาดกลัวเช่นกัน จากนั้นรีบพนมมือ
“อมิตาพุทธ ฝ่าบาทตรัสหนักเกินไปแล้ว ผู้เข้าเฝ้าที่ว่าไม่ได้บอกชัดเจนว่าต้องเป็นผู้มีวิชาอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ เพียงเป็นวิชามีใจอยากขจัดภัยร้ายอย่างแท้จริง ผู้ได้รับบุญถือว่ามีความสำคัญเป็นอันดันแรก ข้าคิดว่าใต้เท้ากรมพิธีการก็พิจารณาเรื่องนี้ด้วย!”
“พูดเช่นนี้เจ้าคิดว่าตนเองมีบุญหรือ”
ฮ่องเต้ถามคำหนึ่งก่อนจะมองภิกษุอย่างเย็นชา
ภิกษุฮุ่ยถงพนมมือไหว้
“อาตมาคิดว่าพอมี”
บรรยากาศอึมครึมขึ้นอีกอย่างชัดเจน ไม่นานหลังจากนั้นฮ่องเต้บนบัลลังก์มังกรค่อยโบกมือให้ภิกษุถอยไป เหล่าขุนนางกรมพิธีการทั้งหลายก็ถอนหายใจโล่งอก
ขณะเตรียมพิธีศักดิ์สิทธิ์ ขุนนางหลายคนที่รับผิดชอบงานชุมนุมในครั้งนี้ รวมถึงเหยียนฉางด้วยล้วนรู้สึกดีต่อภิกษุรูปนี้ แม้ว่าคนอื่นๆ จะดูไม่ค่อยประทับใจขอทานชราเท่าไหร่นัก แต่เหยียนฉางกลับเคารพเขาเป็นอย่างยิ่ง
ผลสุดท้ายวันนี้เป็นสองคนนี้ หนึ่งคนให้เหยียนฉางก่อเรื่องใหญ่เทียมฟ้าโดยตรง ส่วนอีกหนึ่งคนทำให้กรมพิธีการทั้งหมดเหงื่อตก
ภิกษุถอยหลับไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มนักเวท ขุนนางกรมพิธีการผู้นั้นตั้งสติใหม่ ตอนกำลังคิดแนะนำคนต่อไป เสียงประกาศสายหนึ่งก็ดังมาจากนอกตำหนัก
“เพชฌฆาตรายงานกลับมา…”
ขุนนางและฮ่องเต้พากันมองออกไปนอกตำหนักตามสัญชาตญาณ ฮ่องเต้หยวนเต๋อพยักหน้าให้ขันทีชราที่อยู่ข้างๆ
“รายงาน”
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ขันทีชราโค้งคำรับก่อนตะโกนเสียงดัง
“ฝ่าบาทมีบัญชา ให้เพชฌฆาตเข้ามารายงานในตำหนัก…”
หลังจากนั้นสองสามลมหายใจ องครักษ์หน้าตำหนักถือดาบทั้งหมดสี่คนเดินตามกันเข้ามาในตำหนักใหญ่ ทว่าขุนนางใหญ่ที่อยู่ใกล้พวกเขาล้วนเห็นว่าสีหน้าพวกเขาไม่ค่อยสู้ดี
ทั้งสี่คนเข้าไปในตำหนักพร้อมกัน จากนั้นคุกเข่าลงข้างหนึ่งหันหน้าไปทางบัลลังก์มังกร
ท่าทางนี้ทำให้ขุนนางใหญ่ที่ความรู้สึกว่องไวประหลาดใจอยู่บ้าง ตามปกติแล้วอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าลง
“ทูลฝ่าบาท พวกข้าตัดศีรษะขอทานชราผู้นั้นที่กลางถนนสันตินิรันดร์แล้ว…”
“อืม ออกไปเถอะ!”
ฮ่องเต้โบกมือด้วยความปีติ
ทว่าองครักษ์หน้าตำหนักสี่คนกลับไม่มีใครลุกขึ้นยืน ยังคงคุกเข่าอยู่ตรงนั้น
ฮ่องเต้หยวนเต๋อหรี่ตามองทั้งสี่คน หรือว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไร
“ทำไม มีเรื่องอะไรอีกหรือ”
องครักษ์สี่คนมองตากันครั้งหนึ่ง หลบก็หลบไม่ได้แล้ว คนที่อยู่ข้างหน้าฝั่งขวาพลันกัดฟันก่อนเอ่ยขึ้น
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมตัดศีรษะขอทานผู้นั้นด้วยมือของตนเอง ศีรษะคนตกลงเลือดกระเด็นไปทั่ว ทว่า…”
“ทว่าอะไร”
องครักษ์เงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ หนาวสันหลังวาบขึ้นมาบ้าง
“ทว่าหลังจากนั้นไม่นาน ขอทานชราที่ตัวกับศีรษะอยู่คนละที่กลับลุกขึ้นยืนได้เอง ศีรษะร้องเรียกร่างกาย สุดท้ายร่างประคองศีรษะคืนกลับที่เดิม กลับมามีชีวิตอีกครั้งพ่ะย่ะค่ะ!”
“อะไรนะ!”
ฮ่องเต้ชราตัวสั่น คว้าพนักแขนของบัลลังก์มังกรไว้แทบลุกขึ้นยืนแล้ว
“อา…”
“มีเรื่องพรรค์นี้ด้วย…”
“องครักษ์ผู้นี้คงไม่พูดปดกระมัง”
“เขาจะกล้าขนาดนั้นหรือ…”
…
ตอนนี้อย่าว่าแต่ฮ่องเต้ตะลึงงัน ขุนนางที่รักษาความสงบได้ก่อนหน้านี้เริ่มวิพากษ์วิจารณ์อย่างอดไม่ได้ คนที่เชื่อและไม่เชื่อ คนที่ไม่กล้าเชื่อและขนพองสยองเกล้าล้วนมีไม่น้อย
สองมือของฮ่องเต้อยวนเต๋อสั่นเทาเล็กน้อย เบิกตาโพลงจ้ององครักษ์หน้าตำหนักสี่คน กล่าวด้วยเสียงเจือโทสะเล็กน้อย
“พวกเจ้ากล้าหลอกข้าหรือ”
“กระหม่อมไม่กล้า!”
“กระหม่อมไม่กล้าทำความผิดฐานหลอกลวงเบื้องสูงพ่ะย่ะค่ะ!”
“ฝ่าบาททบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
องครักษ์สี่คนหน้าซีดเผือด ถวายบังคมฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง
องครักษ์ที่เป็นคนพูดก่อนหน้านี้ยิ่งประสานมือกล่าวด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“ฝ่าบาท พวกกระหม่อมไม่กล้าหลอกลวงฝ่าบาท ข้าและผู้ติดตามล้วนเห็นเองกับตา ตอนตัดศีรษะขอทานชราที่ถนนสันตินิรันดร์มีชาวบ้านมุงดูอยู่มากมาย ขอทานชราที่ร่างและศีรษะอยู่คนละที่กลับฟื้นจากความตาย ทำเอาชาวบ้านตกใจกลัวหนีกันจ้าละหวั่น ขอเพียงฝ่าบาทไปที่ถนนสันตินิรันดร์ก็จะรู้แล้ว ที่นั่นยังคงมีคราบเลือดยามตัดศีรษะอยู่เลย! ขอฝ่าบาททบทวนด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
บนบัลลังก์มังกร ฮ่องเต้หยวนเต๋อหายใจถี่กระชั้น ชี้องครักษ์หน้าตำหนักคิดพูดอะไรบางอย่าง แต่อ้าปากอยู่หลายครั้งล้วนพูดไม่ออก
เนิ่นนานให้หลัง ในที่สุดฮ่องเต้หยวนเต๋อก็ถามออกมา
“เขา เขาอยู่ที่ใด คนไปที่ไหนแล้ว เหตุใดไม่กลับมากับเจ้าด้วย”
กล้ามเนื้อบนตัวองครักษ์หลายคนขมวดเกร็งไปหมดแล้ว ในใจกระวนกระวายอย่างยิ่งยวด ตอนนี้ทำได้เพียงฝืนกล่าวต่อไปแล้ว
คนที่พูดยังคงเป็นองครักษ์ผู้นำกลุ่มคนนั้น
“ทูลฝ่าบาท หลังจากขอทานชราผู้นั้นลุกขึ้นและกลับมามีชีวิตอีกครั้ง เขาก็จากไปพร้อมกับคนที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวพ่ะย่ะค่ะ…”
ฮ่องเต้หยวนเต๋อลุกขึ้นยืนอย่างอดไม่ได้ กล่าวเสียงกร้าว
“พวกเจ้าปล่อยให้เขาไปอย่างนั้นหรือ ไยไม่ขวางเขาไว้!”
องครักษ์หน้าตำหนักเงยหน้าขึ้นมองฮ่องเต้ที่กำลังทรงกริ้ว หลับตาก่อนกล่าวต่อ
“สองคนนั้นล้วนเป็นเทพ เพียงเดินไปไม่กี่ก้าวก็หายไปไม่เห็นเงาแล้ว พวกกระหม่อมตามไม่ทัน…ก่อนขอทานชราผู้นั้นไปทิ้งคำพูดไว้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ…”
“ว่ามา!”
องครักษ์สูดลมหายใจเข้าอย่างแรงครั้งหนึ่ง
“ขอทานชรามองพวกกระหม่อมแล้วพูดว่า ปราณราชวงศ์นี้ทรงพลังจนไม่อาจชักนำได้โดยง่าย แล้วก็…ยังบอกว่าวาสนาอาจารย์และศิษย์ของข้ากับฮ่องเต้ชรา…จบสิ้นแล้ว!”
ฮ่องเต้ยืนตะลึงงัน ปากอ้าออก คางสั่นไหวเล็กน้อย ในใจมีความรู้สึกมากมายซับซ้อน แต่ก็เหมือนกับว่างเปล่าไม่มีอะไร
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนองครักษ์หน้าตำหนักพูดประโยคนี้ออกมา ในใจฮ่องเต้ชราเหมือนกับรู้สึกว่า ‘เป็นเรื่องจริง’ อย่างรุนแรง
หลังจากนั้นนานมาก ฮ่องเต้ชราซวดเซเล็กน้อย ขาอ่อนทรุดนั่งลงบนบัลลังก์มังกรอย่างแรง
“ฝ่าบาท!”
ขุนนางข้างๆ รีบร้องเรียกด้วยความเป็นห่วง ตอนฮ่องเต้ชราหมุนกายมองเขา ในดวงตากลับมีความว่างเปล่า
องครักษ์หน้าตำหนักสี่คนคุกเข่าก้มหน้า กลางท้องพระโรงไร้สุ้มเสียง ภายในตำหนักใหญ่ทั้งหลังตกอยู่ในความเงียบงันชั่วขณะ
“ฮู่…ฮู่…ฮู่…”
หลังจากนั้นครู่หนึ่งฮ่องเต้หยวนเต๋อดึงสติกลับมาราวกับตื่นจากฝัน มองไปทางองครักษ์หน้าตำหนักที่ไม่กล้าขยับเขยื้อนสี่คน จากนั้นหันไปมองขันทีชราที่อยู่ข้างๆ ใช้เสียงเร่งเร้ากล่าวว่า
“ออกคำสั่งลงไป ให้ผู้บัญชาการกองทัพ ศาลาว่าการจังหวัดจิงจี หอดูดาวหลวง…ล้วนไปตามหาให้ข้าทั้งหมด นำตัวคนกลับมา! เหยียนฉาง เหยียนฉางเล่า”
สภาพของฮ่องเต้ชราน่ากลัวอยู่บ้าง ขอทานชราฝืนใจตอบไป
“ฝ่าบาท ตอนนี้ใต้เท้าเหยียนอยู่ในคุก…”
“อะไรนะ เขาอยู่ในคุก? ใครขังเขา ใครช่างกล้า…”
ฮ่องเต้ชราพูดแล้วเงียบเสียง พลันนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้ขึ้นได้ สีหน้าเขายิ่งซีดขาวกว่าเดิม ทำอะไรไม่ถูกแล้ว…