ตอนที่ 249 กลับเนื้อกลับตัวใหม่
ผ้าไหมทอจากใยไหม เดิมทีไม่มีสีสันอะไร ต้องเติมสีลงไปด้วยการย้อม คดีผ้าไหมสีเลือดเป็นทั้งการกำหนดหลักการในยุคหลัง และเป็นข่าวลือไปทั่วทั้งต้าเจินตอนนี้เช่นกัน มีความหมายโดยนัยว่าฝ่ายราชการเปื้อนเลือด
เมื่อคดีนี้ปิดฉากลง หากแม้แต่ขุนนางเล็กๆ ก็รวมอยู่ด้วย เจ้าหน้าที่ที่ตกม้าตายมีจำนวนมากถึงหนึ่งพัน หัวหน้าของผู้ที่ก่ออาชญากรรมร้ายแรงมีมากมาย และจำนวนผู้สมรู้ร่วมคิดกับคนรับใช้ชั่วร้ายก็ไม่รู้มีมากเท่าไหร่
ศาลมืดทุกที่ในรัฐหวั่นยิ่งเตรียมการล่วงหน้า รองรับวิญญาณบาปกลุ่มนี้ เพื่อไม่ให้ปราณสกปรกแปดเปื้อนผู้ลงทัณฑ์และเจ้าหน้าที่จัดการคดี
จำนวนทรัพย์สินที่ถูกยึดจากคลังสมบัติส่วนตัวในรัฐหวั่นมีจำนวนมากจนยากจะนับได้ในคราวเดียว คดีที่ยังหาคำตอบไม่ได้และคดีไม่ยุติธรรมซึ่งถูกปกปิดไว้ยิ่งไม่รู้มามากเท่าไหร่ นอกจากคดีชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมมากที่สุดแล้ว ยังมีคดีขุนนางบริสุทธิ์ถูกใส่ร้ายทำร้ายไม่น้อย
อิ๋นจ้าวเซียนประจำการที่จังหวดลี่ซุ่น โยกย้ายเจ้าหน้าที่งานตรวจสอบซึ่งแต่เดิมวางแผนไว้ช่วยสร้างเสถียรภาพงานรัฐ ตั้งแต่คดีอยุติธรรมจนถึงการจัดทำสถิติ และตั้งแต่การตรวจสอบจนถึงการจับกุมและการละเว้น ทั้งหมดไร้ที่ติ โดยเขาลงมือทำให้ทุกรายละเอียดจนได้ผลลัพธ์
แม้มีเจ้าหน้าที่ในรัฐหวั่นเพียงหกสิบคน แต่หากมองให้ละเอียดจริงๆ แล้ว ความจริงไปกันแปดส่วนยังน้อยไป ด้วยคนบริสุทธิ์ในสถานการณ์แบบนี้น้อยเกินไป ทว่าขอเพียงไม่ได้ข้ามเส้นที่อิ๋นจ้าวเซียนกำหนดไว้ เขาหลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่งต่อรายละเอียดเล็กน้อยเหล่านี้ ทุบตีเป็นการลงโทษเล็กน้อยแล้วก็ปล่อยไป เพราะรัฐหวั่นในตอนนี้ขาดแคลนเจ้าหน้าที่อย่างแท้จริง
ข่าวสารแพร่ไปถึงจังหวัดจิงจีและสั่นสะเทือนทั่วทั้งราชสำนัก ขุนนางบุ๋นบู๊ต่างก็หวาดหลัว แม้กระทั่งแพร่ไปทั่วทุกเขตแดนของต้าเจินจนทำให้ไม่ว่าขุนนางหรือชาวบ้านต่างประหลาดใจไปตามๆ กัน
เจ้าหน้าที่ไร้มลทินส่วนน้อยของรัฐหวั่นปรบมือกู่ร้อง ผู้ไม่นิยมดื่มสุรากลับเมามายในวันสิ้นปีไม่น้อย ชาวบ้านรัฐหวั่นยิ่งเปลี่ยนจากความกระวนกระวายใจในตอนแรกเป็นความปีติจนแทนคลั่ง
ชาวบ้านพันหมื่นครัวเรือนของรัฐหวั่นได้รับของขวัญที่ดีที่สุดในวันสิ้นปี นั่นก็คือข่าวที่น่าตื่นเต้น
บนประกาศจากทางการกล่าวว่า ทุกจังหวัดและอำเภอของรัฐหวั่น ผู้ใดก็ตามที่ถูกแย่งชิงทรัพย์สิ้นไปสามารถแลกคืนได้ในราคาเดิมที่ถูกบังคับให้ขาย ต่อให้ไม่มีเงินทองทรัพย์สินก็เพิ่มภาษีเก็บเกี่ยวในสามปีข้างหน้าได้ จะปลูกธัญญาหารหรือปลูกหม่อนก็เลือกเอาเองได้ และอุตสาหกรรมผ้าไหมทั้งหมดในรัฐหวั่นจะต้องรับใบหม่อนหรือหนอนไหมจากมือชาวบ้านด้วยราคาที่เหมาะสม
การเคลื่อนไหวที่มองการณ์ไกลที่สุดของอิ๋นจ้าวเซียนก็คือถอนรากถอนโคนคนชั่วช้า ไว้หน้าเพียงขุนนางและพ่อค้าจำนวนน้อย เขาระมัดระวังไม่ขัดขวางวงจรอุตสาหกรรมการทอผ้าไหม แต่ให้การกระจายผลกำไรเป็นไปอย่างสมเหตุสมผลกว่าเดิม อย่างน้อยทำให้ชาวบ้านปลอดภัยได้ แม้เขาไม่ได้ศึกษาทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มากนัก แต่ก็รู้สึกได้โดยสัญชาตญาณว่าแบบนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว
การจัดระเบียบรัฐหวั่นและขบวนการฟื้นฟูความเป็นอยู่ของประชาชนดำเนินไป จนกระทั่งสิ้นฤดูใบไม้ผลิถึงเข้าที่เข้าทาง
ระหว่างนั้นเพราะกำลังคนไม่พอและขาดประสบการณ์ในหลายๆ ด้าน ถึงมีหลายครั้งที่รู้สึกว่าทำอะไรไม่ถูก แต่เมื่อเวลาผ่านไปคนจากทุกฝ่ายก็เริ่มเชี่ยวชาญด้วยการชี้แนะของอิ๋นจ้าวเซียน แม้แต่เมล็ดพันธุ์สำรองเพื่อให้ชาวบ้านเริ่มต้นเพาะปลูกใหม่ก็ใคร่ครวญไว้แล้ว จึงไม่ต้องพูดถึงการผลิตเส้นไหมเลย
นอกจากนี้ยังมีบัณฑิตและปัญญาชนจากสำนึกศึกษาบางแห่งในรัฐหวั่นซึ่งได้รับคัดเลือกจากเจ้าหน้าที่ให้มาช่วยเหลือ ช่วยประคับประคองสถานการณ์ของรัฐหวั่นไปได้
การจัดเก็บภาษีของต้าเจินเกิดขึ้นเป็นไตรมาส เดิมเป็นเพราะความวุ่นวายในช่วงต้น เศรษฐกิจของรัฐหวั่นในปีที่สองต้องได้รับผลกระทบ ทำให้รายได้จากภาษีไม่น้อยน่ามองสักเท่าไหร่ ทว่ามีเงินสินบนอยู่จำนวนมหาศาล ถึงแม้ส่วนใหญ่ส่งมอบให้กับคลังของอาณาจักร แต่ที่เหลือก็เพียงพอใช้ในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐหวั่น
เศรษฐกิจรัฐหวั่นได้รับผลกระทบอย่างหนักในระยะเวลาอันสั้น ความจริงแล้วภาษียังคงสูงกว่าช่วงเดียวกันในปีที่แล้วอยู่สองส่วน แต่เพราะหลังจากลดขั้นตอนของการแสวงหาผลประโยชน์ออก จำนวนเงินปกติจึงเป็นเท่านั้น
หลังจากข่าวแพร่ถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้หยวนเต๋อที่เคร่งเครียดจนล้มป่วนมีสีหน้าปีติอย่างหากได้ยาก จึงลากร่างกายอ่อนล้าไปว่าราชการเช้าในวันต่อมาเพราะได้รับฎีกาจากรัฐหวั่น ครั้นอยู่ต่อหน้าบุ๋นบู๊มากมาย เขากล่าวชมอิ๋นจ้าวเซียนว่าเป็น ‘ผู้มีพรสวรรค์ในการเป็นผู้ช่วยของกษัตริย์’
ด้วยเหตุนี้ชื่อของอิ๋นจ้าวเซียนโด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง คราวนี้ขจรขจายไปทั่วใต้หล้า ผู้เคารพนับถือเขามีมากมายจนนับไม่ถ้วน
แน่นอนว่ามีคนเกลียดอิ๋นจ้าวเซียนเข้ากระดูกดำไม่น้อย ถึงขนาดที่ว่าภายในไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้เขาต้องเจอกับการลอบสังหารถึงสองครั้ง
เข้าฤดูร้อนปีปิ่งซวี โถงใหญ่ของศาลาว่าการจังหวัดลี่ซุ่นในเวลาเช้าตรู่ อิ๋นจ้าวเซียนและผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก้มศีรษะอยู่ในท่าโค้งคำนับ
ขันทีชราคนหนึ่งประกาศเสียงดังที่หน้าศาลาว่าการจังหวัด
“ฝ่าบาทมีราชโองการ เจ้าเมืองจังหวัดลี่ซุ่นอิ๋นจ้าวเซียนเป็นขุนนางซื่อสัตย์รักแว่นแคว้น ถอนรากถอนโคนขุนนางฉ้อฉล เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เหล่าขุนนาง มีความสำเร็จโดดเด่น บริหารจัดการรัฐหวั่นอย่างมีประสิทธิภาพ มีชื่อเสียงดีงามในหมู่ขุนนางและราษฎร…แต่งตั้งอิ๋นจ้าวเซียนเป็นจือโจว ควบตำแหน่งเจ้าเมืองจังหวัดอวิ๋นโป รับราชโองการ!”
ขณะฟังราชโองการ อิ๋นจ้าวเซียนถึงกับเกิดความเข้าใจอย่างถ่องแท้ จนกระทั่งประกาศราชโองการจบแล้วก็ยังคงไม่ได้ดึงสติกลับมา
“ใต้เท้าอิ๋น ใต้เท้าอิ๋นยังไม่รีบรับราชโองการอีก!”
คราวนี้อิ๋นจ้าวเซียนถึงดึงสติกลับมา สั่งข้ารับใช้ก่อนรับราชโองการพร้อมเอ่ยว่า
“อิ๋นจ้าวเซียนซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ!”
…
ตอนอิ๋นจ้าวเซียนรับราชโองการที่ศาลาว่าการจังหวัดลี่ซุ่น จี้หยวนขยับพู่กันเขียนหนังสืออยู่ในลานเล็ก
วินาทีนี้ในใจมีความรู้สึกบางอย่าง จี้หยวนนั่งอย่างสงบ ปลายนิ้วของมือซ้ายปรากฏหมากขาว คล้ายกับรับรู้ได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกที่เปลี่ยนไปของสหายผ่านตัวหมาก
“ปราณต้านทานยิ่งใหญ่เวียนวน มีคุณธรรมผ่องใส”
กลางภูผาธาราเขตแดน เขายิ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามีปราณโลกาสวรรค์เป็นกลุ่มๆ ปรากฏขึ้น แม้ก่อนหน้านี้ก็สัมผัสได้ถึงปราณโลกาสวรรค์ที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ปกติเวลานั้นจะบางเบาเหมือนกับใยแมงมุม ซึ่งก่อนหน้านี้จี้หยวนคล้ายกับกำลัง ‘กินสมบัติเก่า’ มากกว่า
นี่พิสูจน์หลายต่อหลายครั้งแล้วว่าเป็นปราณโลกาสวรรค์จากปราณบุญ อันดับแรกปรากฏตอนที่ได้รับเสียงบัญชาที่ตระกูลจ้าว น่าจะบอกว่านอกจากเสียงบัญชาแล้ว จี้หยวนยังทำให้เตาโอสถเขตแดนปรากฏเจตจำนงแท้ห้าธาตุด้วย อีกทั้งก่อเกิดเป็นไฟหยินหยาง ขณะเดียวกันสร้างไฟสมาธิขึ้นได้เป็นครั้งแรก
เสียงบัญชาเป็นวิธีการที่มีประโยชน์และหลากหลายที่สุดในมือจี้หยวน ไฟสมาธิไม่เพียงทำให้จี้หยวนหลอมเปลี่ยนพลังได้รวดเร็ว ทุกวันนี้ยิ่งเปลี่ยนจากลวงเป็นจริงแล้ว เมื่อใช้อย่างเหมาะสมย่อมทรงพลังอย่างแน่นอน
ส่วนเจตจำนงแท้ห้าธาตุบนเตาโอสถในครั้งนั้นเป็นสิ่งที่จี้หยวนได้มาหลังจากพัฒนาหมาก ค้นพบรากฐานปราณทั้งห้าภายในกายอย่างชัดเจน เพิ่มประสิทธิภาพในการฝึกปราณมากยิ่งขึ้น จุดตันเถียนและจุดลมปราณต่างๆ แม้ยังคงเปิดออกทีละนิด ทว่าประสิทธิภาพไม่เลวเพราะเหตุนี้แล้ว
เรียกได้ว่า ‘บันทึกรัชสมัยเจิ้งเต๋อ’ ในตอนนั้น ได้มอบประโยชน์ส่วนใหญ่ให้กับจี้หยวนอย่างยิ่งยวด
ปราณโลกาสวรรค์เพียงอย่างเดียวแม้จี้หยวนสัมผัสได้ชัดแจ้งเพราะเสียงบัญชา แต่กลับรู้สึกได้ว่าไม่ใช่เพราะ ‘บันทึกรัชสมัยเจิ้งเต๋อ’ เป็นเพราะเดิมทีคงอยู่ในเขตแดนของจี้หยวนต่างหาก เพียงหลังจากครั้งนั้นแล้วถึงปรากฏ
ส่วนที่มาที่ไป เกรงว่าเกี่ยวข้องกับกระดานหมากในตอนนั้น
‘บันทึกรัชสมัยเจิ้งเต๋อ’ เป็นวาสนาหนึ่งของเจ้าที่จ้าวแน่นอน แต่ก็ไม่มีเหตุผลว่าอีกฝ่ายกำลังรออะไร จี้หยวนไม่กล้าบอกว่าเขารอตนเอง ทว่าเป็นคนที่เหมือนกับตนเองอย่างแน่นอน อาจเป็นปราณโลกาสรรค์ก็ได้
“การเคลื่อนไหวสำคัญระหว่างเล่นหมาก…มีแค่หมากตัวเดียวเท่านั้น!”
คำพูดนี้ของจี้หยวนไม่ได้หมายความว่าหมากขาวดำทั้งหมดของตนเองไร้ประโยชน์ แต่คนที่มีบทบาทสำคัญอย่างแท้จริงกับกระดานหมากมีแต่อาจารย์อิ๋นคนเดียวเท่านั้น นับได้ว่าเป็นคนสำคัญของต้าเจินด้วย
เมื่อคิดถึงตรงนี้ จี้หยวนสังเกตตัวหมากที่เดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหายในเขตแดนอีกครั้ง มันเป็นตัวแทนของภิกษุฮุ่ยถง
สถานการณ์แบบนี้แปลกมาก พูดได้เพียงว่าใกล้กลายเป็นตัวหมาก อีกทั้งไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนแยกจากกัน ทว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เริ่มเกิดขึ้นหลังจากแยกจากกันแล้วพักหนึ่ง ตอนนั้นจี้หยวนไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น เกือบบินไปถามที่อาณาจักรถิงเหลียงแล้ว
แต่แม้ไม่นับว่ากลายเป็นตัวหมาก จี้หยวนกลับรู้สึกได้ว่าภิกษุฮุ่ยถงสบายดีทุกอย่าง ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน
‘ไต้ซือฮุ่ยถงไปได้ครึ่งทางแล้ว ไม่รู้เหมือนกันว่าพบอะไรบ้าง’
หลังจากทอดถอนใจเสร็จ จี้หยวนตื่นจากภวังค์ สะบัดพู่กันเขียนหนังสือต่อไป
กระดาษบนโต๊ะหินเป็นกระดาษธรรมดา ตัวอักษรก็เป็นตัวอักษรที่ธรรมดามาก สิ่งที่เขียนอยู่ตอนนี้เป็นการอนุมานของเขาที่มีต่อวิชาบัญชา พร้อมกันนั้นยังอนุมานจักรวาลในแขนเสื้อไปด้วย
ดอกพุทราบนต้นพุทราออกดอกสะพรั่ง ทว่าเมื่อเทียบกับในอดีตแล้ว กลิ่นหอมของดอกพุทราไม่ได้ตลบอบอวลไปทั่วตรอกเล็กอีก เป็นเพียงกลิ่นหอมสดชื่นสายหนึ่ง ซึ่งเป็นกลิ่นที่ไม่ชัดเจนแล้ว ถึงขนาดไม่ตั้งใจดมก็ไม่ได้กลิ่น แต่กลับทำให้ตรอกเทียนหนิวและชาวบ้านโดยรอบรู้สึกสบายใจ
ตึก…
เสียบอุ้งเท้าแผ่วเบาดังมา หูอวิ๋นข้ามกำแพงตกลงในลานแล้ว เห็นจี้หยวนอยู่ที่นี่จึงรีบประสานอุ้งเท้าคารวะ
“สวัสดีท่านจี้”
“อืม ครั้งหน้าจำไว้ว่าต้องเข้าทางประตู”
จิ้งจอกเกาศีรษะด้านหลังใบหู จากนั้นเดินด้วยขาหลังไปถึงข้างกายจี้หยวน
“ข้ากลัวว่าท่านกำลังหลับอยู่ ปลุกท่านตื่นคงไม่ดีแน่”
สิ่งที่หูอวิ๋นพูดเป็นความจริง เวลาที่จี้หยวนนอนหลับยาวนานขึ้นเรื่อยๆ ทั่วไปแล้วผ่านไปสามวันค่อยตื่นครั้งหนึ่ง บางครั้งหลับครั้งหนึ่งใช้เวลาสิบวันถึงครึ่งเดือนก็ไม่แปลก
แม้จี้หยวนเคยพูดว่าตนเองสายตาไม่ดี เอาเถอะ เรื่องนี้หูอวิ๋นไม่ได้สังเกตเลยจริงๆ แต่หูของจี้หยวนยอดเยี่ยมมาก ความเคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวล้วนไม่มีทางเล็ดรอด หูอวิ๋นคิดว่าเคาะประตูจะรบกวนการพักผ่อนหรือการฝึกปราณของท่านจี้ได้ง่าย
เห็นจี้หยวนไม่สนใจตนเอง หูอวิ๋นกระโดดขึ้นบนโต๊ะหินแล้วเล่าเจตนาการมาเยือนครั้งนี้ด้วยใจกังวล
“ท่านจี้ เจ้าภูเขาลู่เริ่มขนร่วงแล้ว เขาบอกว่าอีกร้อยกว่าปีเขาจะไม่มีขนแล้ว กังวลอยู่บ้างว่าการฝึกปราณเกิดปัญหาอะไรหรือไม่ จึงให้ข้ามาลองถามท่านดู”
จี้หยวนยิ้มทว่าไม่พูดอะไร หยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่สี่ตัว
หูอวิ๋นตั้งใจมองอยู่ข้างๆ อ่านเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ได้ “เกิดใหม่เปลี่ยนกระดูก…”
จิ้งจอกชะงักไปครู่หนึ่งถึงค่อยมองจี้หยวน
“ท่านจี้ เจ้าภูเขาลู่จะแปลงกายแล้วหรือ”
“ยังเร็วไป แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องดี การเกิดใหม่เปลี่ยนกระดูกก่อนการแปลงกายมีความสำคัญมากสำหรับปีศาจผู้ฝึกปราณ ปีศาจทั่วไปไม่มีทางเป็นเช่นนี้”
ขณะจี้หยวนกำลังพูด ตัวอักษรบนกระดาษมีแสงทอประกาย เขายกมันขึ้นมาเป่าลมเล็กน้อย รอยหมึกทั้งหมดแห้งสนิทหลังจากนั้น
“เช่นนั้นปีศาจประเภทใดเกิดใหม่เปลี่ยนกระดูกได้บ้าง ข้าทำได้หรือไม่”
จิ้งจอกชี้ตนเอง ถามด้วยความคาดหวังอย่างยิ่งยวด
จี้หยวนเพียงชำเลืองมองมันครั้งหนึ่ง ไม่ได้ตอบคำถามครึ่งหลังของมัน เพียงตอบคำถามครึ่งแรกด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เช่นภูตวารีที่ได้รับพรจากสวรรค์แปลงกายเป็นมังกร ก็จะเกิดใหม่เปลี่ยนกระดูกได้”