ตอนที่ 259 แม่นางหงซิ่ว
แม้ว่าหวังลี่ถูกทำให้ตกใจจนหัวใจแทบกระตุก แต่ยังรู้จักดีชั่ว เข้าใจว่าน่าจะมีผู้สูงส่งมาช่วยตน
หญิงสาวตรงหน้าสูญเสียการตอบสนองโดยสิ้นเชิงแล้ว แม้แต่ลูกตายังไม่ขยับ ต่อให้เป็นเช่นนี้หวังลี่ก็ไม่กล้ามองอีก
หวังลี่คิดหันกลับไปมอง ทว่าแม้ว่าหญิงสาวน่ากลัวตรงหน้าแน่นิ่งไม่ไหวติง มือซ้ายกลับยังคงบีบคอเขาแน่น ทำให้หวังลี่สลัดไม่หลุดและหันศีรษะไม่ได้ ได้แต่อาศัยแสงจันทร์มองไปด้านข้าง
ฟ้ามืดจนมองไม่ชัด ในสายตาเห็นแค่คุณชายชุดเขียวคนหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ
จี้หยวนเดินมาถึงข้างกายทั้งสองคน เมื่อครู่สิ่งที่ใช้คือวิชาผนึกร่างชั่วคราวซึ่งไม่ได้เตรียมมาล่วงหน้า กอปรกับอีกฝ่ายถือว่าชำนาญมรรคแรงปรารถนากำยาน นับว่าเป็นวิชาผนึกร่างแบบมีข้อจำกัดระดับหนึ่ง กักตัวได้ไม่นานนัก
จี้หยวนจึงสะบัดแขนเสื้อไปทางหญิงสาวโดยไม่ลังเล ทำให้ฝ่ายหลังถูกดีดห่างออกไปสองสามจั้ง ทั้งถือโอกาสคลายวิชาผนึกร่างด้วย ทำให้อีกฝ่ายกลับมาขยับตัวได้
“โอ้ย… เฮือก… ฮู่…”
ด้วยหลุดจากแรงบีบของหญิงสาว หวังลี่ส่งเสียงร้องออกมาคราหนึ่ง เข่าอ่อนล้มลงบนพื้นหญ้า คิดจะดิ้นรนลุกขึ้นมา แต่เข่าอ่อนไม่มีแรงจริงๆ ได้แต่นั่งบนพื้นประสานมือไปทางจี้หยวนไม่หยุด
“ขอบคุณผู้สูงส่งที่ช่วยชีวิตๆ!”
จี้หยวนมองหวังลี่ก่อนจ้องมองหญิงสาวชุดขาวอย่างเรียบเฉย แค่ยืนอยู่ตรงนั้นสบายๆ ทว่าทำให้อีกฝ่ายระวังตัวถึงขีดสุด ถึงขั้นไม่กล้าหนีจากไป
ผู้มาเยือนต้องเป็นผู้มุ่งตรงสู่มรรคเซียนแน่ เรื่องนี้หญิงสาวมั่นใจมาก ไม่เผยสีหน้าดุร้ายเหมือนเมื่อครู่ แต่เก็บเล็บและสีหน้าเหี้ยมเกรียม จ้องมองจี้หยวนอย่างเคร่งขรึม
“ไม่ถึงขั้นช่วยชีวิต เกินครึ่งนางย่อมไม่กล้าฆ่าเจ้า แต่สิ่งที่ข้าคนแซ่จี้สงสัยคือ…”
ครึ่งประโยคแรกจี้หยวนกล่าวกับหวังลี่ ครึ่งประโยคหลังกลับถามหญิงสาวชุดขาวคนนั้น
“เจ้ากับกวางขาวตัวนั้นมีสัมพันธ์เก่าก่อน หรือเจ้ามีความแค้นฝังลึกกับหวังลี่เท่านั้น”
“มีผู้สูงส่งอยู่ด้วยดังคาด มิน่าเมื่อครู่ถึงสำแดงวิชาบนหอสุราไม่ได้ หึ ท่านเซียนถือว่าตนมากอภินิหารวิชาแกร่งกล้า ต้องการดูหมิ่นรังแกข้าหรือ”
หญิงสาวชุดขาวกล่าวเสียงเย็นย้อนถามจี้หยวน ความจริงในใจไม่ได้นิ่งสงบเหมือนภายนอก เมื่อครู่วิชาอภินิหารนั้นอัศจรรย์เกินไป ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ประโยคนี้ทำให้จี้หยวนรู้สึกขำ
“น่าสนใจ ข้าใช้วิชาอภินิหารคุมตัวเจ้า เจ้ามาหานักเล่าเรื่องคนนี้สมควรหรือ”
แต่หญิงสาวคนนั้นไม่ถูกถามจนชะงัก ใคร่ครวญรวดเร็วคิดหาคำพูดนานแล้ว ชี้หวังลี่พลางกล่าวตอบทั้งอย่างนั้น
“สองคำถามที่ท่านเซียนเอ่ยถึง ข้าขอตอบตรงประเด็น ข้อแรกคือปีนั้นพี่ไป๋รั่วมีบุญคุณกับข้า ช่วยข้าชำระแค้นใหญ่หลวง แน่นอนว่ามีบุญคุณใหญ่หลวงนัก”
“ข้อสองยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง เมื่อครู่หวังลี่คนนี้ใช้ฉากจบมาหลอกลวงข้า ถึงกับดัดแปลงเรื่องและดูถูกข้ายามเล่าเรื่อง ยิ่งแพร่สะพัดผลกระทบที่ข้าได้รับยิ่งมาก นำแสงสว่างจากดวงตาเขาไปข้างหนึ่งย่อมไม่มากเกินไป!”
จี้หยวนมองหวังลี่อย่างแปลกใจก่อนมองหญิงสาวคนนี้
“ดัดแปลงเรื่องเจ้า?”
จากนั้นเขาใจกระตุกเหมือนสัมผัสได้
“เจ้าคือภูตผีตอนที่สองของเรื่องวาสนากวางขาวหรือ”
จี้หยวนถามอย่างประหลาดใจ ในใจหญิงสาวชุดขาวพลันหงุดหงิด แต่ไม่กล้าออกอาการกับจี้หยวน ได้แต่มองหวังลี่ก่อนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกล่าว
“ท่านเซียนกล่าวไม่ผิด ข้าคือผีร้ายดูดเลือดสูบแกนจิต กินคนไม่คายกระดูกตนนั้น!”
เอาล่ะ ช่างบังเอิญเสียจริง
แม้แต่จี้หยวนยังคิดว่าบทละครช่วงย้อนอดีตยามบรรยายถึงกวางขาว ภูตผีตนนั้นน่าจะหมดอายุขัยภายในปรโลก กระทั่งไปผุดไปเกิดนานแล้ว
คิดไม่ถึงว่าไม่เพียงยังอยู่ แต่เดินบนหนทางมรรคเทพด้วย
หวังลี่ได้ยินแล้วอึ้งงันอยู่บ้าง ดังคำกล่าวว่าศิลปะต้องปรับแต่ง ภายในเรื่องเล่าถือเป็นวิธีการที่ใช้บ่อย ยกตัวอย่างเช่น ‘ประวัติแม่ทัพหวง’ ที่มีชื่อเสียง แม่ทัพหวงคนนี้ก็ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบ ทั้งมีข้อเสียของตน แต่ภายในเรื่องชีวประวัติแทบเป็นผู้กล้าสมบูรณ์แบบ
แน่นอนว่าวาสนากวางขาวของหวังลี่ย่อมเพิ่มเนื้อหาเรื่องราวจากมุมมองส่วนตัวระหว่างเรื่องมากมายเป็นธรรมดา เพื่อทำให้เรื่องเล่ามีสีสันและยากคาดเดามากขึ้น ตัวร้ายสำคัญในตอนที่สองก็คือ ‘ผีร้าย’ และ ‘นักพรตเลอะเลือนสมองหมู’
“สำหรับมรรคเทพแรงปรารถนาถือว่าสำคัญ ขึ้นอยู่กับความคิดลมปากของผู้คนเช่นกัน ต่อให้อยากหลบก็เลี่ยงไม่ได้ มีผลกระทบอยู่บ้างจริงๆ หากวันหน้าวาสนากวางขาวแพร่กระจายเป็นวงกว้างมากขึ้น ถือว่า…”
จี้หยวนครุ่นคิดครู่หนึ่งค่อยกล่าว
“ถือว่าทำให้เจ้าลำบากจริงๆ”
ถึงอย่างไรเรื่องของหวังลี่ส่วนใหญ่ไม่ระบุชื่อแซ่ ถ้าบอกว่าตัดหนทางฝึกปราณคงมากเกินไป แต่ผลกระทบย่อมมีแน่ ถือเป็นเทพผีน่ารังเกียจจริงๆ
“ถ้าเช่นนั้นเจ้าคงมาจากรัฐเยี่ยน? มิน่ากำยานถึงไม่เสถียร ออกจากอาณาเขตมานานมากแล้วกระมัง”
มรรคเทพปฐพีต่างกับการฝึกปราณแท้จริง ยิ่งออกจากเขตนาน กำยานกับพลังที่ใช้ไปยิ่งมาก ทั้งไม่ได้รับการเพิ่มเสริม ถือว่าชักหน้าไม่ถึงหลัง ซ้ำพลังและอภินิหารยังลดลงไม่น้อยเพราะไม่ได้อยู่ในเขตปกครอง
‘นับว่าเป็นพวกรู้บุญคุณคน มากกว่าครึ่งคือพะวงเรื่องกวางขาว’
จี้หยวนคิดเช่นนี้เพราะเมื่อครู่ตอนแรกหญิงสาวคนนี้ไม่ได้พูดว่าหวังลี่ดัดแปลงเรื่องนาง แต่รีบร้อนถามสถานการณ์ของกวางขาว รอเมื่อเจอผู้สูงส่งจึงบอกเหตุผลมายืนยัน ‘การกระทำชั่วร้าย’ ของตน
“ข้าทราบข่าวจากพ่อค้าเมืองหลวง กระทั่งเดินทางมารัฐโยวจริงๆ แต่ท่านเซียนรู้ได้อย่างไรว่าข้ามาจากรัฐเยี่ยน วาสนากวางขาวนั่นไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ ท่านเซียนทำนายเอาหรือ”
ตอนนี้หญิงสาวชุดขาวผ่อนคลายลงไม่น้อยแล้ว ดูจากสภาพการณ์เซียนผู้มาเยือนคนนี้มีเหตุผล น่าจะไม่สร้างความลำบากให้นางเกินไป
จี้หยวนยิ้มพลางส่ายศีรษะ ไม่คิดปิดบังอะไรอีก กล่าวกับหวังลี่ซึ่งอยู่บนพื้นอย่างตอบไม่ตรงคำถาม
“ตอนนั้นภายในห้องเช่าตรงตรอกมุมถนนสันตินิรันดร์ของเมืองหลวง ข้าคนแซ่จี้เป็นคนเขียนคำว่า ‘วาสนากวางขาว’ บนโต๊ะของเจ้าเอง”
หวังลี่เบิกตากว้างทันที ชี้จี้หยวนอยู่ครู่ใหญ่เพราะพูดไม่ออก
“ทะ ทะ ท่าน ท่านก็คือเทพเซียนที่ช่วยกวางขาวลงขุมนรก ท่านก็คือเทพเซียนซึ่งนั่งบนหลังแม่นางกวางขาว!”
เทพธิดาชุดขาวอึ้งงันครู่หนึ่งก่อนได้สติกลับมาเช่นกัน แต่นางรู้ดีกว่าหวังลี่ว่าความสัมพันธ์ขั้นนี้หมายความว่าอะไร นางกล่าวเสียงหลงอย่างอดไม่ได้
“ท่านเซียน ท่านคืออาจารย์ของพี่ไป๋รั่วหรือ”
จี้หยวนเอ่ยปาก คิดว่าคำโกหกเจตนาดีนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ได้แต่ทอดถอนใจประโยคหนึ่ง
“ตามฐานะคงนับว่าใช่กระมัง”
คำกล่าวทอดถอนใจเช่นนี้ เมื่อเข้าหูหวังลี่กับหญิงสาวชุดขาว กลับกลายเป็นความสงสารศิษย์
…
บนทุ่งรกร้างหญ้ารกชัฏต้นไม้บางตา ลมกลางคืนพัดผ่านสร้างหมอกเลือนราง หลังจากผ่านการเผชิญหน้าชวนตึงเครียดช่วงแรกแล้ว สุดท้ายหวังลี่กับหญิงสาวชุดขาวต่างเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่
โดยเฉพาะยามรู้ว่าตอนนั้นจี้หยวนเป็นคนเขียนคำว่า ‘วาสนากวางขาว’ ไม่ว่าจะเป็นหวังลี่หรือเทพธิดาชุดขาวนามว่าจางหรุ่ยล้วนตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด
ฝ่ายแรกรู้สึกว่าตนไม่เพียงรักษาชีวิตไว้ได้ ยังเจอเทพเซียนด้วย ส่วนฝ่ายหลังได้ทราบสถานการณ์แท้จริงของกวางขาว
ไม่ต้องพูดถึงว่าหวังลี่ยอมเชื่อจี้หยวน แม้แต่จางหรุ่ยเองก็เช่นกัน
แน่นอนว่าคำพูดที่จี้หยวนกล่าวออกมาต่างจากสถานการณ์เสกสรรสร้างความกลัวของหวังลี่ก่อนหน้านี้ มีบุคลิกน่าเชื่อถือ รายละเอียดบางส่วนถือว่าเข้าเค้า อีกทั้งในสายตาหญิงสาวชุดขาว ผู้ฝึกเซียนที่มีมรรควิถีระดับนี้คงไม่ยอมพูดอ้อมค้อมโกหกในเรื่องแบบนี้แน่
ส่วนเรื่องที่หญิงสาวชุดขาวถูกดัดแปลงบท หวังลี่เองไม่ใช่คนโง่ รับปากมั่นเหมาะว่าจะปรับเปลี่ยนโครงเรื่องแน่นอน คราวนี้จึงทำให้จางหรุ่ยเห็นแก่หน้าจี้หยวนยอมปล่อยหวังลี่ไป
ตอนนี้เป็นช่วงปลายยามจื่อแล้ว หวังลี่ จี้หยวน จางหรุ่ยเดินอยู่ในจังหวัดเฉิงซู่ ทิศทางซึ่งมุ่งหน้าไปไม่ใช่บ้านหวังลี่ หากแต่เป็นทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง หรือก็คือสถานที่ซึ่งหวังลี่คิดจะไปก่อนหน้านี้
ยามทั้งสามคนก้าวเดิน จี้หยวนอยู่ตรงกลาง หวังลี่และหญิงสาวชุดขาวจางหรุ่ยอยู่ซ้ายขวา
“ต้วนมู่หวั่นคือหญิงคณิกามีชื่อแห่งรัฐโยว พิณหมากพู่กันจิตรกรรมล้วนเชี่ยวชาญทุกอย่าง ทั้งสามารถอ่านใจคนออก ทำให้คุณชายตระกูลใหญ่มากมายหลงจนวนเวียนมาหา เรียกว่าแม่นางหงซิ่ว หึๆ ความจริงตอนนี้หงซิ่วไม่ใช่คนนานแล้ว แต่เป็นนางจิ้งจอกสวมรอยอยู่เท่านั้น”
“หืม?”
จี้หยวนขมวดคิ้วเหลือบมองจางหรุ่ย รอคำพูดต่อไปของนาง หวังลี่ที่อยู่ด้านข้างทำหน้ายากจะเชื่อ
“เป็นไปได้อย่างไร สองวันก่อนข้าเพิ่งเจอหวั่นเอ๋อร์… นะ นางเป็นคนแน่นอน!”
“หึ เมื่อครู่ตอนข้าหลงทางเหมือนคนหรือไม่”
จางหรุ่ยแสร้งทำท่าอ่อนแอหยอกล้อหวังลี่ประโยคหนึ่ง ทำเอาฝ่ายหลังจนคำพูดทันที จากนั้นจางหรุ่ยค่อยกล่าวจริงจังกับจี้หยวน
“ยามข้าพักอยู่จังหวัดเฉิงซู่กลางวันสั้นนัก เดิมคิดว่าคืนนี้จะเฝ้ารอนักเล่าเรื่องคนนี้อยู่ที่เรือวิจิตร แต่บังเอิญรู้รากเหง้าของแม่นางหงซิ่วนั่น ริมเขาตรงเขตปกครองของข้ามีนางจิ้งจอกก่อกวนหลายครั้ง กลิ่นมารยานั่นข้าไม่มีทางเดาผิด”
จี้หยวนหรี่ตา
“ศาลมืดประจำจังหวัดไม่พบเห็นและไม่สนใจหรือ”
“ศาลมืดน่าจะยังไม่ทราบ บ้านเกิดหงซิ่วไม่ใช่จังหวัดเฉิงซู่ ตัวนางเองยังไม่ตาย เรือวิจิตรลอยอยู่เหนือแม่น้ำระเบียบ ถือว่าอยู่บนอาณาเขตของเทพวารี กอปรกับระวังการกระทำจึงยิ่งเร้นลับ”
จี้หยวนหันหน้ามองหวังลี่ เผยสีหน้าใคร่ครวญ
“หงซิ่ว… รู้สึกคุ้นหูอยู่บ้าง…”
ใช่แล้ว คงไม่ใช่หญิงสาวซึ่งคุณชายตระกูลเซียวปรารถนาบนเรือประดับหอเมื่อตอนนั้นกระมัง
—————————-