ตอนที่ 260 ไม่ธรรมดานัก
ทั้งสามคนไม่หยุดฝีเท้า เดินอยู่กลางเมืองเงียบสงัดยามราตรี มุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ตลอด
จี้หยวนไม่ได้บอกว่าจะไปสถานที่อย่างศาลหลักเมือง จางหรุ่ยรู้ดีว่าเขาต้องไปดูสถานการณ์ด้วยตัวเองแน่
สถานการณ์เช่นนี้จี้หยวนไม่ดำเนินการผ่านเทพผีอย่างศาลมืด หนึ่งคือง่ายต่อการแก่งแย่งเขตปกครอง สองคือยุ่งยาก เรียบง่ายค่อนหยาบหน่อยดีกว่า
ภายในสามคนจี้หยวนสันนิษฐานด้วยความสงสัย หวังลี่ขมวดคิ้วแน่น จางหรุ่ยดูผ่อนคลายที่สุด ท่านจี้ช่วยผนึกนางด้วยการบัญชา เท่ากับช่วยนางควบรวมแรงปรารถนาชั่วคราว ไม่ต้องกังวลเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
เรื่องแปลกอย่างหนึ่งของจังหวัดเฉิงซู่คือกำแพงเมืองทางใต้มีกำแพงเมืองที่สร้างไม่เสร็จเกินครึ่ง อีกทั้งติดแม่น้ำระเบียบ แม่น้ำระเบียบเป็นแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ผิวน้ำตรงนี้กว้างสิบจั้ง วิธีก่อสร้างเช่นนี้ของจังหวัดเฉิงซู่ทำให้ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมืองกลายเป็นท่าเรือใหญ่ตามธรรมชาติแห่งหนึ่ง
ท่าเรือใหญ่แห่งนี้ไม่ใช่แค่ศูนย์กลางคมนาคมทางน้ำของจังหวัดเฉิงซู่ ยังเป็นหนึ่งในสถานที่หลายแห่งซึ่งรุ่งเรืองที่สุดของจังหวัดเฉิงซู่ ทั้งเป็นสถานที่เที่ยวเล่นเคล้าโลกีย์เช่นกัน แน่นอนว่าขนาดเทียบนอกจังหวัดชุนฮุ่ยไม่ได้อยู่โข
เรือวิจิตรซึ่งจางหรุ่ยกล่าวถึงก็คือที่นี่ เป็นเรือคณิกามีชื่อเสียงของจังหวัดเฉิงซู่ แม่นางหงซิ่วซึ่งอยู่ที่นี่ยิ่งชื่อเสียงเลื่องลือทั่วรัฐโยว ถึงขั้นว่าแม้แต่คุณชายหรือนายท่านร่ำรวยของจังหวัดจิงจียังมาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียง
เปรียบเทียบกับความเงียบสงัดตรงสถานที่อื่นในเมือง ตอนนี้ริมท่าเรือแม่น้ำระเบียบยังมีคนสัญจร เวลาแบบนี้ยังเดินอยู่ข้างนอก ทั้งมาสถานที่เช่นนี้ มีจุดประสงค์อะไรแน่นอนว่าไม่ต้องพูดถึง บางคนยังแอบวิ่งหนีออกจากบ้านมาด้วย
เรือวิจิตรเป็นแค่คำเรียกอย่างหนึ่ง ความจริงนอกจากเรือประดับหอลำนั้นแล้ว ด้านข้างยังมีหอนางโลมขนาดใหญ่กว่าแห่งหนึ่งชื่อว่าหอวิจิตร เรือวิจิตรที่แท้จริงจอดอยู่ริมแม่น้ำทรงเว้าด้านหลังหอ สิ่งปลูกสร้างสองข้างล้วนเป็นเขตหอวิจิตร เท่ากับสร้างท่าเรือขนาดย่อมล้อมเรือประดับหอไว้ มีแค่เดินเข้าหอนางโลมตัดผ่านด้านหลังหอจึงเข้าสู่เรือวิจิตรได้
ยามพวกจี้หยวนยังไม่เข้าใกล้ เสียงหญิงบริการหัวเราะอ่อนหวานหยอกล้อและเสียงหวีดร้องลอยมาเข้าหูจี้หยวนแล้ว ไม่นานกลิ่นเครื่องประทินโฉมซับซ้อนมากมายลอยเข้าจมูกเช่นกัน
จี้หยวนไม่รู้สึกเขินอายอะไร พาหวังลี่ไปทางหอนางโลม แม้ว่าจางหรุ่ยตามมาด้วย แต่เห็นชัดว่าสำแดงวิชาแล้ว นอกจากจี้หยวนและหวังลี่แล้วคนอื่นล้วนมองไม่เห็นนาง
“คุณชายจาง วันนี้มาช้าขนาดนี้เชียว?”
“ใต้เท้าจ้าว เดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ!”
“มาๆๆ ท่านก็เข้ามาด้วยสิ…”
นอกหอนางโลมหญิงสาวบางส่วนกำลังดึงตัวแขก ช่วงเวลานี้คนสัญจรข้างนอกบ้างเข้าไปโดยตรง ดึกขนาดนี้แล้วไม่ต้องเลี่ยงอะไรอีก ต่อให้บางคนแสร้งทำเป็นผ่านทาง แต่ถูกเรียกรั้งตัวเข้าหน่อยก็เดินเข้าหอไปอย่างแบ่งรับแบ่งสู้
“ตายแล้ว… คุณชายหวัง ท่านมาอีกแล้ว… เชิญเข้ามาก่อน! โอ้ ใต้เท้าท่านนี้เป็นใครกัน ท่าทางมีเสน่ห์นัก!”
เมื่อทั้งสามคนเดินเข้ามาใกล้หน่อย หวังลี่ถูกแม่นางข้างนอกจำได้ทันที มีคนเข้ามาจูงมือเขาเข้าไปข้างในทันใด
“เอ่อ แหะ… ท่านจี้ ขะ ข้าไม่ได้มาบ่อย…”
หญิงคณิกาถือว่าตามีแวว ใครดึงแอบแนบแน่นเกินงามได้ คนไหนไม่อาจสัมผัสตามสะดวก ในใจต่างมีเกณฑ์ประเมินโดยคร่าว
อย่างเช่นหวังลี่ถูกดึงเข้าไปด้านในอย่างสนิทสนมเช่นนี้ ถึงขั้นยังใช้ร่างกายถูตัวเขา แต่จี้หยวนพวกนางกลับไม่กล้า แม้ว่าแม่นางหลายคนต่างมองจี้หยวน ถึงขั้นมีคนใจเต้นไม่หยุด
แต่จี้หยวนแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครกล้าไปดึงตัวตามใจ
“หึ ไม่ได้มาบ่อย? ใครจะเชื่อ ท่านจี้ดูสิ คนผู้นี้แทบไม่เคยพูดความจริง!”
ใบหน้าหวังลี่แดงก่ำ ไม่กล้ามองการแสดงออกของจี้หยวนโดยสิ้นเชิง นี่เป็นถึงเทพเซียนซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวผ่านฝัน ไม่รู้ว่าจะมองเขาอย่างไร
ชาติก่อนจี้หยวนไม่เคยเข้ามายังสถานที่เช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นจี้หยวนเมื่อชาติก่อนคาดว่าตอนนี้คงหน้าแดงไปหมด แต่ยามนี้ใบหน้าเขากลับไม่มีความรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ จิตใจค่อนข้างนิ่งสงบ แน่นอนว่าในใจยังคงรู้สึกประหม่าอยู่รางๆ แต่ไม่ตื่นเต้นและไม่รังเกียจดูถูกคน
หากบอกว่าชาติก่อนยังมีคนรวยชั่วข้ามคืนได้ แต่หญิงคณิกาชาตินี้ส่วนใหญ่ไม่ถูกขายให้หอนางโลมตั้งแต่เด็กก็เจอพิบัติใหญ่จนตกเป็นคนชั้นต่ำ สภาพสังคมเช่นนี้สามารถกดดันคนอาชีพนี้ให้ตายได้ นอกจากคนโชคดีเป็นพิเศษแล้ว ตลอดชีวิตแทบไม่มีวันลุกขึ้นได้อีก
“คุณชายหวัง ทำไมท่านถึงไม่เข้ามาเล่า ใต้เท้าท่านนี้ ต้องการเข้ามาพักผ่อนหน่อยหรือไม่ ข้างนอกลมแรง หนาวนัก!”
แม่นางเหล่านี้ล้วนมองออก หวังลี่ทำหน้าอักอ่วนด้วยกำลังดูสีหน้าของจี้หยวน
ไม่นานจี้หยวนพยักหน้าพลางกล่าว
“คุณชายหวัง พวกเราเข้าไปเถอะ”
ในใจหญิงสาวสองสามคนด้านข้างพลันยินดี หลายคนแย่งกันเข้ามาหมายดึงมือจี้หยวนทันที
วู้ม…
กระบี่เครือเขียวด้านหลังจี้หยวนส่งเสียงครวญชั่วพริบตา เจตกระบี่กดดันอบอวลรอบตัวจี้หยวนครึ่งจั้ง
ด้านข้างไม่ว่าหวังลี่หรือเหล่าหญิงคณิกาต่างรู้สึกว่ามีเสียงก้องในหู ทั้งรู้สึกใจสั่นอย่างมาก หลายคนถึงขั้นรีบถอยห่างหลายก้าวตามจิตใต้สำนึก
“แค่คนน่าสงสารซึ่งไม่เป็นตัวของตัวเองเท่านั้น”
จี้หยวนพึมพำเสียงเบาประโยคหนึ่ง ความน่ากลัวชวนใจสั่นนั่นหายไปอย่างไร้ร่องรอยทันที
จางหรุ่ยตื่นตระหนกถอยห่างไปสิบกว่าจั้ง มองตำแหน่งของจี้หยวนอยู่ห่างไกลไม่กล้าเข้าใกล้ นางสัมผัสได้ชัดเจนยิ่งกว่าคนธรรมดามาก
เมื่อครู่พริบตานั้นเหมือนเห็นภาพลวงตาของแสงเงินเจิดจ้าไร้สิ้นสุดเปี่ยมความรู้สึก นั่นคือความเฉียบคมยากบรรยาย คล้ายคนธรรมดาอยู่กลางลมหนาวเหน็บเจือความชื้น มีความรู้สึกเสียดกระดูกเหมือนมีดเฉือน
เวลานี้จางหรุ่ยพลันนึกถึงวาสนากวางขาวฉบับดั้งเดิม รอบตัวเทพเซียนคนนั้นมีกระบี่เซียนเล่มหนึ่งลอยอยู่
‘หรือกล่าวได้ว่า…’
เทพธิดาชุดขาวมองรอบตัวจี้หยวนและทุกทิศทางบนอากาศตามจิตใต้สำนึก มองไม่เห็นไม่ได้หมายความว่าไม่อยู่ มรรควิถีต่ำมองไม่เห็นอาวุธเซียนถือเป็นเรื่องปกติ
ยามจางหรุ่ยกำลังอึ้งงัน จี้หยวนและหวังลี่เข้าหอวิจิตรไปแล้ว แค่เทียบกับแขกคนอื่นซึ่งโอบซ้ายกอดขวาดึงตัวเข้าไป แม่นางสองคนรอบตัวพวกเขาแค่พาเข้าไปโดยทิ้งระยะห่าง พูดอักอ่วนสองสามประโยค ไม่กล้าสัมผัสตัวทั้งสองโดยสิ้นเชิง
จางหรุ่ยส่ายศีรษะเล็กน้อย แต่ยังกัดฟันตามเข้าไป
ในหอวิจิตรแม่เล้าซึ่งยุ่งจนถอนตัวไม่ขึ้นกำลังเตรียมพาแขกสองสามคนเข้าหอ หันกลับมาเห็นจี้หยวนกับหวังลี่เข้ามา สายตาหยุดที่หวังลี่ครู่หนึ่งก่อนมองไปทางจี้หยวน แค่มองก็รู้ว่าผู้มาเยือนคนนี้ฐานะไม่ธรรมดา
“โอ้คุณชายหวัง ท่านมาอุดหนุนกิจการของพวกเราอีกแล้ว น่าเสียดายว่าวันนี้แม่นางหงซิ่วยังมีแขก… ท่านนี้คือ…”
แม่เล้ายิ้มแย้มเบิกบาน ถือพัดกลมเข้าไปต้อนรับ ถือโอกาสถลึงตาใส่แม่นางด้านข้างสองสามครา นางเด็กพวกนี้ตาไร้แววเกินไปแล้ว ใครควรต้อนรับอย่างกระตือรือร้นยังมองไม่ออก
“ใต้เท้าท่านนี้ ท่านเป็นสหายของคุณชายหวังหรือ”
แม่เล้ายิ้มระรื่นยืนข้างจี้หยวนพลางแสร้งเหลือบมองโดยไม่ตั้งใจ แม้ว่าบนตัวไม่มีเครื่องประดับล้ำค่ามีชื่ออะไรมาก การแต่งตัวดูเรียบง่าย แต่ยังรู้สึกว่าบุคลิกไม่ธรรมดา
โดยเฉพาะปิ่นหยกดำซึ่งดูเหมือนธรรมดานั่น เมื่อมองโดยละเอียดภายใต้แสงตะเกียงแล้วโปร่งใสกว่าเครื่องแก้ว สามารถดึงดูดผู้คนจนไม่อาจละสายตา
‘หายากนัก ล้ำค่าอย่างยิ่ง! ปลาใหญ่!’
เมื่อได้ยินคำพูดของแม่เล้า หวังลี่ที่อยู่ด้านข้างออกอาการตื่นตระหนกตามจิตใต้สำนึก
“โธ่เอ๋ย แม่เล้าอย่าพูดจาส่งเดช ข้าคนแซ่หวังไหนเลยจะมีสิทธิ์เป็นสหายของท่าน… ท่านเป็น… เอ่อ เป็นผู้อาวุโสของข้าคนแซ่หวัง ใช่ เป็นผู้อาวุโส!”
แม้ว่าหวังลี่คนนี้เป็นแค่นักเล่าเรื่อง แต่เป็นผู้เห็นโลกกว้างมามากจริงๆ นายท่านคุณชายซึ่งดูเหมือนฐานะสูงส่งบางส่วนล้วนไม่เข้าตาหวังลี่ บางครั้งดื่มเยอะจะเผยท่าทางเช่นนี้ออกมาโดยไม่ตั้งใจ
ตอนนี้เมื่อเห็นการตอบสนองอย่างระมัดระวังตัวเช่นนี้ของหวังลี่ รอยยิ้มของแม่เล้าราวกับดอกเบญจมาศเบ่งบาน สะบัดพัดสองคราพากลิ่นหอมของเครื่องประทินโฉมลอยไปทางจี้หยวน ย่อตัวทำท่าว่านฝูหลี่
“คิกๆๆๆๆ… คุณชายหวังล้อเล่นแล้ว คุณชายท่านนี้ มิสู้ไปบนเรือวิจิตรเถอะ… แม่นางหอวิจิตรไม่คู่ควรกับท่านหรอก!”
กลิ่นแป้งชาดฉุนกึกทำให้จี้หยวนอึดอัดอยู่บ้าง ตอนนี้กระบี่เครือเขียวด้านหลังไม่ส่งเสียงครวญและไม่เผยเจตกระบี่ แต่อักษรวิญญาณบนฝักกระบี่ตรงคำว่า ‘ซ่อน’ ของซ่อนคมประกายหมื่นจั้งถึงกับจางลงไป หากมีคนรู้สถานการณ์เห็นเข้า คาดว่าคงปาดเหงื่อแน่
จี้หยวนฝืนใช้วิชาควบคุมลมพัดกลิ่นแป้งชาดรุนแรงออกไปจนหมด เอ่ยปากถามแม่เล้าอย่างเรียบเฉย
“ไม่ทราบว่าแม่นางหงซิ่วมีเวลาว่างหรือไม่”
“เอ่อ… คะ… คุณชาย แม่นางหงซิ่วกำลังบรรเลงพิณให้ใต้เท้าหลิว ใต้เท้าหลิวเป็นถึงลุงของจือฝู่แห่งจังหวัดเฉิงซู่ คุณชายท่านนี้ อย่างน้อยถือว่าเห็นแก่หน้าขุนนาง พวกเรา…”
“พรืด…”
เมื่อได้ยินแม่เล้าอธิบายจำนรรจาไม่หยุด หวังลี่ทนไม่ไหวชั่วขณะ หลุดหัวเราะออกมา ลุงของจือฝู่เทียบกับท่านจี้หรือ
เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้นก็เห็นจี้หยวนหันมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย หวังลี่ตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที ไม่กล้าตอบสนองเกินความจำเป็นอีก
แม่เล้าดวงตาวาววาบ ใจสั่นสะท้านเล็กน้อย สวรรค์ แม้แต่จือฝู่ยังไม่อยู่ในสายตา หรือว่าร้ายกาจกว่าที่คาดคิด!
“เอ่อ คิกๆๆๆ… เอาอย่างนี้แล้วกัน ท่านทั้งสองพักผ่อนดื่มชารอบนเรือวิจิตรก่อนเป็นอย่างไร”
แม่เล้ายิ้มพลางคิดหาวิธีในใจไม่หยุด ต้องรั้งลูกค้าท่านนี้ไว้ให้ได้
“ก็ได้”
จี้หยวนแย้มยิ้มบนหอนางโลมเป็นครั้งแรก เดินไปด้านหลังหอก่อน ปราณปีศาจเลือนรางลอยมาจากหลังหอนางโลม ภายใต้ประสาทรับกลิ่นของจี้หยวนไม่มีกลิ่นแป้งชาดปกปิดแม้แต่น้อย
หวังลี่กำลังคิดตามไป ก่อนพบว่าตนถูกแม่เล้ารั้งตัวไว้ ฝ่ายหลังเข้าประชิดถามเสียงเบาข้างหูเขา
“คุณชายหวัง ใต้เท้าหวัง คุณชายท่านนั้นมีความเป็นมาอย่างไรกันแน่ ข้ารับรองว่าจะไม่พูดออกไป ท่านบอกมาให้ชัด ถ้าความเป็นมายิ่งใหญ่พอ แม่นางหงซิ่วจะ…”
หวังลี่ดวงตาวาววาบ มองจี้หยวนซึ่งเดินห่างไปข้างหน้าเกือบสิบก้าว ประชิดข้างหูแม่เล้าพลางกล่าว
“ความเป็นมายิ่งใหญ่จนพูดออกมาแล้วท่านต้องตกใจแน่ อย่าว่าแต่ลุงของจือฝู่ แม้แต่ตัวจือฝู่เองยังไม่เท่าไหร่! เขา… ข้าพูดไม่ได้แล้ว…”
“อ้อๆๆ… ข้าเข้าใจแล้ว…!”
แม่เล้ากลืนน้ำลายพลางพยักหน้า ท่าทางยินดีเข้าใจโดยปริยาย เข้าใจว่าฐานะของคุณชายท่านนี้ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง หันกลับมามองพบว่าเขาเดินห่างไปแล้ว นางรีบบิดก้นตามจี้หยวนไป
ข้างกายจี้หยวนจางหรุ่ยเข้าใกล้ก้าวหนึ่งอย่างระวัง ถามเสียงเบาประโยคหนึ่ง
“ท่านจี้ ข้าช่วยท่านจับนางจิ้งจอกนั่นออกมาดีหรือไม่”
จี้หยวนส่ายศีรษะเล็กน้อย
“มรรควิถีเจ้ายังไม่เท่าไหร่ ปีศาจจิ้งจอกนั่นไม่ธรรมดานัก ไม่รู้ว่าเป็นจิ้งจอกที่แค่รู้จักล่อลวงคน หรือเป็นปีศาจจิ้งจอกแปลงกายตนหนึ่ง ถึงขั้นว่าอาจร้ายกาจกว่านั้นมาก! ที่นี่คนเยอะเกินไป…”