ตอนที่ 283 พบหยวนเซิงอีกครั้ง
“น่าเกรงจามมากใช่หรือไม่”
จี้หยวนเหมือนกับมองทะลุความคิดของหูอวิ๋น หยอกเย้ามันคำหนึ่ง ฝ่ายจิ้งจอกแดงพยักหน้าราวรัวกลอง
“ใช่ๆ เจ้าตัวใหญ่นี่ดูเก่งกาจมาก รู้สึกว่าจะทำให้เจ้าภูเขาลู่ยอมสยบได้…”
หูอวิ๋นมองจอมพลังเกราะทอง จากนั้นมองจี้หยวน เดิมทีเขารู้สึกว่าท่านจี้ก็เอาชนะเจ้าตัวใหญ่ไม่ได้เช่นกัน แต่พิจารณาแล้วว่าจอมพลังเกราะทองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากวิชาของท่านจี้ จึงรู้สึกว่าท่านจี้เก่งกาจยิ่งกว่า
จี้หยวนส่ายหน้า
“ขอเพียงเจ้าภูเขาลู่รู้ที่มาของจอมพลัง ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ขั้นตอนพิเศษอะไร เพียงทำให้เขาหัวหมุนสักครั้งก็ใช้ได้แล้ว”
จี้หยวนนวดหว่างคิ้วคลายความเหนื่อยล้า เห็นทีตอนนี้ด้วยมรรควิถีเล็กน้อยของนักพรตตู้และอาจารย์ของเขา คนสองรุ่นหลอมสร้างออกมาได้ทั้งหมดหกแผ่น นับว่ายากเย็นมากแล้ว อีกทั้งวิชาจอมพลังก่อนหน้านี้ก็ไม่อาจเทียบได้กับสิ่งที่จี้หยวนพัฒนาออกมา แม้เป็นแค่คนกระดาษหนึ่งร้อยแปด แต่คาดว่าทุกการหลอมสร้างล้วนสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจนับไม่ถ้วน
เก็บกวาดเศษกระดาษและอุปกรณ์บนโต๊ะเสร็จ จี้หยวนนำกระด้งกลับเข้าไปในเรือน
หูอวิ๋นมองจอมพลังเกราะทองที่ไม่ยอมขยับ จากนั้นรีบตามจี้หยวนเข้าไปในเรือน ยังคงพูดไม่หยุดปาก
“ท่านจี้ๆ วิชานี้เรียกว่ายันต์เทพจอมพลังเกราะทองหรือ”
“เรียกเช่นนั้นได้จริงๆ แต่เรียกว่าจอมพลังผ้าเหลืองก็ได้”
จิ้งจอกแดงยื่นศีรษะออกไปข้างนอกแล้วพิจารณาดูอย่างละเอียด มองเห็นว่ายักษ์เกราะทองมีผ้าเหลืองทั้งหน้าและหลังจริงๆ
“เช่นนั้นทำไมไม่ใช่ผ้าสีแดง ข้าชอบสีแดงเหมือนกับขนของข้า น่ามองกว่ามาก!”
ขณะที่พูดนั้น หูอวิ๋นวิ่งไปกระดิกหางใส่ยักษ์ใหญ่ข้างนอก ตอนนี้ขนทั่วทั้งตัวของมันเป็นสีแดงเพลิงไร้สีอื่นผสม มองแล้วแสบตาเป็นพิเศษจริงๆ
ทว่าการกระทำนี้ย่อมไม่ทำให้ยักษ์เกราะทองมีปฏิกิริยาใด ราวกับว่าดวงตาของอีกฝ่ายมองเห็นเพียงอากาศธาตุสองสามฉื่อข้างหน้าเท่านั้น
จี้หยวนไม่ได้ขัดคอหูอวิ๋นเพราะรำคาญ อธิบายอย่างอดทนด้วยซ้ำไป
“สีเหลืองเป็นสีของความลี้ลับ กระดาษเหลืองตั้งนี้เป็นกระดาษธรรมดา ทว่าดูซับพลังวิญญาณเข้าไป แม้จะน้อยมาก แต่กลับหมายถึงแข็งแกร่ง ความหนา ความลึกที่ก่อตัวเป็นรูปร่างได้ มีคำกล่าวว่าพลังเกิดจากผืนดิน ร่างจอมพลังเกี่ยวพันกับผืนดิน ตราบใดที่พลังยังไม่หมดลง เรี่ยวแรงของเขาก็ไม่มีที่สิ้นสุด…”
เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว เหมือนได้รับคำแนะนำบางอย่างจากจี้หยวน จอมพลังเกราะทองค่อยๆ ย่อขาเก็บฝ่ามือและกำมือ จากนั้นชกอากาศข้างๆ อย่างแรง
วืด…ปึง…
กำปั้นกระแทกอากาศ ทำเอากระแสอากาศโดยรอบสั่นสะท้านเล็กน้อย
หวิว…หวิว…
กำปั้นนี้นำพาลมมาจากด้านข้าง กิ่งก้านบนต้นพุทราใหญ่ส่ายไหวขึ้นลง หิมะที่เกาะอยู่ระหว่างใบไม้ค่อยๆ ร่วงกรู
หูอวิ๋นมองภาพนี้อย่างอึ้งงัน ขณะที่หัวใจเต้นแรงพลันตระหนักได้ถึงความหมายในคำพูดก่อนหน้านี้ของท่านจี้
“หมายความว่าเจ้าตัวใหญ่ต้องถูกดีดกระเด็นไปในอากาศก่อน ถึงจะอ่อนกำลังลงทันทีหรือ”
ฟังหูอวิ๋นพูดจากจิตใต้สำนึกเช่นนี้แล้ว จี้หยวนชะงักไปเล็กน้อยเช่นกัน ก่อนจะมองจิ้งจอกแดงที่ยังคงจ้องจอมพลังอยู่ข้างนอก
“เป็นเช่นที่เจ้าว่าจริงๆ หากจอมพลังเหยียบพื้นดินไม่ได้ แหล่งของพลังก็เหลือเพียงพลังของผู้สำแดงวิชาที่มอบให้ยามเรียกใช้ พลังหมดง่ายไม่ว่า ทว่าไม่อาจคงอยู่นาน นี่นับเป็นข้อด้อยของวิชานี้…”
จี้หยวนเงียบไปพักหนึ่ง วางข้าวของและกระดาษเหลืองเรียบแล้ว จากนั้นเดินกลับไปที่ประตูเพื่อมองออกไปข้างนอก คราวนี้ถึงพูดต่อ
“แต่หากจอมพลังเหยียบพื้นดินก็ใช่ว่าจะถูกดีดปลิวไปได้ง่ายขนาดนั้น อืม เรื่องนี้จะเที่ยวไปพูดกับคนนอกไม่ได้ รู้หรือไม่”
หูอวิ๋นมองท่าทางน่ากลัวของจอมพลัง ท่าทางท่านจี้พูดมีเหตุผลเป็นอย่างยิ่ง จึงพยักหน้าตอบกลับ
“รู้แล้ว!”
จิ้งจอกแดงยังคิดว่าหลังจากนี้ตนเองจะมีจอมพลังเกราะทองคอยเสริมบารมี ต่อให้ท่านจี้ไม่ได้สั่งก็ไม่อาจนำไปพูดทั่วทีปได้
“ท่านจี้ ข้าใช้เจ้านี่ได้หรือไม่ ต้องมีพลังมากมายเช่นท่านหรือไม่”
“เจ้าอยากหลอมยันต์หรือใช้ยันต์เล่า ฮ่าๆ หากหลอมยันต์ตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งคิดเลย หากใช้ยันต์แค่ใช้เลือดภูตก็บังคับใช้งานได้แล้ว ทว่าทำเช่นนั้นจะแล้วจะเปลืองพลังอยู่บ้าง”
จี้หยวนคิดว่าจอมพลังเกราะทองไม่มีอะไรน่ามองเช่นกัน ความจริงแล้วผ้าไหมสีเหลืองทั้งหน้าและหลังนั้นมีประโยชน์อย่างอื่นด้วย ทั้งปิดบังร่างกายได้ ทั้งมีความสามารถในการผูกมัด
‘สรุปแล้วว่าน่าพอใจทีเดียว’
กระนั้นหากคนกระดาษเสียหายไปแล้ว จอมพลังเกราะทองเช่นนี้ก็จะหายไปด้วย จี้หยวนรู้สึกว่าในอนาคตฝึกฝนวิชาแขนงนี้ให้ได้จนถึงขีดสุดได้คงจะดีกว่า
ด้วยท่าทางของกระดาษมากมายทำให้เกิดเป็นจอมพลัง ท้ายที่สุดใช้ยันต์เทพจอมพลังขจัดเรื่องชั่วร้ายในใต้หล้า กำจัดความเสี่ยงที่ยันต์เทพทั้งปึกจะหายไป ในบางระดับใกล้เคียงกับจอมพลังเกราะทองที่มีเลือดเนื้อและมีชีวิตจริงๆ
เมื่อคิดถึงตรงนี้แล้ว จี้หยวนกวักมือครั้งหนึ่ง เงาร่างของจอมพลังเกราะทองในลานหายไปทันที กลายเป็นคนกระดาษเหลืองอีกครั้ง ลอยกลับมาถึงมือของจี้หยวน
เห็นคนกระดาษหายไปในแขนเสื้อจี้หยวน หูอวิ๋นเผยแววตาอิจฉาอย่างแรงกล้า
“ฟ้ามืดแล้ว เย็นแล้วเช่นกัน เจ้ารีบกลับขึ้นเขาเถอะ ในเมื่อเจ้าภูเขาลู่บอกว่าจะพาเจ้าไปต้อนรับฤดูใบไม้ผลิด้วยกัน เช่นนั้นย่อมคิดช่วยเจ้าสักครั้งเป็นแน่ รีบกลับไปเตรียมตัวเถอะ”
จี้หยวนโบกมือเริ่มไล่จิ้งจอก ด้วยเขาไม่อยากให้หูอวิ๋นอยู่ที่นี่ ไม่หวังให้จิ้งจอกแดงกลับไปอย่างกะทันหันเกินไป หรือพูดได้ว่าอาจทำให้เจ้าภูเขาลู่วอกแวกเพราะเหตุนี้
“อ้อ…”
หูอวิ๋นตอบรับเสียงหนึ่ง ยื่นหน้าเข้าไปในเรือนของจี้หยวน มองไปทางกระดาษเหลืองและกรรไกรที่ถูกเก็บไว้ ลังเลเล็กน้อยก่อนออกจากเรือนไป
“เช่นนั้น ข้าไปก่อนนะท่านจี้ ส่วนยันต์เทพจอมพลัง…ข้ายืมไปอ่านสักสองสามวันได้หรือไม่”
“ไม่ได้!”
“อ้อ…”
เมื่อจิ้งจอกไปแล้ว ในเรือนพลันเงียบสงบลงหลายส่วน
ได้ยินเสียงสุนัขเห่าระงมดังมาจากนอก จี้หยวนพลันหลุดหัวเราะ ก่อนจะเดินไปเก็บถ้วยกระเบื้องที่หูอวิ๋นกินน้ำผึ้งหมดแล้วก่อนหน้านี้
พอถึงในห้องครัว เก็บกวาดเตาไฟและฟืนไม่น้อย ที่ห้องครัวยังมีไข่ไก่จำนวนหนึ่ง หัวไชเท้ากองหนึ่ง ปลาเค็มตากแห้งหนึ่งตัว อย่างไรเสียก็เป็นวันที่สามสิบเอ็ดแล้ว อีกทั้งไม่คิดจะนอนหลับให้พ้นวันนี้ จี้หยวนจึงคิดตั้งเตาทำอาหาร
ไข่ทอดชามหนึ่ง หัวไชเท้าตุ๋นปลาเค็มชามหนึ่ง รวมกับข้าวสวยหม้อเล็กๆ รสชาติไม่เลวเหนือความคาดหมาย นี่ทำให้เขาเสียดายอยู่บ้างที่ไม่ได้รั้งให้หูอวิ๋นอยู่ชิมสักหน่อย
ช่วงเวลาบอกลาสิ่งเก่าต้อนรับสิ่งใหม่ กระบี่เครือเขียวลอยขึ้นฟ้าอย่างเบิกบานใจ บินไปจนกระทั่งถึงเขาโคเทพ แหวกเมฆก้อนเล็กก้อนน้อยท่ามกลางเสียงเสือคำราม
สรรพสิ่งเริ่มต้นใหม่ กระดูกในครรภ์ถือกำเนิด
…
วันที่หนึ่งเดือนหนึ่ง จี้หยวนยังคงนอนคุดคู้ฟังเสียงประทัดตูมตามจากทั่วทุกทิศในอำเภอหนิงอัน ทว่าสิ่งที่ทำให้จี้หยวนตื่นนอนอย่างจริงจังคือเสียงฝีเท้าซึ่งเข้ามาใกล้เรือนสันติ
ก๊อกๆๆ…ก๊อกๆๆ…
“ท่านจี้อยู่บ้านหรือไม่ ข้าเป็นข้ารับใช้ตระกูลเว่ยแห่งจังหวัดเต๋อเซิ่ง ได้รับคำสั่งจากผู้นำตระกูลให้มาเชิญท่านจี้โดยเฉพาะ!”
จี้หยวนสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วออกจากห้อง หิมะตกตลอดทั้งคืนทำให้มองไปแล้วทุกอย่างเหมือนถูกห่อด้วยสีเงิน
รอจนได้ยินเสียงจากในเรือน สองคนข้างนอกไม่เคาะประตูอีก คอยท่าอยู่ข้างนอกเรือนอย่างสงบ
เอี๊ยด…
จี้หยวนเปิดประตูเรือน เห็นชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมข้างนอกสองคน พวกเขามีเกล็ดหิมะเกาะอยู่ระหว่างผม ใบหน้าแข็งจนเป็นสีแดง หากแดงกว่านี้อีกหลายส่วนก็คงใกล้เคียงกับจอมพลังเกราะทองแล้ว
ฝ่าลมหนาวอย่างไม่หยุดหย่อน ม้าสี่ตัวเปลี่ยนกันถูกขี่ ห้อตะบึงมาเป็นระยะทางสามร้อยลี้ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งคืนพวกเขาก็มาถึงอำเภอหนิงอันแล้ว
“คารวะท่านจี้!”
เห็นจี้หยวนเปิดประตู ทั้งสองคนรีบทำความเคารพพร้อมกัน
“ผู้นำตระกูลเว่ยลงเขาแล้วหรือ ทั้งสองเข้ามาดื่มชาร้อนแล้วค่อยๆ พูดเถอะ”
สองคนนั้นไม่ปฏิเสธ ผ่านประตูเข้าไปแล้วพิจารณาในเรือนเล็กอย่างละเอียด ต้นพุทราใหญ่แม้ปกคลุมด้วยหิมะทว่ายังคงเขียวชอุ่ม บ่อน้ำที่ถูกทับไว้ด้วยแผ่นหิน โต๊ะหินตัวหนึ่งและเก้าอี้หินสี่ตัว โดยรอบล้วนเป็นบ้านคนธรรมดา
‘นี่คือสถานที่ที่ผู้สูงส่งอาศัยอยู่หรือ’
เมื่อนั่งลงในโถงรับแขกและรับน้ำชาร้อนๆ พวกเขาถึงเล่าเรื่องที่ตระกูลเว่ยตามสิ่งที่จี้หยวนถามอย่างละเอียด
“อ๋อ อีอีกับหนุ่มหน้อยผู้นั้นก็มาด้วยหรือ”
“ขอรับ!”
สองคนประคองถ้วยชาอบอุ่นมาก จากนั้นดื่มเข้าไปอึกหนึ่ง เมื่อน้ำชาอึกนี้ลงท้อง นอกจากความหวานสดชื่นแล้วยังมีกระแสความอบอุ่นแผ่จากกระเพาะไปสู่ทั่วทั้งร่างกาย ค่อยๆ กำจัดความรู้สึกหนาวไปตลอดทาง
พวกเขาไม่ได้อยู่ในเรือนสันตินานเกินไป หลังจากนั้นประมาณครึ่งเค่อก็ขอตัวจากไป
ท่านจี้ตอบรับว่าจะไปในช่วงตรุษจีน เช่นนั้นทั้งสองคนต้องกลับไปบอกผู้นำตระกูลทันที จะได้เตรียมตัวตั้งแต่เนิ่นๆ
จี้หยวนมองส่งอยู่ตรงประตูเรือนเล็ก พิจารณาครู่หนึ่งแล้วหมุนกายกลับเข้าไปปิดประตูหน้าต่างทั้งหมด จากนั้นเหยียบอากาศภายในลานลอยขึ้น แล้วเหยียบเมฆบนท้องฟ้ามุ่งหน้าสู่จังหวัดเต๋อเซิ่ง
ไม่นานเท่าไหร่จี้หยวนย่างเข้าสู่ถนนจังหวัดเต๋อเซิ่ง สาวเท้าไปยังประตูจวนตระกูลเว่ย
บังเอิญนัก ตอนนี้ซ่างอีอี กวนเหอ และเว่ยหยวนเซิงสามคนกำลังเดินออกจากประตูจวน พริบตาแรกที่เห็นจี้หยวนก็จำเขาได้ในทันที
“ท่านจี้!”
“ท่านจี้มาแล้ว!”
เว่ยหยวนเซิงรีบคว้าประทัดจากในมือข้ารับใช้ด้านข้าง กล่าวกับเขาว่า
“รีบไปบอกท่านพ่อข้า”
“ขอรับ!”
พอคนไปแล้ว เว่ยหยวนเซิงกระโดดโลดเต้นไปถึงบนถนนตรงหน้าประตู
“ท่านจี้มาเร็ว พวกเราจะไปจุดประทัดกัน!”
จี้หยวนพยักหน้าให้กวนเหอและซ่างอีอีอย่างระมัดระวัง จากนั้นมองเว่ยหยวนเซิง ไม่พบกันหลายปี เด็กคนนี้มีพื้นฐานที่ดีทีเดียว