ตอนที่ 281 ชายชราผู้โดดเดี่ยว
สาวใช้ข้างๆ มองภาพนี้แล้วร้องไห้ออกมาเหมือนกัน ทว่าไม่รบกวนความกลมเกลียวของฮูหยินและนายน้อย
ผ่านไปครู่ใหญ่สองแม่ลูกถึงผละออกจากกัน
“ให้แม่ดูเจ้าหน่อยสิ หยวนเซิงโตขึ้นขนาดนี้เลยหรือ…”
มู่ซื่อมองบุตรชายตนเองพร้อมน้ำตานองหน้า ไม่พบหน้ากันห้าปี เด็กชายวัยสามปีในตอนนั้น ตอนนี้เติบโตแข็งแรง รูปร่างอ้วนท้วนเห็นทีไม่ได้ลำบากเรื่องกินเลย
“หยวนเซิงกินข้าวหรือไม่ นอนหลับสบายหรือไม่ มีใครรังแกเจ้าหรือไม่ จริงสิ พ่อเจ้าเล่า”
“ท่านแม่ ข้าฝึกปราณที่จวนเซียน ไม่ได้ถูกส่งไปเป็นเชลยเสียหน่อย ท่านพ่อก็สบายดีมากเช่นกัน เจ้าคือเสี่ยวชุ่ยกระมัง แม้จะเปลี่ยนไปมาก แต่ต้องเป็นเจ้าแน่นอน!”
สาวใช้เช็ดน้ำตา ยิ้มและตอบว่า
“นายน้อยหยวนเซิงยังจำข้าได้ ข้าคิดว่าผ่านมาห้าปีแล้ว เด็กเล็กเช่นนั้นน่าจะลืมข้าไปแล้วเสียอีก”
“ฮ่าๆ เหลวไหล ข้าไม่ใช่เด็กธรรมดานะ!”
เว่ยหยวนเซิงกล่าวอย่างทะนงตง จากนั้นกล่าวกับมารดาตนเองและเสี่ยวชุ่ย
“บนเขามีเรื่องสนุกมามาย ข้าเล่าให้ท่านแม่ฟังดีกว่า…”
เว่ยหยวนเซิงเล่าถึงชีวิตบนภูเขาเซียนให้มารดาตนเองฟังอย่างตื่นเต้น เขารู้ว่าคนธรรมดาใคร่รู้เรื่องในตำนานจำนวนหนึ่ง จึงตั้งใจเลือกเล่าเรื่องมหัศจรรย์โดยเฉพาะ
เล่าไปได้ไม่นานเท่าไหร่ก็มีข้ารับใช้รีบร้อนวิ่งจากข้างหน้ามาถึงในลาน เพื่อบอกว่าผู้นำตระกูลกลับมาแล้ว ให้มู่ซื่อไปที่โถงรับแขกข้างหน้า
คราวนี้เว่ยหยวนเซิงถึงค่อยเหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้
“จริงสิๆ ท่านแม่ ครั้งนี้ไม่เพียงข้าและท่านพ่อกลับบ้าน ข้าพาศิษย์พี่ชายและหญิงจากในสำนักกลับมาด้วย พวกเขาเป็นศิษย์ของอาจารย์ลุงข้า ปกติแล้วอยู่บนเขา นอกจากท่านพ่อและอาจารย์แล้ว ข้าสนิทกับพวกเขาที่สุดเลย!”
“ไปๆๆ พวกเจ้ารีบไปข้างหน้ากับข้า!”
ลานด้านหน้าของจวนตระกูลเว่ย คนตระกูลเว่ยที่มีชื่อเสียงในจังหวัดเต๋อเซิ่งอยู่บ้างล้วนรีบมาถึงจวนของผู้นำตระกูล แม้แต่ผู้อาวุโสตระกูลเว่ยที่อยู่ในเรือนเก่าก็เร่งมาถึงแล้ว
เว่ยอู๋เว่ย กวนเหอ และซ่างอีอีอยู่ในโถงรับแขก
อาสามของเว่ยอู๋เว่ยอยู่ที่นี่ คนตระกูลเว่ยมาถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถูกคนล้อมรอบเช่นนี้ คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในจวนเซียนตั้งแต่เด็กจึงไม่ชินอยู่บ้าง
โดยเฉพาะซ่างอีอี รูปลักษณ์นั้นทุกคนตระกูลเว่ยมองแล้วไม่ต่างอะไรกับเซียนสาว ท่ามกลางมนุษย์ทั่วไปไหนเลยจะมีสตรีหน้าตาแบบนี้
โชคดีที่มีเว่ยอู๋เว่ยอยู่ด้วย พวกเขาจึงไม่อึดอัดจนเกินไป ความน่าเกรงขามของผู้นำตระกูลอย่างเขาไม่เพียงไม่ลดน้อยลงตามกาลเวลา กลับเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้นเพราะการกลับมาครั้งนี้ด้วย
แค่ตำหนิไม่กี่คำก็ทำให้คนตระกูลเว่ยเก็บงำความตื่นเต้นได้ไม่น้อย ควรดูเรื่องการชงชาก็ไปดู ควรเตรียมงานเลี้ยงก็ไปเตรียม ในโถงรับแขกมีคนรุ่นใหญ่เพียงไม่กี่คนที่รู้จักการวางตัว
เมื่อทุกคนถูกเว่ยอู๋เว่ยไล่ไปแล้ว เขาถึงกล่าวขอโทษศิษย์ระดับสูงของจวนเซียนทั้งสอง หัวเราะพลางกล่าวว่า
“ฮ่าๆ…คนในตระกูลตื่นเต้นกระตือรือร้นเกินไปหน่อย ทำให้ทั้งสองหัวเราะเยาะแล้ว”
ฟังคำขอโทษของเว่ยอู๋เว่ยแล้ว ทั้งสองคนรีบตอบรับ
“ท่านอาเว่ยอย่าพูดเช่นนี้ เป็นพวกข้าอยากมาเอง!”
“ใช่แล้วท่านอาเว่ย หยวนเซิงพูดเสมอว่าก่อนวันปีใหม่มีเรื่องสนุกมากมาย พวกข้าก็อยากรู้ พอเขาเชิญจึงรับปากตกลง ต้องขอบคุณพวกท่านต่างหาก!”
“เช่นนั้นก็ดีๆ”
เว่ยอู๋เว่ยแนะนำท่านปู่และท่านอาสามของตนเองโดยคร่าว กล่าวอะไรไม่ทันไรก็มีเสียงตื่นเต้นของเว่ยหยวนเซิงดังมาจากข้างนอก ไม่นานนักเขาพามู่ซื่อมาถึงโถงรับแขกแล้ว
“พี่อีอี ศิษย์พี่กวน นี่คือท่านแม่ของข้า ส่วนนี่คือเสี่ยวชุ่ย!”
เว่ยหยวนเซิงแนะนำมารดาตนเองให้ศิษย์พี่ชายและหญิงรู้จักอย่างเบิกบานใจ มู่ซื่อและเสี่ยวชุ่ยต่างก็ต้อนรับด้วยมารยาทครบพร้อม เว่ยหยวนเซิงอาจไม่มีมารยาทได้ แต่พวกนางทำไม่ได้ ถึงอย่างไรก็เป็นเซียน
กวนเหอและซ่างอีอีที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ตอบกลับอย่างมีมารยาทเช่นกัน
เว่ยหยวนเซิงเดินไปถึงข้างกายเหล่าศิษย์พี่พร้อมรอยยิ้ม ชี้พวกเขาทีละคนและกล่าวกับมู่ซื่อ
“ท่านแม่ นี่คือศิษย์พี่กวนเหอ ก่อนหน้านี้ข้าแรงน้อยยกน้ำไม่ไหว เขาคอยช่วยข้าอยู่เรื่อย อีกทั้งช่วยข้าดูแลสวนสมุนไพรด้วย ส่วนนี่คือศิษย์พี่อีอี นางนำของอร่อยมาให้ข้ากินเสมอ แถมยังแอบพาข้าไป…”
“อะแฮ่ม…”
เว่ยอู๋เว่ยกระแอม อีอีที่อยู่ข้างๆ รู้สึกร้อนใบหน้าขึ้นมาเช่นกัน มีความรู้สึกเหมือนกับมีบิดามารดาคอยสั่งสอนอย่างไรอย่างนั้น
“ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันส่งท้ายปีเก่า พวกเรากลับบ้านมาฉลอง งานเลี้ยงคืนนี้จะต้องคึกคักเป็นแน่!”
เว่ยอู๋เว่ยพูดเสียงกัง มองภรยาตนเองแล้วพยักหน้าเล็กน้อย ความรู้สึกเสน่หาซ่อนอยู่ในนั้น ทำให้แก้มสองข้างของมู่ซื่อร้อนลวกขึ้นมา
มีเว่ยหยวนเซิงอยู่ด้วย บรรยากาศกลมเกลียวได้อย่างรวดเร็ว เขาทำลายความอึดอัดไปจนหมด ซ่างอีอีและกวนเหอเริ่มเข้ากับบรรยากาศฉลองปีใหม่แล้วเช่นกัน
ความจริงแล้วขอเพียงไม่ได้เข้าฌานฝึกปราณตลอด ทั่วไปแล้วช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านปีเก่าสู่ปีใหม่ก็สำคัญกับจวนเซียนทีเดียว มีบรรยากาศฉลองปีใหม่อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะจวนเซียนเช่นกัน ดอกไม้น้ำพุกลางแดนอริยะเขาล้อมหยกล้วนเปลี่ยนแปลงแตกต่างกัน ศิษย์อายุน้อยทั้งหลายจะเก็บมาให้อาจารย์ตนเองหลอมสร้างเป็นของเล่น
แต่บรรยากาศฉลองปีใหม่บนเขาล้อมหยกนั้น เมื่อเทียบกับความคึกคักอบอุ่นของจวนตระกูลเว่ยแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการกลับมาของผู้นำตระกูลและนายน้อย ทั่วทั้งจวนตระกูลเว่ยเต็มไปด้วยความสุขและยินดี ทำให้ซ่างอีอีและกวนเหอรู้สึกสนุกเช่นกัน
คนที่มีความสุขที่สุดในงานฉลองปีใหม่คือผู้อาวุโสและเด็ก บางครั้งเว่ยหยวนเซิงเล่นกลเล็กน้อย ทำเอาทั้งเด็กและคนแก่ในครอบครัวส่งเสียงหัวเราะครั้งแล้วครั้งเล่า ท่านปู่ตระกูลเว่ยก็อยู่ข้างๆ ตั้งแต่ต้นเช่นกัน
ในเวลาเดียวกันนั้นจดหมายเชิญฉบับหนึ่งก็ส่งไปถึงอำเภอหนิงอันโดยยอดฝีมือสองคนของตระกูลเว่ย แม้จะไม่ทันงานเลี้ยงก่อนวันปีใหม่ แต่ในเมื่อเว่ยอู๋เว่ยและเว่ยหยวนเซิงกลับมาแล้ว มารยาทนี้บกพร่องไปไม่ได้เป็นอันขาด
บิดาบุตรตระกูลเว่ยลงเขาครั้งนี้ นอกจากเยี่ยมญาติมิตรแล้ว ยังมีอีกเรื่องสำคัญหนึ่งก็คือพบจี้หยวน
ยอดฝีมือตระกูลเว่ยสองคนสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ หนึ่งคนควบม้าสองตัว มุ่งหน้าสู่อำเภอหนิงอันโดยไม่เสียดายกำลังม้า
ในเรือนสันติเวลานี้ จี้หยวนนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่หน้าเรือน ไขว้ขาพิงผนังเรือน มองเกล็ดหิมะที่ตกลงมาในลาน
แม้เขาเหมือนชายชราผู้โดดเดี่ยว แต่นอกจากคิดถึงครอบครัวเมื่อชาติก่อนแล้ว จี้หยวนกลับไม่ได้มีความรู้สึกเซื่องซึมสักเท่าไหร่
หลังกลับจากเมืองหลวง จี้หยวนเรียนรู้วิชาคนกระดาษเหลืองที่ได้มาจากนักพรตตู้ จากนั้นนอนหลับยาวทีเดียว
วันนี้ตื่นแล้วไปกินบะหมี่ พบว่าผู้ถือกระบวยร้านบะหมี่ตระกูลซุนเปลี่ยนคน ไม่ใช่เถ้าแก่ซุนแล้ว แต่เป็นบุตรชายคนเล็กของเขา คราวนี้ถึงได้รู้ว่าเถ้าแก่ซุนทำไม่ไหวแล้ว รอบุตรชายคนเล็กเก็บร้านเร็วหน่อยแล้วกลับไปฉลองปีใหม่อยู่ที่บ้าน
คำว่าฉลองปีใหม่เหมือนกับกลายเป็นไม่คุ้นหูสำหรับจี้หยวนอยู่บ้าง ตอนเขาตื่นมารู้ว่าวันนี้คือวันที่สามสิบเอ็ดเดือนสิบสอง แต่จนกระทั่งไปคุยเล่นที่ร้านบะหมี่และคุยเล่นกับคนเดินถนน ถึงเกิดความรู้สึกเข้าใจว่าจะเข้าปีใหม่แล้ว
“ท่านจี้…ท่านจี้…”
เสียงแผ่วเบาเป็นอย่างยิ่งมาจากนอกประตู จี้หยวนยิ้ม
“เข้ามาเถอะ ไม่ได้ลงกลอนประตู”
เมื่อสิ้นเสียง จิ้งจอกแดงตัวหนึ่งเปิดประตูเรือนอย่างระมักระวัง จากนั้นย่องเข้ามาข้างในอย่างไร้เสียง พอเข้ามาแล้วปิดประตูเร็วจี้ ถึงขนาดลงกลอนด้วยซ้ำไป
“ท่าทางเจ้าเนี่ย เจอฝูงสุนัขงั้นหรือ”
จี้หยวนเย้าคำหนึ่ง พาให้หูอวิ๋นรีบยกอุ้งเท้าไว้ตรงหน้า ส่งเสียงชู่ออกมา
“ท่านจี้ วันนี้วันที่สามสิบเอ็ด ปราณมนุษย์ท่วมท้น ดวงอาทิตย์เจิดจ้า แม้แต่สุนัขเหล่านั้นล้วนแปลกประหลาด ข้ามาคารวะท่านได้ก็ถือว่าเสี่ยงอันตรายอย่างยิ่งแล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆ…เจ้าจิ้งจอกนี่ หลอมกระดูกแล้วไม่ใช่หรือ พูดออกมาแล้วเสียหน้าเผ่าปีศาจจริงๆ!”
“ขายหน้าก็ขายหน้า ดีกว่าถูกสุนัขไล่กวดตั้งเยอะ!”
หูอวิ๋นแน่ใจแล้วว่าข้างนอกไม่มีสุนัข จึงก้าวมาถึงตรงหน้าจี้หยวนก่อนยืนด้วยท่าคน ประสานอุ้งมือกล่าวว่า
“หูอวิ๋นเป็นตัวแทนเจ้าภูเขาลู่และตนเอง ขออวยพรปีใหม่ท่านจี้!”
“อวยพรปีใหม่ต้องรอตรุษจีน วันที่สามสิบเอ็ดนี้ไม่นับ”
จี้หยวนลุกขึ้นยืน เดินไปทางห้องครัว เตรียมชาน้ำผึ้งให้หูอวิ๋นดื่ม
“นี่ๆ ท่านจี้ ไม่ใช่ว่าพวกข้าไม่รู้มารยาท ตอนตรุษจีนปีนี้เจ้าภูเขาลู่ต้องลากข้าไปฝึกปราณด้วยกัน เขาเริ่มเปลี่ยนกระดูกแล้ว ช่วงท้ายปีเข้าสู่ตรุษจีนปีนี้ ดูดซับปราณใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลง นั่นเป็นสิ่งที่ท่านสอน ดังนั้นตรุษจีนข้ามาที่นี่ไม่ได้หรอก”
“เขากลับเป็นห่วงเจ้า…รู้แล้ว ตอนกลับไปก็ฝากทักทายเขาแทนข้าด้วย”
จี้หยวนตอบรับแล้วเตรียมต้มน้ำ หูอวิ๋นกระโจนมาถึงห้องครัวอย่างลับๆ ล่อๆ จ้องมองเหยือกเล็กข้างเตาไฟ
“ฮ่าๆๆ…ท่านจี้ ความจริงท่านไม่ต้องต้มน้ำให้ยุ่งยาก ข้าไม่ชอบดื่มชา มอบน้ำผึ้งให้ข้าเล็กน้อยก็พอแล้ว”
จี้หยวนมองมัน ในใจมีความรู้สึกเหมือนหมูป่ากินแกลบไม่เป็นอยู่บ้าง พิธีรีตองในการใช้ชีวิตเช่นนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าหลังจากนี้หูอวิ๋นจะทำความเข้าใจได้หรือไม่
เขาหยิบถ้วยเปล่า ตักน้ำผึ้งจากในเหยือกหลายช้อน แล้วยื่นถ้วยให้จิ้งจอกแดงโดยจริง
“ของเจ้า”
“ฮ่าๆๆๆ….ขอบคุณท่านจี้!”
หูอวิ๋นประคองถ้วยอย่างระมัดระวัง แลบลิ้นเลียน้ำผึ้งด้วยความพิถีพิถัน ความหวานชุ่มชื่นหัวใจผ่านลิ้นและแผ่ซ่านทั่วทั้งอวัยวะภายใน