ตอนที่ 255 ชีวิตสงบสุขถึงขีดสุด
พูดตามตรงว่าตอนแรกจี้หยวนไม่คิดว่าแค่ไปศาลมืดเจอบิดามารดา จะสามารถทำให้ลู่เฉิงเฟิงเปลี่ยนแปลงมากเช่นนี้
ด้วยจากมุมมองของจี้หยวน แม้ว่าก่อนหน้านี้ลู่เฉิงเฟิงเรียบร้อยมีมารยาท การเข้าสังคมถือว่ากลมกลืน แต่สุดท้ายก็เป็นแค่คนธรรมดา เขาไม่มีทางประเมินลู่เฉิงเฟิงสูงเพราะความสำเร็จบนยุทธภพที่ได้รับก่อนหน้านี้ ทั้งไม่มีทางดูถูกลู่เฉิงเฟิงเพราะถูกความโหดร้ายของความจริงบดทำลาย ได้แต่เห็นใจและห่วงใยเล็กน้อยตามฐานะคนรู้จัก
แต่ใจคนยากคาดเดาที่สุด การเปลี่ยนแปลงของความดีความชั่วล้วนเป็นเช่นนี้ หลังกลับมาจากศาลมืดจังหวัดเต๋อเซิ่ง ลู่เฉิงเฟิงไม่ใช่คนธรรมดาแล้ว
จี้หยวนสัมผัสได้อย่างชัดเจนยิ่ง จอมยุทธ์ลู่กลายเป็นผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งแล้ว ผู้แข็งแกร่งซึ่งเทพเซียนในสายตาคนทั่วไปอย่างเขายังยอมรับ เอาเถอะ บางทีผู้ฝึกปราณคนอื่นอาจไม่ยอมรับ แต่เขาจี้หยวนยอมรับผู้แข็งแกร่งเช่นนี้มาก
จี้หยวนหันกลับจากประตูเรือน ปิดประตูเรือนอีกครั้ง มองไปกลางลาน กิ่งใบของต้นพุทรายังพลิ้วไหวตามสายลมเย็น แม้ว่ากำลังขยับแต่กลับเสริมความเงียบสงบ
“ดูท่าว่าเจ้าก็ยอมรับ!”
พุทราผลนั้นใช่ว่าจี้หยวนมอบให้ แต่ต้นพุทราเป็นคนมอบเองจริงๆ
วู้ม…
กระบี่เครือเขียวซึ่งพิงอยู่ใต้ต้นพุทราตลอดส่งเสียงแผ่วเบา แสดงออกถึงการมีอยู่ของตน คล้ายอาศัยเพียงครึ่งคำของจี้หยวนก็รู้ว่าเจ้านายคิดอะไร
“อืม รู้แล้ว เจ้าก็ยอมรับ”
จี้หยวนยิ้มกล่าวประโยคหนึ่ง กลับมาอยู่หน้าโต๊ะ ถือม้วนหยกขึ้นมาอ่านเนื้อหาบนนั้นต่อ ในใจคิดว่าการมาหาอย่างกะทันหันของลู่เฉิงเฟิงพิเศษอยู่บ้าง
มีคำกล่าวว่าพรหมลิขิตยากควบคุมกำหนด จี้หยวนคิดว่านี่ไม่ใช่ทฤษฎีโชคชะตาอย่างเดียวแน่ พูดตามจริงน่าจะเป็นกฎเกณฑ์ของสรรพสิ่ง หรือก็คือมรรคยึดหลักธรรมชาติ แต่สามารถเข้าใจว่าเป็นสถานการณ์ซึ่งมีกรรมข้องเกี่ยวได้เช่นกัน ทุกสิ่งย่อมมีผลกระทบที่สอดคล้องกัน
ตอนนี้เป็นจุดพลิกผันครั้งใหญ่ในชีวิตเจ้าภูเขาลู่ ช่วงเกิดใหม่เปลี่ยนกระดูก คาดเดาจากเผ่าเขากับพวกมังกรเจียว อย่างเร็วสามถึงห้าปี อย่างช้าไม่เกินสิบปี ภูตเสือร้ายที่บรรลุจะแปรสภาพโดยสิ้นเชิง คิดว่าถึงตอนนั้นการแปลงกายคงเป็นเรื่องสุกงอมตามครรลอง ถึงอย่างไรหลังจากปีศาจในน้ำบางส่วนแปลงเจียวสำเร็จไม่นาน ส่วนใหญ่สามารถแปลงกายได้ ถึงขั้นแปลงกายก่อนแปลงเจียวก็มีไม่น้อย
ตอนนี้บังเอิญเป็นจุดพลิกผันสำคัญของลู่เฉิงเฟิง เกิดการบรรลุด้วยตัวเอง ต้องพูดว่าเป็นวาสนาอัศจรรย์อย่างหนึ่ง หากวิเคราะห์โดยละเอียดจริง ตอนนั้นสาเหตุที่เจ้าภูเขาลู่ทำสัญญากับพวกเขาเก้าคน นอกจากมีเขาจี้หยวนเป็นเหตุแล้ว ลู่เฉิงเฟิงเป็นตัวแปรแรกโดยไม่ต้องสงสัย
จี้หยวนอยากรู้นักว่าเสือร้ายตัวนี้จะแปลงเป็นอะไร ถึงอย่างไรเขาก็ไม่เคยได้ยินกรณีนี้มาก่อน การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้แปดส่วนคงหนีไม่พ้นบทความ ‘ท่องอิสระ’ ทั้งยิ่งสงสัยว่าถึงตอนนั้นเจ้าภูเขาลู่จะทำตามสัญญาอย่างไร
ถ้ามองจากปัจจุบัน จอมยุทธ์น้อยที่ผ่านประสบการณ์เก้าคนนี้มีโอกาสสูงว่าจำสัญญากับเสือร้ายตอนนั้นไม่ได้ทุกคน แม้แต่ลู่เฉิงเฟิงที่เพิ่งจากไปก็เช่นกัน อย่างน้อยก็ไม่กล่าวถึงต่อหน้าจี้หยวน
หลายปีนี้จี้หยวนเคยไปแท่นชมจันทร์หินยักษ์บนเขาโคเทพหลายครั้ง อาศัยเขตแดนซึ่งฝึกจนชำนาญเป็นวิธีแปรมรรค ถ่ายทอดมรรคให้เจ้าภูเขาลู่หลายครั้ง ต่อให้เจ้าภูเขาลู่ไม่เคยพูดถึงสัญญาเมื่อปีนั้น แต่จี้หยวนรู้จักเจ้าภูเขาลู่มากกว่าจอมยุทธ์น้อยเก้าคนเมื่อตอนนั้นมาก รู้ว่าศิษย์คนนี้ของตนให้ความสำคัญกับคำสัญญาที่สุด ในใจย่อมจำสัญญาเมื่อปีนั้นได้
หลังอ่านม้วนหยกครู่หนึ่งจี้หยวนค่อยหยุดลง การมาเยือนของลู่เฉิงเฟิงทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ ทั้งสงสัยใคร่รู้ขึ้นมา
นอกจากตู้เหิงกับลู่เฉิงเฟิงแล้ว เขาทำนายดวงอีกเจ็ดคนจากชื่อแซ่และความทรงจำ ผ่านไปครู่หนึ่งจี้หยวนขมวดคิ้ว
ไม่รู้วันเกิดกอปรกับผ่านมาหลายปีขนาดนี้แล้ว ภายใต้สถานการณ์ซึ่งมีเงื่อนไขจำกัด ด้วยความสามารถด้านการทำนายของจี้หยวน คำทำนายนี้ถือว่าคลุมเครือจริงๆ โดยคร่าวนับว่าตัดไปทิศทางหนึ่ง
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังรู้สึกได้รางๆ
‘ช่างเถอะ ‘เรื่องน่ายินดี’ ของเจ้าภูเขากับพวกเขา ข้ายังไม่เข้าไปยุ่งแล้วกัน’
…
หลังจากนั้นห้าวัน หน้าประตูตระกูลลู่แห่งหอเมฆาอำเภออวี้ชาง ลู่เฉิงเฟิงลงมาจากหลังม้าขนเหลืองแต้มขาวตัวหนึ่ง เขาปัดเศษฝุ่นบนตัวออก ปลดงอบเหนือศีรษะลง ไม่สนความอ่อนเพลียและง่วงนอน ไปหาพี่ใหญ่ของตนทั้งอย่างนั้น
หลังจากนั้นครึ่งเค่อ ภายในห้องข้างคลังเก็บของตระกูล ลู่เฉิงเฟิงเห็นเงาร่างซึ่งยุ่งง่วนของพี่ชายตน
เมื่อเห็นลู่เฉิงเฟิง ลู่เฉิงอวิ๋นขมวดคิ้วกล่าว
“หลายวันนี้ไปไหนมา เหตุใดไม่ให้ข้ารับใช้ติดตาม สองปีนี้สถานการณ์ตระกูลลู่ไม่ดีนัก ยังต้องให้ข้าบอกเจ้าอีกครั้งหรือ”
ลู่เฉิงเฟิงไม่ต่อปากต่อคำ เขาแค่ยิ้มเล็กน้อย หยิบผ้าห่อหนึ่งออกมาจากอก เมื่อคลายออกแล้วเผยผลพุทราแดงเพลิง
“ท่านพี่ ข้านำผลพุทราหายากมาให้ท่าน ผู้สูงส่งมอบให้ ไม่ใช่ของธรรมดาแน่”
ความจริงลู่เฉิงเฟิงรู้ชัดถึงความไม่ธรรมดาของผลพุทรานี้ ระหว่างทางกลับมาเขาวิเคราะห์ละเอียดไม่ใช่แค่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นความอุ่นไม่คลายหรือแสงเพลิงซึ่งปรากฏเป็นครั้งคราวกลางดึก ล้วนอธิบายความอัศจรรย์ของผลไม้นี้เต็มที่
“นี่คือ? ผลพุทรา? รูปลักษณ์แบบนี้? ช่วงฤดูนี้?”
ลู่เฉิงอวิ๋นถูกพุทราเพลิงดึงดูดความสนใจเช่นกัน ภายใต้ความสงสัยเขาคว้าผลพุทรามาดูโดยละเอียดอย่างอดไม่ได้ แต่เมื่อมือสัมผัสกลับรู้สึกว่ามีเพลิงพลุ่งพล่านในมือ
“นี่มัน!”
ลู่เฉิงอวิ๋นมองลู่เฉิงเฟิงอย่างตกตะลึง คล้ายเพิ่งรู้ว่าเมื่อครู่น้องชายตนไม่ได้กล่าวเลื่อนลอย เขาจับเล่นในมือครู่หนึ่งก่อนส่งคืนลู่เฉิงเฟิง แต่ยื่นมือไปครึ่งหนึ่งก็ถูกลู่เฉิงเฟิงดันกลับ
“นำกลับมาเพื่อให้ท่าน ไม่รู้ว่าผ่านมานานแล้วเสียหรือไม่ ท่านพี่รีบกินจะดีกว่า”
เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ ลู่เฉิงเฟิงหันหลังจากไปทั้งอย่างนั้น ไม่คิดอธิบายอะไรมากความ
ลู่เฉิงอวิ๋นมองผลพุทรา ผลไม้ในมือล่อใจนัก แค่มองยังรู้สึกน้ำลายไหล
“เฉิงเฟิง ข้าว่าเจ้า…”
“ข้าไม่ต้องการแล้ว!”
ลู่เฉิงเฟิงหันกลับมามองพี่ชาย ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบก็บอกปัด จากนั้นค่อยจากไปโดยไม่หันกลับมาอีก
“เจ้าจะไปไหน”
“นอนสักหน่อยก่อน จากนั้นค่อยตื่นมาฝึกยุทธ์”
เงาหลังของลู่เฉิงเฟิงหายไปจากประตูห้องแล้ว แต่เสียงยังดังมาจากข้างนอกแต่ไกล
เพียงสองสามประโยค แต่จากน้ำเสียงกลับทำให้ลู่เฉิงอวิ๋นพอสัมผัสได้อย่างประหลาด ว่าน้องชายของตนเหมือนกับต่างออกไปเดิมอยู่บ้างแล้ว
…
ยามรัฐจีมีฝนช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ วันนี้ยังคงฝนตก
จี้หยวนไม่ได้ไปกลางลาน แต่ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งใต้ชายคาหน้าห้องอ่านจดหมายในมือ
การติดต่อสื่อสารในสังคมต้าเจินไม่สะดวกนัก บางครั้งนานแล้วไม่มีจดหมายใช่ว่าไม่มีคนเขียนมาจริง ยกตัวอย่างเช่นตอนนี้ เมื่อจี้หยวนได้รับจดหมายก็มาเป็นตั้ง ไม่รู้ว่าม้าส่งสารตรงไหนเกิดปัญหา ทั้งไม่อาจถามเวลาส่ง สะสมไว้นานจนพบปัญหาค่อยถูกส่งออกมา
ชาติก่อนขนส่งมากมายยังเกิดสถานการณ์คล้ายคลึงกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนนี้ ขอแค่ไม่ใช่พวกจดหมายกองทัพหรือสั่งคนมาส่งด้วยตัวเอง ย่อมไม่ค่อยมีการรับรอง
อ่านจดหมายง่ายกว่าอ่านตำรา ผู้เขียนจดหมายกล่าวถึงจี้หยวน ยามเปิดจดหมายจะมีพลังขับเคลื่อนเสี้ยวหนึ่งรางๆ ทำให้จี้หยวนอ่านจดหมายได้ระดับหนึ่งโดยไม่ได้รับผลกระทบจากการมองเห็นของตน
มีจดหมายฉบับหนึ่งเป็นของตู้เหิง กล่าวถึงลู่เฉิงเฟิง บอกว่าลู่เฉิงเฟิงเจอการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางบ้านจนหมดสภาพ เขากล่าวถึงเรื่องของท่านจี้อย่างอดไม่ไหวจริงๆ ถือเป็นการเตือนว่าลู่เฉิงเฟิงจะมาหาจี้หยวน ส่งสารมาขออภัยโดยเฉพาะ
ยังมีอีกฉบับมาจากรัฐปิง ผู้เขียนจดหมายคือฉินจื่อโจวซึ่งตอนนี้เปลี่ยนไปมากแล้ว บอกเล่าสถานการณ์การฝึกปราณของเขาในปัจจุบัน กล่าวว่าเขาอยู่อารามเขาเมฆาศึกษาตำรามรรคเกี่ยวกับลักษณ์ดาราของลัทธิเต๋าพร้อมกับสองนักพรต สอดคล้องกับเจตเทพธงแผนที่ดาวในอารามอย่างมาก ถึงขั้นสามารถดึงดูดพลังดารามากมายยามค่ำคืนเป็นครั้งคราว อาศัยสิ่งนี้มาเริ่มก้าวสู่หนทางการฝึกปราณที่ถูกต้อง
เรื่องการฝึกปราณครึ่งแรกถือว่าปกติ ครึ่งหลังฉินจื่อโจวถามจี้หยวนด้วยนัยสงสัยเจือความหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ ส่วนใหญ่คือตอนนี้นักพรตชิงซงร่างกายแข็งแรงขึ้นเพราะปราณวิญญาณจากจี้หยวนเมื่อตอนนั้นและการฝึกปราณกับฉินจื่อโจวยามนี้ ส่วนเรื่องความแข็งขันกลับไม่รู้จักหลาบจำ นี่เป็นเรื่องดีหรือเรื่องร้ายกันแน่
จี้หยวนรู้ดีว่าคำว่า ‘ความแข็งขันของนักพรตชิงซง’ คืออะไร แต่เรื่องแบบนี้เขาจะพูดอะไรได้เล่า
จดหมายสองฉบับที่เหลือส่งมาจากรัฐหวั่น ฉบับแรกลงนามอิ๋นจ้าวเซียน ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากพูดถึงสถานการณ์ช่วงนี้กับครอบครัวแล้ว ยังนับเป็นจดหมายอวยพรปีใหม่ย้อนหลัง ยามจี้หยวนอ่านเขาเหลือบมองฝนฤดูใบไม้ผลิด้านนอก ถือว่าคนตระกูลอิ๋นอวยพรล่วงหน้าสำหรับปีนี้แล้วกัน
จดหมายฉบับที่สองลายมือค่อนข้างแปลกอยู่บ้าง ดูหยาบและบิดเบี้ยวมาก จี้หยวนแค่มองก็รู้ว่าอิ๋นชิงใช้มือซ้ายเขียน ถึงขั้นไม่ลงนาม สีหน้าเขาจริงจังขึ้นมาเล็กน้อย
ในจดหมายเขียนว่าพระวรกายฮ่องเต้หยวนเต๋อแย่ลงเรื่อยๆ เริ่มไม่สนใจงานราชสำนัก ถึงขั้นนิ่งเฉยต่อขุมอำนาจราชสำนักของอู๋อ๋องซึ่งกดข่มองค์ชายองค์อื่น
อิ๋นชิงถึงขั้นกล่าวเป็นนัยว่า ‘อู๋อ๋องนอกจากดึงเหล่าขุนนางมาเป็นพวกอย่างบ้าคลั่งแล้ว ยังดึงบัณฑิตเป็นพวกด้วย’
จี้หยวนวางจดหมายลงแล้วมองฝนโปรยปรายนอกห้องก่อนใคร่ครวญอยู่นาน
แน่นอนว่าบัณฑิตสื่อถึงอิ๋นจ้าวเซียน แม้แต่จือโจวแห่งรัฐหวั่นที่อยู่ห่างไกลอย่างอิ๋นจ้าวเซียน อู๋อ๋องยังเคยส่งคนมาชักจูงเขาอย่างหยั่งเชิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมืองหลวง ราชสำนักต้าเจินมีคลื่นใต้น้ำซัดโหมจริงๆ
เรื่องแบบนี้อิ๋นจ้าวเซียนไม่มีทางเขียนจดหมายมาบอก แต่อิ๋นชิงกลับบอกเขาคนแซ่จี้โดยเฉพาะ น่าสนใจอยู่บ้าง
เมื่อฮ่องเต้ชราสวรรคต ผู้สืบทอดบัลลังก์ซึ่งเหมาะสมที่สุดแน่นอนว่าคืออู๋อ๋อง แต่จิ้นอ๋องไม่ใช่คนต่อกรง่ายเช่นกัน พูดถึงวิธีการย่อมร้ายกาจกว่าพี่ชายของเขา เกรงว่าคงต่อสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง
น่าเสียดายที่เรื่องการแก่งแย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทเช่นนี้ จี้หยวนไม่มีความคิดยื่นมือยุ่งเกี่ยว แค่ไปลองดูคงไม่เป็นไร
เขาฝึกปราณในบ้านมาเกือบสองปี ควรเคลื่อนไหวบ้างแล้ว คิดไปหาหวังลี่นักเล่าเรื่องคนนั้นพอดี อยากฟังวาสนากวางขาวหลังจากแต่งเสร็จ หากพอใช้ได้ค่อยมอบเรื่องใหม่ให้เขา
จี้หยวนนั่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกลับห้องฝนหมึกถือพู่กัน ตอบจดหมายรัฐหวั่นฉบับหนึ่ง ส่วนจดหมายอื่นล้วนไม่ตอบกลับ จากนั้นค่อยลงกลอนประตูเรือนเล็กทั้งนอกในแล้วออกไป