ตอนที่ 286 หมู่บ้านร้าง
จี้หยวนก็ไม่มีความคิดจะบอกกล่าวใคร หนึ่งเพราะตอนพูดคุยกับพวกเว่ยอู๋เว่ยก่อนหน้านี้เปิดเผยความต้องการออกจากต้าเจินไปแล้ว เพียงยังไม่ได้กำหนดเวลา สองเพราะร่องรอยของตนเองไม่แน่ชัดนับว่ามีข้อดีมากกว่าข้อเสีย อีกอย่างเที่ยวไปบอกคนอื่นว่าตนเองคิดจะออกเดินทางไกลไปยังสถานที่หลายแห่งออกจะโอ้อวดอยู่บ้างทีเดียว
แต่จำเป็นต้องกลับบ้านสักครั้ง
ตอนบ่ายของวันที่สองเดือนหนึ่ง จี้หยวนกลับถึงบ้านแล้ว ตอนนี้กำลังสะบัดพู่กันเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะหนังสือในห้อง
แม้ไม่มีความคิดบอกใครเป็นพิเศษ แต่อย่างไรเสียก็ยังต้องทิ้งข้อความไว้ในเรือนสันติ
หลังจากเขียนเสร็จแล้ว จี้หยวนวางพู่กันลง หยิบกระดาษขึ้นมาเขย่าเล็กน้อย รอยหมึกแห้งด้วยความเร็วที่ตามองเห็นได้
“ไม่เลว แบบนี้ดียิ่ง!”
สิ่งที่อยู่ในข้อความคือประกาสิต มีเนื้อหาทั้งหมดสิบบรรทัด หากมีคนมาหาเขาจริง บัญชาจะถูกกระตุ้นขึ้นเอง หลังจากเห็นข้อความแล้วคาดว่าไม่น่าจะหาได้ง่ายๆ ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่โดยคร่าวคือขึ้นเหนือ มีความคิดบางอย่างในใจ
หลังจากจี้หยวนชำเลืองมองแล้ว สุดท้ายไม่ได้ทิ้งเจตจำนงสื่อจิตอะไร เพียงวางบัญชาลงบนโต๊ะหนังสือ ทับไว้ด้วยที่ทับกระดาษก็พอ
เมื่อทำสิ่งเหล่านี้เสร็จสิ้น จี้หยวนลงกลอนประตูหน้าต่างไม่กี่บานในห้อง เดินออกจากประตู จากนั้นลงกลอนประตูเรือนหลักดังแก๊ก
แซกๆๆ…แซกๆๆ…
ก้านใบต้นพุทราในเรือนขยับเองโดยไร้ลม จี้หยวนมองต้นพุทราแล้วยิ้มกล่าว
“เจ้าก็ห้ามขยับนะ จิตวิญญาณพืชหลุดพ้นจากรูปลักษณ์เป็นเรื่องยากยิ่ง รบกวนเจ้าเฝ้าบ้านแล้ว”
พูดจบแล้วจี้หยวนเดินออกไปข้างนอก ลงกลอนประตูหน้าเช่นกัน คราวนี้ถึงค่อยพาดร่มสะพายห่อผ้า เดินเลียบตรอกเทียนหนิวไปข้างนอก
แม้หลายปีนี้จี้หยวนไม่ค่อยอยู่ที่อำเภอหนิงอัน แต่ในใจของคนที่รู้จักกันดีหลายคนนั้น ตำแหน่งของท่านจี้ไม่ต่ำต้อยเลย ดังนั้นหากไม่เร่งด่วนเกินไป โดยทั่วไปแล้วทุกครั้งจี้หยวนออกเดินทางไกลล้วนไปเช่นนี้ ให้ชาวบ้านที่เจอเขาตามรายทางรู้ว่าท่านจี้ออกเดินทางไกลแล้ว
เพื่อนบ้านบริเวณตรอกเทียนหนิวพบจี้หยวนล้วนกล่าวทักทาย เห็นจี้หยวนพกร่มและห่อผ้า ยิ่งพากันสอบถามเสียคำหนึ่ง รู้กันว่าต้องได้รับคำตอบว่าจะออกเดินทางไกลอย่างแน่นอน
พอออกจากตรอกเทียนหนิวแล้ว ร้านบะหมี่ตระกูลซุนบนถนนฝั่งตรงข้ามยังคงเปิดอยู่ คนตระกูลซุนต่างก็ทำงานหนัก ต่อให้เป็นวันที่สองของปีใหม่ก็ไม่เคยปิดร้านพักผ่อน
ซุนมู่เซิงเป็นบุตรชายคนเล็กของเถ้าแก่ซุน ตอนนี้เถ้าแก่ซุนทำไม่ไหวแล้วจึงมอบร้านบะหมี่ให้เขา ถึงระดับความคุ้นเคยของเขาและจี้หยวนไม่ได้มากมายเท่าบิดา แต่อย่างน้อยก็ถือว่ารู้จักกัน เห็นจี้หยวนเดินมาจึงทักทายด้วยความกระตือรือร้น
“ท่านจี้ สวัสดีปีใหม่ ท่านมากินบะหมี่หรือ”
คนตระกูลซุนต่างก็รู้ว่าท่านจี้อยู่ตัวคนเดียว หลายครั้งไม่เปิดเตาไฟที่บ้าน เลือกมากินบะหมี่ที่ร้าน
แม้หลายปีนี้มาที่ร้านน้อยครั้งมาก แต่คำที่เถ้าแก่ซุนฝากฝังไว้คือหากท่านจี้ไม่มา ร้านบะหมี่ตระกูลซุนต้องเก็บเครื่องในและบะหมี่ไว้ชุดหนึ่งเสมอ
“สวัสดีปีใหม่ๆ เจ้าก็ต้องเก็บร้านก่อนเวลาสินะ ยังมีบะหมี่หรือไม่”
จี้หยวนประสานมืออวยพรเสร็จพลันถามขึ้น
ซุนมู่เซิงวางโต๊ะเล็กที่เตรียมเก็บไปแล้วลง ใช้ผ้าบนหัวไหล่เช็ดมือ ยิ้มซื่อๆ พลางกล่าว
“มี! เครื่องในแกะและบะหมี่ล้วนมีหนึ่งชุด ยังไม่ได้ดับเตาไฟ หากท่านจี้อยากกิน ข้าจะทำให้ท่านกินเดี๋ยวนี้!”
เหมือนกับเห็นจี้หยวนหนีบร่มสะพานห่อผ้า ซุนมู่เซิงจึงถามบ้าง
“ท่านจี้จะออกเดินทางไกลอีกแล้วหรือ”
“ใช่ ครั้งนี้อาจไปไกลกว่าเดิมหน่อย ข้าไม่กินบะหมี่แล้ว ทักทายเถ้าแก่ซุนแทนข้าที”
“ได้ ต้องบอกเขาอย่างแน่นอน เช่นนั้นท่านระวังตัวด้วย”
“อืม”
จี้หยวนตอบรับแล้วเดินไปทางประตูเมือง ครั้งนี้เขาไม่ได้ใช้วิชาเหาะเหิน เพียงเดินตรงไปจนถึงนอกประตูเมืองแล้วค่อยก้าวเท้าเหมือนดินหด รวดเร็วมากทว่าไม่ได้เหยียบเมฆขี่หมอก ด้วยวางแผนว่าจะมุ่งตรงขึ้นเหนือไปตลอดทาง ผ่านรัฐฉีเหนือรัฐจีไปก็จะออกนอกอาณาเขตอาณาจักรต้าเจินแล้ว
เขาเดินครั้งนี้ใช้เวลานานมาก
หลังจากนั้นประมาณสามเดือน จี้หยวนในเสื้อสีเทาเดินตามลำพังกลางป่า
ตั้งแต่จากรัฐฉีออกนอกอาณาเขตอาณาจักรต้าเจินเมื่อหนึ่งเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ความเร็วของจี้หยวนค่อนข้างลดลงบ้าง
เนื่องจากอยู่ทางเหนือของต้าเจิน จึงมีพรมแดนติดกับสองอาณาจักรเป็นส่วนใหญ่ หนึ่งคืออาณาจักรถิงเหลียงที่ครองพื้นที่เขาลานสารทครึ่งหนึ่ง บริเวณอาณาจักรในตอนนี้น่าจะเรียกว่าอาณาจักรจู่เยวี่ย พื้นที่หลายแห่งอยู่ติดกับต้าเจิน ระหว่างสองอาณาจักรกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นบางครั้ง
แต่จี้หยวนพบว่าหลังจากผ่านเมืองหลักจำนวนหนึ่งแล้ว ด้านหลังอาณาจักรจู่เยวี่ยรกร้างมากอย่างชัดเจน ตั้งแต่ออกจากเมืองหนึ่งมาก็ไม่เห็นคนมานานมากทีเดียว
จี้หยวนเดินตรงไปตามป่า ถนนเส้นนี้แม้พื้นที่ไม่น้อยถูกหญ้ารกกลบไปแทบหมดแล้ว แต่จากความกว้างพอมองออกว่าเป็นถนนเส้นหลัก เพียงคนเดินบนถนนเส้นนี้น้อยเกินไปแล้ว
ตอนเดินไปถึงบริเวณหนึ่ง จี้หยวนพลันหยุดฝีเท้า หันไปมองสถานที่ที่เต็มไปด้วยหญ้ารกชัฏข้างทาง คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเดินเข้าไปใกล้
จี้หยวนยื่นมือไปแหวกพงหญ้า เผยให้เห็นด้านหลังโครงกระดูกติดสองผ้าสองร่าง
“โชคดีที่ข้าไม่ได้ใช้อาหารและน้ำมากเกินไป ไม่เช่นนั้นคนทั่วไปเดินบนถนนเส้นนี้หากไม่มีเสบียงติดมาด้วย คงยากนักจะรอดไปได้”
ไม่ว่าเป็นศาลมืดนำทางวิญญาณไป หรือเป็นวิญญาณเร่ร่อน สรุปแล้วว่าบนโครงกระดูกสองร่างไม่มีร่องรอยปราณวิญญาณแต่อย่างใด ยิ่งไม่รู้ว่าจากโลกนี้ไปได้อย่างไร จี้หยวนทำได้เพียงถอนหายใจเสียงหนึ่งแล้วจากไป
ผ่านไปอีกครึ่งวัน ในที่สุดสายตาเลือนรางของจี้หยวนก็ปรากฏสิ่งที่อาจเป็นสิ่งก่อสร้าง เท้าเพิ่มความเร็วขึ้นเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ แต่ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ หัวคิ้วจี้หยวนยิ่งค่อยๆ ขมวดเข้าหากัน
ตรงหน้าเป็นหมู่บ้านที่ไม่นับว่าเล็ก แต่มองไม่เห็นว่ามีคนอยู่สักเท่าไหร่ เดิมท่คิดว่าเพราะอยู่ไกล แต่เข้าใกล้แล้วใช้จมูกดมกลิ่นก็ยังไม่ได้กลิ่นอายคนอยู่
‘เหมือนจะร้างแล้ว’
จี้หยวนเข้าไปในหมู่บ้าน มองซ้ายมองขวา บ้านเรือนไม่น้อยผุพังอย่างชัดเจน ด้านหน้าและหลังหมู่บ้านมีหญ้าขึ้นรก ไม่เห็นไก่หรือสุนัขในหมู่บ้านเลยสักตัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมองเห็นคนเลย
เดินอยู่ในหมู่บ้านพักหนึ่งแล้วไม่เห็นใคร จี้หยวนก็ไม่เข้าไปลึกมากอีก เพียงกลับหลังหันกลับไปยังบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีลานบ้านตรงหน้าหมู่บ้าน
เอี๊ยด…อ๊าด…เอี๊ยด…
เมื่อหมุนด้ามจับแล้ว จี้หยวนหยิบถังน้ำขึ้นมาดมดู น้ำในบ่อสะอาดมาก ไม่ได้มีกลิ่นอายของสิ่งสกปรกอะไรเลย
จี้หยวนยื่นมือไปรองน้ำดื่มเสียงดังอึกๆ รู้สึกว่าสดชื่นชุ่มคอ
“ฮู่…ที่แห่งนี้…”
หลังหายใจออกครั้งหนึ่ง จี้หยวนมองดูศาลเตี้ยๆ ที่ทรุดโทรมซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านหลายสิบหมี่ นั่นเป็นศาลเจ้าที่ของหมู่บ้านนี้ ไม่มีแสงเทพใดคงอยู่ เขาเองไม่คิดใช้วิชาคุมเทพลองเรียกเจ้าที่ออกมาเช่นกัน
อยู่ในพื้นที่ห่างไกลแบบนี้เหมือนกับว่าท้องฟ้ามืดเร็วเป็นพิเศษ จี้หยวนเพียงพักอยู่ครู่เดียว รอบข้างก็เปลี่ยนเป็นมืดสนิทแล้ว
เขาหยิบฟืนจากบ้านผุพังโดยรอบ คิดค้างแรมอยู่ที่นี่ในคืนนี้ อย่างไรก็มีหลังคา พรุ่งนี้จะเข้าช่วงที่แมลงตื่นจากจำศีลแล้ว มองจากสีท้องฟ้า เป็นได้อย่างยิ่งว่าคืนนี้จะมีฝนตก
เครื่องเรือนหลายอย่างที่ยกไปได้ง่ายล้วนหายไปจากด้านหน้าและหลังของบ้านหลังนี้ แม้แต่หม้อบนเตาไฟในห้องครัวก็ไม่เหลือ ในห้องโถงมีร่องรอยของกองไฟอยู่ เห็นทีคนอื่นที่ผ่านทางมาคงทิ้งร่องรอยไว้
หลังคาห้องครัวเป็นรูขนาดใหญ่ จี้หยวนจึงจุดฟืนตรงตำแหน่งกองไฟในห้องโถงของบ้านเสียเลย แม้หน้าต่างประตูหน้าของที่นี่จะมองทะลุ แต่อย่างน้อยก็ยังปิดอยู่
จี้หยวนหาเก้าอี้ที่พอนั่งได้มานั่งลงข้างกองไฟ ใช้ฟืนท่อนหนึ่งเสียบขนมเปี๊ยะแห้ง ปลายด้านหนึ่งขัดกับรูเก้าอี้ ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งอยู่ข้างกองไฟเพื่อย่าง
ตอนรอย่างขนมเปี๊ยะจนร้อนและนุ่ม จี้หยวนหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาคลายเบื่อ เป็นตำรานอกรีตที่ไม่ได้อ่านมานานแล้วเล่มนั้น แม้อ่านเนื้อหาทุกบทข้างในนั้นเมื่อนานมาแล้ว แต่ขณะที่พักผ่อนช่วงนี้ฝึกปราณตลอดเวลา วันนี้อ่านตำราเล่มนี้ถือเป็นการผ่อนคลาย
ครืน…
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น จี้หยวนถือตำราเงยหน้ามองไปข้างนอกประตู สายฟ้าเลื้อยผ่านท้องฟ้ายามวิกาลไป
“เห็นทีนี่คงเป็นสายฟ้าแรกของปีนี้กระมัง”
ครืน…
เสียงฟ้าร้องข้างนอกเหมือนเหมือนกับตอบรับคำพูดกับตนเองของจี้หยวน
แต่จี้หยวนถูกสิ่งอื่นดึงดูดความสนใจในทันที นอกจากเสียงฟ้าร้องและเสียงลมแล้ว ในหูได้ยินเสียงฝีเท้าและกีบม้าระลอกหนึ่งอยู่รางๆ จากนั้นเสียงสนทนากันก็ใกล้เข้ามา
จี้หยวนพลันรู้สึกว่าน่าขันเล็กๆ เหมือนกับมีเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งแล้ว เขาซุกหัวนอนอยู่ในสถานที่รกร้าง เป็นคืนวันฝนตก และเจอกับคนกลุ่มหนึ่งอยู่เสมอ แต่นี่ใช่ว่าไม่ดี อย่างน้อยก็นับว่ามีคนอยู่บ้างไม่ใช่หรือ
“เอ๋?”
เมื่อคิดได้ดังนั้น จี้หยวนได้กลิ่นตุๆ ในทันที ทว่ามองดูขนมเปี๊ยะหน้ากองไฟแล้วก็ยังไม่ไหม้
นอกหมู่บ้านร้าง คนเจ็ดแปดคนและม้าสองตัวกำลังเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ บนใบหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า
ม้าสองตัวมีตัวหนึ่งแบกคน ส่วนบนหลังอีกตัวหนึ่งวางข้าวของไว้จนเต็มพื้นที่ บนหลังม้าตัวหน้าเป็นเด็กหญิงอายุแปดเก้าปี ยังไม่ทันเดินถึงหน้าหมู่บ้านเด็กหญิงก็ร้องเรียกขึ้นมา
“อารองๆ ในหมู่บ้านมีคนๆ ข้ามองเห็นแสงไฟ หมู่บ้านนี้มีคน!”
ทุกคนได้ยินแล้วตื่นเต้นขึ้นมา ตั้งใจมองดูแล้วพบว่ามองเห็นแสงไฟเลือนรางจริงๆ ตอนนี้ฟ้ายังไม่มืดเต็มที่ กอปรกับมีหลังคาเก่าบังอยู่ทำให้เมื่อครู่นี้มองไม่เห็น ตอนนี้มองเห็นแล้วพลันอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้าขึ้นบ้าง
“ไม่ใช่หมู่บ้านร้าง!”
“มีคนก็ดี เผื่อแลกอาหารกินได้”
“มีสุราย่อมดีที่สุด!”
“ฮ่าๆๆ…”
“อย่าพูดไร้สาระอยู่เลย รีบเดินดีกว่า”
แต่พอทุกคนเข้าไปในหมู่บ้านแล้ว ตอนที่เห็นบ้านทุกหลังแทบพังทลาย ความคาดหวังในใจค่อยๆ ลดฮวบลง กระนั้นยังคงเดินเข้าหาแสงไฟดังเดิม
จนกระทั่งถึงบ้านหลังใหญ่ที่พอนับได้ว่ายังสมบูรณ์อยู่ เห็นกองไฟจุดอยู่กลางห้องโถงทางนั้น มีคนคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ กำลังมองออกมาข้างนอก