ตอนที่ 258 ต้องยึดตามความจริง
ดูท่าทางของหญิงสาวชุดขาวต้องเป็นวิญญาณฝึกปราณแสวงมรรคเทพแน่ สำหรับวิชาควบคุมลมเดิมก็ขาดความเข้าใจและการควบคุม กอปรกับมรรควิถีนางไม่ถือว่าสูงนัก คิดเรียกลมสร้างสถานการณ์ต่อหน้าจี้หยวนย่อมไม่มีทาง
หญิงสาวประหม่าครู่หนึ่งแต่ไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ นางค่อยสบายใจ
เมื่อลมสงบลง แขกเหรื่อซึ่งถูกรบกวนก่อนหน้านี้ทยอยนิ่งสงบ เด็กรับใช้ของหอสุราและบ่าวตระกูลเการีบจุดไฟตะเกียงซึ่งมอดดับอีกครั้ง ยังมีคนตรวจสอบสลักไม้ตรงหน้าต่างโดยเฉพาะ สงสัยว่าเหตุใดเมื่อครู่ถึงถูกลมพัดเปิดออก
ตั้งแต่ตะวันเพิ่งตกดินถึงตอนนี้ ฟังเรื่องเล่าจบกินอาหารไปพอประมาณ งานเลี้ยงถือว่าแขกและเจ้าภาพต่างเบิกบาน
มีคนทยอยขอตัวจากไป แต่ยังไม่ถึงเวลาจบงาน ภายในหอมีเสียงฉินเส้อบรรเลงไม่หยุด ยังคงแลกจอกเปลี่ยนถ้วย คนที่เหลือล้วนเป็นพวกชอบสุรา เมื่อครู่เรื่องเล่าดึงดูดความสนใจจนไม่ได้ดื่มหรือเมาเท่าไหร่ ตอนนี้แน่นอนว่าไม่เมาไม่กลับ
หวังลี่ลูบหน้าผากอย่างมึนงงอยู่บ้าง เมื่อครู่ผู้ถูกลมเย็นจู่โจมค่อนข้างหนักก็คือเขา ตอนนี้เพิ่งได้สติกลับมาเล็กน้อย
“คุณชายหวัง นายท่านบอกว่าจะจ่ายเงินให้ท่าน เชิญตามข้ามา”
มีผู้ดูแลตระกูลเกามาถึงข้างกายหวังลี่ พานักเล่าเรื่องซึ่งเก็บของบนโต๊ะเสร็จไปรับเงินตอบแทน
“ได้ ไปเดี๋ยวนี้!”
หวังลี่ได้ยินว่ารับเงินในใจพลันยินดี รีบหยิบของตนตามผู้ดูแลลงไปพร้อมกัน
จี้หยวนเห็นหญิงสาวชุดขาวคนนั้นรีบลุกขึ้นตามหวังลี่ลงไปดังคาด เขาดื่มสุราภายในจอกเบื้องหน้าตนจนหมด จากนั้นค่อยเช็ดตัวอักษรซึ่งเขียนด้วยคราบสุราบนโต๊ะออกก่อนลุกขึ้น
จี้หยวนไม่ได้เดินลงไป แต่เดินมาถึงโต๊ะของคนตระกูลเกา ประสานมือไปทางคุณชายเกาซึ่งตอนนี้ยังอยู่เป็นเพื่อนแขก
“คุณชายเกา ขอบคุณสำหรับการต้อนรับจากตระกูลท่าน ข้าคนแซ่จี้ยังมีธุระต้องขอตัวจากไปก่อน ฝากทักทายท่านเกาแทนข้าด้วย!”
ถึงอย่างไรท่านเกาก็อายุมาก เดิมทีก็อดนอนไม่ได้ กอปรกับดื่มสุราบางส่วนเพราะดีใจมาก กลับจวนไปพักผ่อนแล้ว ถึงอย่างไรเหล่าผู้อาวุโสอายุไล่เลี่ยกันส่วนใหญ่ต่างก็กลับไปแล้ว
คุณชายเกาไม่รู้จักจี้หยวนโดยสิ้นเชิง แต่จากประโยคว่า ‘ฝากทักทายท่านเกาแทนข้าด้วย’ ทำให้รู้สึกว่าละเลยไม่ได้ อีกทั้งจี้หยวนยังท่าทางไม่ธรรมดาจริงๆ เขาจึงรีบลุกขึ้นมาคารวะตอบ
“ได้ ผู้อาวุโสจี้เดินทางปลอดภัย!”
จี้หยวนซึ่งเดิมคิดหันหลังกลับได้ยินคำว่า ‘ผู้อาวุโสจี้’ แล้วร่าเริงทันที
“ฮ่า ผู้อาวุโสจี้? ฮ่าๆๆๆ… น่าสนใจๆ…”
แม้ว่าความรู้ของคุณชายเกาคนนี้น่าจะไม่เลว แต่ความเคยชินไม่เหมือนบัณฑิต หรือกล่าวว่าคนที่ตระกูลเกาคบหาส่วนใหญ่เป็นพ่อค้า ผู้มาร่วมงานเลี้ยงล้วนเป็นพ่อค้าเศรษฐี
ในเมื่อตนไม่รู้จักจี้หยวน คุณชายเกาย่อมเข้าใจว่าเป็นเศรษฐีบางคนที่บิดารู้จักเป็นธรรมดา ดังนั้นถึงเรียกผู้อาวุโสจี้ด้วยความเคยชิน
จี้หยวนยิ้มพลางส่ายหัวเล็กน้อย
“ตอนนี้คุณชายสอบติด กว่าครึ่งย่อมไปเป็นขุนนางรัฐหวั่น หนทางยาวไกลนัก ฐานะย่อมต่างออกไปอยู่บ้าง จำเป็นต้องเตรียมตัวดีๆ ก่อนจากบ้านเกิดอย่าลืมไหว้บรรพชนจุดธูปศาลเจ้า จากนั้นค่อยพกดินบ้านเกิดร่วมทางไปด้วย”
“รัฐหวั่น?”
คุณชายเกาใคร่ครวญเล็กน้อยก่อนเข้าใจสาเหตุหมดจด ปีก่อนช่วงยังไม่ถึงต้นปี ‘ผ้าไหมเลือด’ สั่นสะเทือนราชสำนัก เล่าลือทั่วเมืองรัฐโยวไม่น้อย แต่ถึงอย่างไรก็อยู่ห่างกันไกล แค่รู้ว่าสังหารขุนนางฉ้อราษฎร์บังหลวงไปไม่น้อย ไม่รู้ว่ารุนแรงถึงขั้นไหนกันแน่ ฟังความเห็นของท่านจี้แล้ว คล้ายว่าแวดวงราชการทางนั้นยังมีตำแหน่งว่างอยู่มากสินะ
‘รัฐหวั่นเป็นสถานที่ดีนัก! เป็นโอกาสดีของการเผยปณิธานในอนาคต!’
“ขอบคุณท่านจี้ที่ชี้แนะ!”
คุณชายเกาประสานมืออย่างจริงจังอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่เรียกผู้อาวุโสแล้ว
จี้หยวนพยักหน้าก่อนหันหลังจากไป คุณชายเกามองเขาเดินลงจากหอ จากนั้นค่อยนั่งดื่มสุราต่อ
ในใจอดใคร่ครวญไม่ได้ ในบรรดาคนที่บิดาตนรู้จักมีผู้ไร้กลิ่นเงินทองแดงเช่นนี้ด้วย รู้สึกเหมือนเจอบัณฑิตมีชื่อเสียง ต้องกลับไปถามบิดาดีๆ ดีที่สุดคือเชิญท่านจี้คนนี้มาบ้านค่อยพูดคุยกัน
ด้านล่างหอ ผู้ดูแลตระกูลเกายืมเครื่องชั่งเงินของหอร่มเย็นมาชั่งตำลึงเงินต่อหน้าหวังลี่ รวมเป็นตำลึงเงินสองก้อน ก้อนหนึ่งห้าตำลึง อีกก้อนหนึ่งตำลึง
“น้ำหนักเงินไม่ขาดแม้แต่น้อย คุณชายหวังโปรดรับไว้ ห้าตำลึงเป็นค่าตอบแทน หนึ่งตำลึงนี้นายท่านกำชับว่าตกรางวัลให้คุณชายเพิ่มเติม”
หวังลี่ประสานมืออย่างจริงจัง
“ขอบคุณมาก!”
จากนั้นค่อยรับเงิน สีหน้ายินดีอย่างยิ่ง ขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่าก่อนขอตัวออกจากหอร่มเย็นไป
เมื่อหวังลี่จากไป หญิงสาวชุดขาวคนหนึ่งตามเขาไป ยามเดินผ่านข้างกายผู้ดูแลตระกูลเกา ทำเอาฝ่ายหลังหนาวสะท้านกะทันหัน
“เฮือก… คืนนี้หนาวจริง…”
เมื่อหันกลับมาเห็นจี้หยวนเดินลงมา เขายิ้มพลางพยักหน้า จี้หยวนยิ้มตอบ สาวเท้าออกจากหอร่มเย็นไป
แม้ว่าคนบอกยามยังไม่เคาะบอกว่ายามสาม แต่ตอนนี้ใกล้ช่วงปลายยามไฮ่[1]แล้ว สำหรับผู้อาศัยในเมืองส่วนใหญ่ถือเป็นเวลานอนหลับสบาย บนท้องถนนว่างเปล่าไร้ผู้คน
หลังจากหวังลี่ก้าวออกจากหอร่มเย็น เขาเดินไปทางใต้ด้วยท่าทางรีบร้อนตลอด
หวิว…หวิว…
ลมกลางคืนพัดจนเขาหนาวไปทั้งตัว หวังลี่สวมเสื้อรัดกุม เร่งฝีเท้าขึ้นส่วนหนึ่ง
เมื่อเดินถึงทางแยกบนถนนแห่งหนึ่ง ยามลังเลว่าจะเลือกกลับบ้านหรือไปอีกทิศทาง สุดท้ายเขาไม่ได้เดินกลับบ้าน แต่เลือกไปทางตะวันตก
“คุณชายหวัง คุณชายหวังโปรดหยุดก่อน!”
เสียงไพเราะเยียบเย็นหนึ่งดังมาจากด้านหลัง หวังลี่หันกลับไปมองด้วยความสงสัย พบว่ามีหญิงสาวชุดขาวพลิ้วไหวคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ด้านหลังตน
หวังลี่มองซ้ายมองขวา คล้ายว่าไม่มีคนอื่นตามมา
“แม่นางเรียกข้าน้อยหรือ”
หญิงสาวทำท่าว่านฝูหลี่เล็กน้อยก่อนยิ้มกล่าว
“ได้ยินมานานว่าวาสนากวางขาวของคุณชายหวังซาบซึ้งตรึงใจ วันนี้ฟังถึงสามตอนหลังแล้วเป็นเรื่องดีจริงๆ”
หวังลี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในจังหวัดเฉิงซู่แห่งนี้เขายังไม่เคยเล่าเรื่อง ‘วาสนากวางขาว’ นางได้ยินมานานจากไหน หรือหญิงสาวคนนี้ฟังเรื่องเล่าของเขาจากต่างถิ่น
“อ้อ ขอบคุณแม่นางที่ชม ยามดึกเงียบสงัด แม่นางเดินบนถนนคนเดียวไม่ประมาทเกินไปหรือ รีบกลับบ้านไปเถอะ”
“คุณชายหวังกล่าวถูกต้องยิ่ง หญิงสาวเดินกลางดึกลำพังน่ากลัวนัก ไม่ทราบว่าคุณชายหวังส่งข้ากลับบ้านได้หรือไม่”
“เอ่อ… ชายหญิงอยู่กันลำพัง…”
“หรือคุณชายหวังอยากให้ข้ากลับบ้านคนเดียว”
หญิงสาวชุดขาวเอ่ยถามเช่นนี้ เมื่อเห็นหวังลี่ยังลังเล นางประชิดข้างกายหวังลี่ กล่าวเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“คุณชายหวัง โปรดตามข้ามา ข้าช่วยท่านให้เจอต้วนมู่หวั่นอีกครั้งได้”
“หวั่นเอ๋อร์!? เจ้ารู้จักนางหรือ ไปๆๆ รีบไปเร็ว!”
หวังลี่ไม่ลังเลอีก ตามหญิงสาวจากไปพร้อมกัน ทำให้จี้หยวนซึ่งตามหลังอยู่ห่างไกลขมวดคิ้วครุ่นคิด
‘ต้วนมู่หวั่นเป็นคนอย่างไร หญิงสาวชุดขาวคนนี้กำยานมรรคเทพไม่ค่อยเสถียร ไม่รู้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร’
จี้หยวนซอยเท้าไม่หยุด ราวกับย่นย่อระยะทาง ตามหวังลี่และหญิงสาวคนนั้นไปอย่างผ่อนคลายสบายใจ
หวังลี่เป็นแค่คนธรรมดาคงไม่รู้ แต่ตอนนี้จี้หยวนเห็นชัดเจน ด้วยถูกหญิงสาวชุดขาวชักนำ การเดินของทั้งสองคนรวดเร็วผิดธรรมดา แทบเร็วกว่าคนทั่วไปยามออกวิ่งนัก
ท่ามกลางลมรัตติกาลเป็นระลอก สามคนเดินตามกันยิ่งก้าวเดินยิ่งห่างไกล ยิ่งเดินยิ่งลับตาคน สุดท้ายค่อยมาถึงข้างกำแพงเมือง หญิงสาวพาหวังลี่เดินบนกำแพงเมือง ข้ามเขตเมืองด้วยความเร็วเหมือนเดินบนอากาศ ออกจากจังหวัดเฉิงซู่ไปเช่นนี้
หวังลี่ถูกสะกดด้วยวิชามายา ไม่รู้สถานการณ์ของตนแม้แต่น้อย ยังคิดว่าเดินตามหญิงสาวอยู่บนถนนในเมือง
จี้หยวนตัวเบาเหมือนนกนางแอ่น เลียบกำแพงเมืองกระโดดข้ามก่อนโรยตัวลง ยังคงก้าวตามทั้งสองคนไปเบื้องหน้า เขาอยากดูว่าเทพธิดาคนนี้จะทำอะไร
ไม่นานทั้งสองคนก็เดินห่างจากตัวจังหวัดมาสิบลี้ ถึงตอนนี้ความเร็วค่อยช้าลง คล้ายไม่มีเป้าหมายแน่ชัด
“คุณชายหวัง ข้ามีเรื่องไม่เข้าใจ ขอคุณชายชี้แนะ”
“หวั่นเอ๋อร์ฝากเจ้ามาถามหรือ แม่นางว่ามาเถิด”
หวังลี่ทอดมองห่างออกไปไม่หยุด คิดว่าจะมีคนรออยู่ตรงนั้น
หญิงสาวชุดขาวหันกลับมาด้วยสีหน้าเยียบเย็น จ้องมองดวงตาของหวังลี่
“เรื่องวาสนากวางขาวนี้ คุณชายหวังทราบมาจากที่ใดกันแน่ แม่นางกวางขาวภายในเรื่องถูกกักขังอยู่ศาลมืดและโดนลงโทษทุกปีจริงหรือ”
“เรื่องนี้ข้าคนแซ่หวังไม่แน่ใจ ทั้งไม่เคยพบ หวั่นเอ๋อร์เล่า หวั่นเอ๋อร์อยู่ไหน”
ด้วยหวังลี่ถูกวิชามายาสะกด จิตใจจึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“หวังลี่! ข้ากำลังถามเจ้า ข้าตามหาเจ้ามาตั้งนาน อย่ามาแกล้งโง่กับข้าที่นี่!”
“หา? แม่นางตามหาข้ามานานแล้วหรือ อย่าล้อเล่นเลย หวั่นเอ๋อร์เล่า”
หญิงสาวชุดขาวยิ้มหยันคราหนึ่ง สะบัดแขนเสื้อใส่ตัวหวังลี่ ฝ่ายหลังซวนเซล้มลงกับพื้น ลูบหน้าผากซึ่งปวดแสบอยู่บ้างก่อนได้สติกลับมา
“ทำไม… นี่คือที่ไหน ขะ ข้ากำลังฝันหรือ”
ทุกหนแห่งที่สายตามองเห็นล้วนเป็นทุ่งรกร้าง ไหนเลยจะมีเงาของสิ่งปลูกสร้างบนถนนกลางเมือง
“หวังลี่ บอกมาว่าเจ้ารู้เรื่องวาสนากวางขาวได้อย่างไรกันแน่ เจ้าเป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดา มีหรือจะรู้เรื่องเช่นนี้ อีกทั้ง อีกทั้งยังละเอียดเช่นนี้ด้วย…”
ตอนนี้หวังลี่ลูบแขนของตน สีหน้าลนลานอยู่บ้าง เมื่อครู่เขาหยิกตัวเองคราหนึ่ง รู้สึกเจ็บมาก น่าจะไม่ใช่ความฝัน เป็นไปได้ว่าอาจเจอภูตปีศาจร้าย
“มะ แม่นาง ข้าคนแซ่หวังบอกก่อนเล่าเรื่องแล้ว เรื่องนี้เทพเซียนถ่ายทอดผ่านฝัน ข้าน้อยปรับแต่งเติมสีสันเล็กน้อย กระทั่งกลายเป็นเรื่องเล่านี้”
“เทพเซียน? หึๆ เทพเซียนถ่ายทอดผ่านฝัน เทพเซียนคนไหนเล่าเรื่องความรักปีศาจโดยการเข้าฝันเจ้าโดยเฉพาะ”
หวังลี่กลืนน้ำลายดังอึก
“คะ ความจริงข้าคนแซ่หวังได้รับอักษรจากเทพเซียนว่า ‘วาสนากวางขาว’ เมื่อสัมผัสในใจปรากฏภาพเหตุการณ์ จากนั้นค่อยผล็อยหลับไป…”
หญิงสาวอึ้งงันเล็กน้อย วัตถุสื่อจิต?
เช่นนั้นความน่าเชื่อถือค่อยสูงขึ้นหน่อย
เมื่อนึกถึงตรงนี้หญิงสาวบันดาลโทสะ
“แม่นางกวางขาวคงทนลำบากโดนเฆี่ยนแส้อยู่ศาลมืดจริง แค่เพื่ออยู่กับสามีนางหรือ เจ้าสารเลวโจวเนี่ยนเซิงนั่นถึงกับลากนางไปขุมนรกด้วย การเฆี่ยนของศาลมืดย่อมทำให้นางวิญญาณแตกซ่าน!”
ในสายตาหญิงสาวตรงหน้าแผ่แสงเยียบเย็นสีน้ำเงินเข้ม สีหน้าซีดเผือดประชิดใบหน้าหวังลี่ มือข้างหนึ่งคว้าคอหวังลี่ เล็บเหยียดยาวออกมา
“ผี… ร้าย… ผีร้าย…”
หวังลี่ตกใจจนหน้าซีดเผือด เข่าอ่อนไปหมด สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทำให้เขาแก้ต่างตัวสั่น
“มะ ไม่ใช่… ผะ ผลลัพธ์ซึ่งเทพเซียนถ่ายทอด คะ ค่อนข้างดี… แม่นางกวางขาวนั่น แม้ตัวอยู่ขุมนรก ตะ แต่มีเจ้าที่กับเซียนคนหนึ่งรับรอง ศาลมืดไม่สร้างความลำบาก ทุกปีโดนเฆี่ยนครั้งเดียวเท่านั้น…”
เห็นชัดว่าหญิงสาวหน้าตาเหี้ยมเกรียมอึ้งงันครู่หนึ่ง
“ในเรื่องเจ้าบอกว่าเจ้าที่ผู้อ้อนวอนถูกเทพหลักเมืองปฏิเสธ ทุกปีแม่นางกวางขาวโดนเฆี่ยนทั้งวันเมื่อครบรอบวันตายของโจวเนี่ยนเซิงไม่ใช่หรือ”
“นี่… ปะ เป็นแค่เรื่องที่ข้าน้อยแต่งเพิ่มเติม… ข้าคนแซ่หวังสาบานต่อฟ้าว่าไม่พูดปดแม้แต่น้อย!”
แสงสลัววาบผ่านนัยน์ตาหญิงสาว คล้ายอยากดูว่าหวังลี่โกหกหรือไม่ ฝ่ายหลังสีหน้าซีดเผือดไม่กล้ามองนาง
“เจ้ายังกล้าหลอกข้าอีก!”
ภายใต้ความเดือดดาลหญิงสาวเหยียดเล็บอีกมือชั่วพริบตา พุ่งใส่ดวงตาข้างหนึ่งบนใบหน้าหวังลี่
“หยุด”
เมื่อเสียงบัญชาของจี้หยวนดังขึ้น เล็บเจือสีน้ำเงินเข้มอยู่ห่างจากตาซ้ายของหวังลี่ไม่เกินหนึ่งชุ่น ฝ่ายหลังถูกทำให้ตกใจจนล้มพับ ลมหายใจสั่นสะท้าน
[1] ยามไฮ่ หมายถึง ช่วงเวลา 21:00 – 23:00 น.