เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 275 ชะตาฟ้าหรือภัยมนุษย์

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 275 ชะตาฟ้าหรือภัยมนุษย์?

สำหรับอู๋อ๋องช่วงนี้ถือเป็นความทรมานอย่างหนึ่ง หลังจากรู้ว่าหลี่มู่ซูหายตัวไปยิ่งเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะยังมียอดฝีมือกลุ่มหนึ่งหายไปด้วย

จิ้นอ๋องทยอยเคลื่อนไหว กระตุ้นจนพวกอู๋อ๋องไม่อาจนั่งเฉย บางครั้งเห็นชัดว่าคู่ต่อสู้ลงมือไม่หยุด แต่ฝ่ายตนไม่อาจเคลื่อนไหวอะไร ภายในใจถูกกระทบอย่างยิ่ง

ต่อให้มีเหล่าขุนนางอาวุโสเตือนอู๋อ๋องว่าสงบสติเต็มกำลัง อู๋อ๋องก็รู้ว่าควรสงบสติ แต่เวลานี้เปราะบางอยู่บ้างจริงๆ

เมื่อคิดอย่างละเอียดถือเป็นการเปลี่ยนแปลงซึ่งเกิดขึ้นหลังจากขันทีชราหานป๋อซานถูกฆ่าเมื่อครั้งก่อน

ในเมื่ออู๋อ๋องมีหูตาภายในวังได้ ไม่มีสาเหตุที่จิ้นอ๋องจะไม่มี มีข่าวพิเศษบ้างไม่ถือว่าแปลก

ความจริงจิ้นอ๋องยังมีข้อได้เปรียบใหญ่ที่ซ่อนอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือเริ่นกุ้ยเฟย ส่วนมารดาของอู๋อ๋องจางฮองเฮาสวรรคตนานแล้ว ไม่แน่ว่าเริ่นกุ้ยเฟยอาจเป็นแหล่งข่าวนั้นของจิ้นอ๋อง

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่น ความรวดเร็วของข่าวสารเปลี่ยนเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง อู๋อ๋องกระจายกำลังคนมากมาย ทุ่มเทสมาธิสืบข่าวนานัปการ ผู้มีความสามารถในกลุ่มคนสนิททั้งบุ๋นบู๊ทยอยส่งคนมา จับตามองทุกการเคลื่อนไหวของจวนจิ้นอ๋อง ส่วนข่าวคราวภายในราชวังกลับกล้ามองแค่รอบนอก

ระหว่างนี้ยังจับตัวยอดฝีมือจวนจิ้นอ๋องได้คนสองคน ภายใต้การเค้นความลับของลูกน้องอู๋อ๋อง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้ข้อมูลทรงคุณค่าอะไร

วันที่ยี่สิบสามเดือนเก้า ยังคงเป็นวันฟ้าครึ้ม

อู๋อ๋องนั่งอยู่กลางโถง ใช้ผ้าขาวเช็ดคมกระบี่สมบัติ ด้านข้างคือคนสนิทสองบุ๋นสองบู๊รวมสี่คน พวกเขาเพิ่งรีบเร่งมา ก้นยังไม่ทันอุ่น คืนนี้จวนอ๋องมีประชุมลับ

ข้ารับใช้จวนอ๋องคนหนึ่งเดินเข้ามาในโถงช้าๆ

“องค์ชาย คนผู้นั้นสารภาพแล้ว บอกว่าจิ้นอ๋องตั้งถิ่นฐานมอบเงินจำนวนหนึ่งให้พวกเขา ปลอมตัวเป็นชาวบ้านทั่วไปอาศัยอยู่ในเมืองช่วงหนึ่ง หากก่อนปีใหม่ไม่เรียกพวกเขากลับมา ค่อยต่างคนต่างนำเงินจากเมืองหลวงไป…”

อู๋อ๋องขมวดคิ้วแน่น เงยหน้าเอ่ยถาม

“จากเมืองหลวงไปทำอะไร”

คนรับใช้มองสีหน้าอู๋อ๋องก่อนกล่าวอย่างลังเล

“ออกจากเมืองหลวง กลับบ้านเกิดก่อร่างสร้างตัว ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราชสำนักอีก…”

“หืม?”

การเคลื่อนไหวบนมืออู๋อ๋องพลันหยุดชะงัก มองซ้ายมองขวา สี่คนที่เหลือหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นกัน

“เช่นนั้นเขารู้ข่าวหลี่มู่ซูหรือไม่”

“ข้าน้อยถามแล้ว แต่หลี่มู่ซูหายตัวไปภายหลัง คนผู้นั้นไม่ทราบ”

ขุนนางอาวุโสด้านข้างใคร่ครวญอยู่นานก่อนกล่าวอย่างระวัง

“องค์ชาย คล้ายว่าจิ้นอ๋องรู้ตัวว่าตนไม่มีวาสนากับบัลลังก์ กำลังสลายกลุ่มบริวารอยู่หรือไม่”

ขุนนางอาวุโสเพิ่งพูดจบ ขุนนางบู๊อีกคนโต้แย้งทันที

“ไม่ถูกสิ ไม่ได้ยินคนผู้นั้นกล่าวหรือ ก่อนปีใหม่อาจถูกเรียกกลับมา จิ้นอ๋องต้องเตรียมการเคลื่อนไหวขนานใหญ่แน่ หรืออาจรู้เรื่องอะไรที่พวกเราไม่รู้”

“ไม่ผิด เร็วไม่ทำช้าไม่ทำ แต่กลับเคลื่อนไหวหลังเทศกาลฉงหยาง หากว่ายอมแพ้ เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เคลื่อนไหว เหตุใดถึงกล่าวว่าค่อยเรียกกลับมา เหตุใดไม่มาขอร้องอู๋อ๋องเล่า”

คำพูดนี้ทำให้เสนาบดีฝ่ายบริหารคนนั้นไม่อาจโต้แย้ง แค่ขมวดคิ้วไม่กล่าววาจา

“องค์ชาย กระหม่อมตรวจสอบคลังยุทโธปกรณ์กองกำลังรักษาพระองค์ในเมืองแล้ว นอกจากของเสียหายส่วนหนึ่ง ถือว่าไม่ขาดยุทโธปกรณ์อะไร”

เสนาบดีฝ่ายบริหารได้ยินแล้วจ้องขุนนางบู๊ที่เอ่ยปากเขม็งทันที

“ใครบอกให้ท่านทำเช่นนี้”

“ข้าเอง”

อู๋อ๋องกล่าวตอบก่อน

“ใต้เท้าจางไม่ต้องกังวลมากเกินไป พี่ชายใต้เท้าโจวเป็นหัวหน้าฝ่ายตรวจสอบกองกำลังรักษาพระองค์จังหวัดจิงจี การตรวจยุทโธปกรณ์เป็นแค่สิ่งที่อ่านผ่านตาตามปกติ กลางคืนกลับจวนพูดคุยกับครอบครัว ไม่มีคนรู้หรอก”

ขุนนางอาวุโสอ้าปาก ไม่กล่าวอะไรอีก

“องค์ชาย… องค์ชาย… หลี่มู่ซูปรากฏตัวแล้ว!”

ข้ารับใช้จวนอ๋องอีกคนรีบวิ่งกลับมาจากข้างนอก อู๋อ๋องลุกขึ้นมาทันที

“อยู่ไหน”

หลี่มู่ซูคือจิ้งจอกเฒ่าคนหนึ่ง เดิมด้วยสติปัญญาของเขาสามารถเป็นขุนนางใหญ่ได้ แต่เพื่อสะดวกต่อการช่วยจิ้นอ๋อง เขากลับยอมเป็นราชครูคอยอยู่ข้างกายองค์ชาย การเคลื่อนไหวของหลี่มู่ซูแทบเข้าใจได้ว่าเป็นการเคลื่อนไหวของจิ้นอ๋อง

แน่นอนว่าผู้มาเยือนไม่กล้าปิดบัง รายงานข่าวทันที

“ประมาณหนึ่งชั่วยามก่อนปรากฏตัวอยู่นอกจวนจิ้นอ๋อง มาพร้อมรถม้าธรรมดาคันหนึ่ง ทั้งไม่มีใครติดตามมา หลังจากเข้าจวนไม่นาน จิ้นอ๋องกับหลี่มู่ซูนั่งรถม้าเข้าวังด้วยกัน คล้ายว่าถูกเรียกตัวเข้าวัง”

เมื่อฟังข่าวนี้ขุนนางบู๊สองคนด้านหลังต่างลุกขึ้น

“ยังมีข่าวอะไรอีก”

อู๋อ๋องกำหมัดในแขนเสื้อแน่น เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มต่ำ

“ยังไม่มีพ่ะย่ะค่ะ!”

ข้ารับใช้รับใช้มองสถานการณ์ภายในโถง กล่าวตอบอย่างระวังประโยคหนึ่ง

อู๋อ๋องสูดหายใจลึกก่อนสะบัดมือ

“ออกไปเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

รอเมื่อคนจากไป อู๋อ๋องหันกลับมามองคนในโถง ไม่ได้กล่าวอะไร กลับไปนั่งตรงตำแหน่งประธาน

บนรถม้าที่กำลังเข้าวัง จิ้นอ๋องมองหลี่มู่ซูด้วยสีหน้าสับสน

“อาจารย์ ทำไมท่านถึงกลับมาเล่า”

“ข้าฝากฝังกับครอบครัวแล้ว ส่วนข้าเองกลับมาระหว่างทาง ข้าหลี่มู่ซูอายุมากขนาดนี้ เดิมก็มีชีวิตอยู่ได้ไม่นานแล้ว กลัวอะไรเล่า มิสู้ลองดูผลเป็นเพื่อนจิ้นอ๋องดีกว่า”

จิ้นอ๋องแค่ออกแรงบีบมืออาจารย์ของตนแล้วไม่พูดมากอีก

รถม้าเข้าสู่พระราชวังแล้ว เมื่อมาถึงห้องทรงงาน หลี่มู่ซูกับจิ้นอ๋องเข้าไปพร้อมกัน นี่คือข้อเรียกร้องของฮ่องเต้

ด้านหลังโต๊ะทรงงาน ฮ่องเต้ชราซึ่งอารมณ์ไม่เลวอย่างหาได้ยากกำลังตวัดพู่กันเขียนอะไรบางอย่าง

จิ้นอ๋องกับหลี่มู่ซูเข้าไปแล้วสบตากัน ค้อมตัวคารวะพร้อมกัน

“กระหม่อมหลี่มู่ซู ถวายบังคมฝ่าบาท!”

“ลูกหยางฮ่าว คารวะเสด็จพ่อ!”

ฮ่องเต้ชราเงยหน้ามองพวกเขา ไม่แสดงความรู้สึกครู่ใหญ่ ยามฝ่ายหลังเริ่มสันหลังร้อนผ่าว ฮ่องเต้ชราค่อยหัวเราะหึๆ ไม่เอ่ยวาจา เขียนอักษรบนโต๊ะต่อ

เมื่อเขียนเสร็จแล้ว เขามองหลี่กงกงที่อยู่ด้านข้าง ฝ่ายหลังได้รับสัญญาณ หยิบพระราชลัญจกรประทับบนแพรเหลือง

“ฮ่าวเอ๋อร์ ละครโศกช่วงนี้ของเจ้าถือว่าทุ่มเทนัก!”

จิ้นอ๋องรักษาท่าทางประสานมือค้อมตัวไว้ เมื่อฟังคำพูดนี้กลางฝ่ามือเขาพลันเห็นเหงื่อ

“ละ ลูก…”

“เอาล่ะ เอาไปเถอะ”

ฮ่องเต้หยวนเต๋อส่งสัญญาณให้ขันทีชราด้านข้างเล็กน้อย ฝ่ายหลังหยิบแพรเหลืองบนโต๊ะ จากนั้นค่อยเดินมาอยู่ข้างกายจิ้นอ๋องก่อนส่งมอบให้อีกฝ่ายด้วยสองมือ

จิ้นอ๋องมองเสด็จพ่อของตนทั้งมองขันทีชรา รับราชโองการฉบับนี้มาอย่างระวัง

เนื้อหาบนนั้นไม่รู้ว่าทำให้เขาหดหู่หรือยินดีปรีดา

“ทำไม ไม่ดีใจหรือ”

“ลูกมิกล้า… ลูก ยินดีนัก…”

“อ้อ… เช่นนั้นก็ดี ไปเถอะ พวกเจ้ากังวลเพราะสิ่งนี้ไม่ใช่หรือ ออกไปแล้วหัวเราะมากๆ เข้าใจหรือไม่”

ฮ่องเต้ชรายิ้มพลางกวาดมือเล็กน้อย

จิ้นอ๋องกับหลี่มู่ซูสบตากัน สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนคารวะอีกครั้ง

“ลูกขอตัวลา!”

“กระหม่อมทูลลา!”

เมื่อเห็นจิ้นอ๋องกับหลี่มู่ซูถอยจากไป ฮ่องเต้หยวนเต๋อเก็บรอยยิ้ม เหวี่ยงพู่กันขนหมาป่าในมือลงพื้นด้านข้าง

เมื่อเสียงปลอกงาช้างกระทบพื้นดังขึ้น ยิ่งเหมือนฟาดใส่ใจขันทีชราด้านข้าง ทำให้ฝ่ายหลังใจเต้นไม่หยุด

“หลี่ซือเจ๋อ”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ฮ่องเต้ชราหันมองขันทีชราคนนี้ ทั้งมองพู่กันที่ถูกเขาเขวี้ยงลงบนพื้น

“ฮ่าวเอ๋อร์ดูแลหลี่มู่ซูได้ไม่เลวนัก ฝ่ายหลังเองจงรักภักดีพร้อมพลีชีพเพื่อฮ่าวเอ๋อร์… เจ้าว่าฮ่าวเอ๋อร์พยายามขนาดนี้ ข้าไร้น้ำใจเกินไปหน่อยหรือไม่”

“กระ กระหม่อมมิกล้าวิจารณ์ส่งเดช! ฝ่าบาทย่อมตัดสินใจเด็ดขาด!”

“หึๆ… หึๆๆๆ… ใช่ ตัดสินใจเด็ดขาด ตอนนั้นด้วยการตัดสินใจเด็ดขาดนี้จึงตัดวาสนาเซียนของข้า ดูท่าว่าการตัดสินใจเด็ดขาดของข้าคงไม่แม่นยำ…”

ขันทีชราตกใจจนคุกเข่าหมอบกับพื้น

“ฝ่าบาท! กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น!”

ฮ่องเต้ชรามองขันทีชราบนพื้นก่อนกล่าวเสียงเย็น

“ลุกขึ้น”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

“กระจายข่าวออกไปเงียบๆ บอกว่าเมื่อครู่ข้ามอบราชโองการให้จิ้นอ๋อง มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสืบทอดบัลลังก์ จริงสิ เมื่อคนพวกนั้นปล่อยข่าวเสร็จ ค่อยส่งพวกเขาสู่ทางมรณาแล้วกัน”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ขันทีชรากลืนน้ำลายดังอึก รับบัญชาจากไป

ตอนนี้จิ้นอ๋องกับหลี่มู่ซูเดินอยู่กลางวัง ในมือถือราชโองการฉบับหนึ่ง

ในเมื่อเสด็จพ่อให้หัวเราะ สีหน้าจิ้นอ๋องตอนขากลับเปี่ยมรอยยิ้มยินดีตลอดทาง หรือกล่าวว่าในใจกำลังหัวเราะจริงๆ

แม้ว่าเนื้อหาบนราชโองการคือรักษาชีวิตเขาหลังจากสืบทอดบัลลังก์ให้อู๋อ๋อง แต่เมื่อออกจากห้องทรงงานแล้วนึกย้อนถึงประโยคนั้นของเสด็จพ่อ เขารู้สึกว่าไม่ธรรมดาอยู่บ้าง ถึงขั้นทำให้จิ้นอ๋องไม่ต้องเตรียมการเรื่องอื่น

จวนอู๋อ๋อง แม้ว่าอู๋อ๋องหยางชิ่งกังวลเรื่องจิ้นอ๋องเข้าวังหาใดเปรียบ แต่กลับไม่ว้าวุ่นใจ

นอกจากขุนนางใหญ่สี่คนที่อยู่ในจวน ตอนนี้ยังมีแขกพิเศษอีกคนอยู่ระหว่างทาง

ภายในโถงหลักของจวนอ๋อง ตอนนี้ต่างคนต่างพูดถึงเรื่องหลี่มู่ซูกับจิ้นอ๋องเข้าวัง อู๋อ๋องฟังพวกเขาพูดจาและโต้แย้งกันอย่างไม่เป็นสุข

“องค์ชาย… องค์ชาย…”

มีข้ารับใช้ร้องเสียงสูงวิ่งมาจากด้านนอก เสียงนี้ทำให้ทุกคนในโถงใจกระตุกตามจิตใต้สำนึก

“องค์ชาย ในวังมีข่าวด่วนส่งมาพ่ะย่ะค่ะ!”

ด้วยสถานการณ์ตอนนี้อู๋อ๋องติดต่อกับหูตาในวังน้อยมาก นอกเสียจากว่าเป็นเรื่องสำคัญระดับหนึ่ง

อู๋อ๋องลุกขึ้นยืนทันที รับกระดาษพวกนั้นมาดูด้วยตัวเอง

ยิ่งอ่านสีหน้ายิ่งซีดเผือด อ่านจบเนิ่นนานไม่พูดจา รอส่งกระดาษให้ทุกคนอ่าน ในห้องรับแขกเปลี่ยนเป็นเงียบสนิท

“อะ องค์ชาย แค่บอกว่าเกี่ยวกับการสืบทอดบัลลังก์… มะ ไม่แน่ว่าจะ…”

“ใต้เท้าจาง… น้องสามออกมาจากห้องทรงงาน หัวเราะออกจากวังตลอดทาง…”

อู๋อ๋องกำหมัดแน่น เล็บจิกเข้าฝ่ามือ สายตามองสวนดอกไม้นอกโถงอย่างเหม่อลอย บังเอิญเห็นคนใช้พาชายชราเครายาวผู้มีสง่าราศีคนหนึ่งเข้ามา

เมื่อชายชราคนนั้นเข้ามาในโถง พบว่าอู๋อ๋องกับเหล่าขุนนางต่างไม่พูดอะไร เขารู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูกอยู่บ้าง แต่ยังรีบคารวะ

“กระหม่อมนักพรตตู้ คารวะอู๋อ๋อง”

คนผู้นี้คือหนึ่งในปรมาจารย์จำนวนน้อยที่ยังอยู่เมืองหลวง ทั้งเป็นผู้มีความสามารถซึ่งชนชั้นสูงหลายคนยอมรับ ตอนนี้ฮ่องเต้ไม่ลุ่มหลงวิชาอมตะและโอสถเซียนอีก ปรมาจารย์จึงถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา

“ปรมาจารย์ตู้ ข้าได้ยินว่าท่านมีความสามารถมองปราณ มองเห็นกลิ่นอายของบุคคล รู้โชคเคราะห์ของบุคคลนั้น?”

“เอ่อ… กระหม่อมสามารถมองเห็นบางสิ่งจริงๆ แต่มรรควิถีต่ำต้อยของกระหม่อม เทียบกับผู้สูงส่งมรรคเซียนแท้จริงแล้วไม่ควรค่าแก่การเอ่ยถึง ทั้งกลิ่นอายพันหมื่นแปรเปลี่ยน ในทุกช่วงเวลากลิ่นอายแต่ละคนล้วนต่างออกไป…”

อู๋อ๋องซึ่งเดิมมองสวนดอกไม้หันกลับมามองเขา

“เช่นนั้นปรมาจารย์ลองดูกลิ่นอายของข้าว่าเป็นอย่างไรได้หรือไม่”

นักพรตตู้มองอู๋อ๋องตามจิตใต้สำนึก โคจรปราณใช้พลังมองโดยละเอียด เห็นว่าภายในปราณม่วงมีหมอกเทาซ่อนอยู่ มืดสลัวไม่กระจ่าง ทั้งมีเสียงอสนีบาตรแทรกสลับ

“ตอนนี้… คล้ายว่าองค์ชายจิตใจปั่นป่วน ปกคลุมปราณดอกยี่เข่งขององค์ชายจนสับสน…”

“ปราณดอกยี่เข่ง?”

“ไม่ผิด ปราณดอกยี่เข่งคือสิ่งสะท้อนโชคชะตาของดาวจักรพรรดิ ผู้มีปราณนี้ถือว่ามีดวงเป็นจักรพรรดิ!”

อู๋อ๋องพยักหน้าเล็กน้อย

“เช่นนั้นปรมาจารย์ตู้เคยเจอจิ้นอ๋องหรือไม่ กลิ่นอายของเขาเป็นอย่างไร”

“เรื่องนี้…”

นักพรตตู้มองนัยน์ตาเยียบเย็นของอู๋อ๋อง ใจสั่นก่อนเอ่ยปากกล่าว

“จิ้นอ๋องถือเป็นองค์ชาย อย่างน้อยคงมีปราณดอกยี่เข่งอยู่บ้าง แต่เจิดจรัสเทียบอู๋อ๋องไม่ได้อยู่มาก!”

“หึๆ อย่างนั้นหรือ”

อู๋อ๋องหัวเราะเล็กน้อย หันหลังเดินกลับเข้ามาในโถง หยิบกระบี่สมบัติบนโต๊ะขึ้นมา การเคลื่อนไหวนี้ทำให้นักพรตตู้ซึ่งอยู่ตรงประตูโถงถอยออกไปเล็กน้อย

ยังดีว่านักพรตตู้เห็นแค่อู๋อ๋องโบกมือเล็กน้อย ก่อนมีข้ารับใช้ด้านข้างพาเขามุ่งหน้าไปยังโถงรับรอง

รอเมื่อนักพรตตู้จากไป ขุนนางอาวุโสด้านข้างกล่าวอย่างวิตกกังวล

“องค์ชาย… ท่าน…”

อู๋อ๋องหันไปมองท้องฟ้านอกโถง เขาหลับตาก่อน ผ่านไปสองลมหายใจค่อยลืมตาอีกครั้ง ความคิดฟุ้งซ่านนานัปการในใจตกตะกอน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยปากกล่าว

“สั่งการมือสังหารทุกจวน ดักฆ่าจิ้นอ๋องระหว่างทาง!”

“ขณะเดียวกันแจ้งค่ายประทับ ค่ายทักษิณ ค่ายเร้นอุดร เตรียมยกทัพ… ยึดอำนาจ!”

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท