ตอนที่ 288 วิธีการตายที่แปลกประหลาด
อันธพาลผู้นี้ใช้มือจับศีรษะที่กัดคอตนเองไว้จนแน่น ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดคิดให้มันผละออกไป แต่มองแล้วเหมือนประคองศีรษะอยู่มากกว่า
เพียงไม่กี่ลมหายใจสั้นๆ มือเท้าอันธพาลไร้แรง เสียงร้องฮือๆๆ ในปากเบาลงเรื่อยๆ
ไม่นานนักทั้งตัวอันธพาลก็ไม่เหลือแรงดิ้นพล่าน เพียงชักกระตุกอยู่ตรงนั้น จนสุดท้ายบนพื้นก็เหลือเพียงศพซูบซีดร่างหนึ่ง
ฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเรื่อง พื้นดินโดยรอบชุ่มแฉะ ผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนหนึ่งรอให้การต่อสู้ยุติ หลายคนเนื่องจากอ่อนแรง ถูกฝนสาดใส่จึงลืมตาไม่ขึ้น เมื่อกระหายน้ำก็แค่อ้าปากรับน้ำฝน
มีคนหนึ่งนอนตะแคงอยู่บนพื้นด้วยความทรมาน รู้สึกว่าข้างหลังมีคนเข้ามาใกล้ตนเอง ทว่าชั่วขณะที่หันไปมองกลับถูกกัดคอเสียแล้ว
…
การต่อสู้ที่อยู่ไกลออกไปยังคงดำเนินต่อ ท้องฟ้ามืดสนิทเข้าสู่เวลากลางคืน คืนนี้มีฝนย่อมไร้แสงดาวและแสงจันทร์ ทัศวิสัยย่ำแย่
แต่อย่างไรเสียคนส่วนใหญ่ก็ผ่านการฝึกวิชายุทธ์มาบ้างทั้งนั้น หลังจากปรับตัวกับความมืดได้แล้ว ดวงตายังพอมองเห็นสิ่งของชัดเจนอยู่บ้าง
อันธพาลกลุ่มหนึ่งไม่ได้ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับฝ่ายตรงข้าม พวกเขามีประสบการณ์รับมือกับคู่ต่อสู้ที่มีวิชายุทธ์ติดตัวแบบนี้มามาก ใช้จำนวนคนมากกดดันล้อมปราบ กำจัดผู้นำ พยายามลดความเสียหายต่อฝ่ายของตนเอง
แต่ในเมื่อเป็นเช่นนั้น อันธพาลที่ได้รับบาดเจ็บและล้มตายก็ยังมากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
คนกลุ่มนี้ถูกล้อมไว้ ทว่ายังคงมีแรงใจเต็มเปี่ยม สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือในนั้นมีสตรีสองคน สำหรับอันธพาลที่อยู่ในพื้นที่รกร้างนับว่าโดดเด่นสะดุดตาจริงๆ
ไม่พบเห็นสตรีมานาน เพราะฉะนั้นเจอหมูตัวเมียก็รู้สึกว่าสวยแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหน้าอกนูน ใบหน้างดงามของสตรีสองนางนั้นเลย พวกเขาจับจ้องตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว สตรีอีกสองสามคนก็ไม่นับว่าย่ำแย่ ความงามอาจไม่เท่าไหร่ แต่รูปร่างกลับไม่ด้อยไปกว่ากันเลย
เทียบกันแล้วแม้เคยผ่านมือใคร แต่ก็ไม่มีตรงไหนที่รับไม่ได้อยู่ดี
ความจริงแล้วต่อสู้ตั้งแต่ก่อนฝนตกจนถึงตอนนี้ พวกโจรหลายคนล้วนดูออกว่าจอมยุทธ์เหล่านี้ฟื้นกำลังไม่รวดเร็วดังเดิม
คนขี่ม้าหลายคนสวมหมวกไม้ไผ่อยู่บนหลังม้า มองจอมยุทธ์ท่ามกลางการต่อสู้ไกลๆ งัดกระบวนท่าดุดันร้ายกาจเหล่านั้นในตอนแรกเริ่มออกมาใช้ค่อนข้างน้อยแล้ว
“ฮ่าๆ วิชายุทธ์สูงส่งแล้วอย่างไร คนในยุทธภพก็คนในยุทธภพเถอะ ถึงเชี่ยวชาญในการต่อสู้ แต่กลับไม่เข้าใจว่าจะต้องจัดกระบวนทัพหรือร่วมมือกันอย่างไรเลยจริงๆ”
ได้ยินเสียงถากถางของสหายแล้ว อีกคนหนึ่งระเบิดหัวเราะก่อนกล่าวต่อ
“ถูกต้อง กระบวนท่าที่พวกเขาใช้ในตอนแรกร้ายกาจมากก็จริง ทว่ากินแรงและทำให้สิ้นเปลืองปราณแท้ แม้สังหารและทำให้พี่น้องของพวกเราบาดเจ็บไปไม่น้อย แต่กลับไม่ได้เปลี่ยนแผน หลายคนที่เก่งกาจที่สุดข้างในนั้นต้องฝ่าวงล้อมเพียงลำพัง นั่นมีความเป็นไปได้กี่ส่วนกัน…”
“หึ หากไม่ใช่เพราะฝนตกหนัก แค่ธนูก็จัดการพวกเขาได้แล้ว!”
ระหว่างพวกเขาสนทนากัน สายตากวาดมองกำลังของอันธพาล เห็นมีคนลากพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บออกมาอีกแล้ว ตอนที่ถูกยกออกมาไม่ขยับเลยสักนิด ไม่รู้เหมือนกันว่าบาดเจ็บหนักแค่ไหน
…
มีอันธพาลสองคนรับผิดชอบลากพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บออกจากการต่อสู้ในวันนี้ และการต่อสู้ในวันนี้ดุเดือดมากจริงๆ พี่น้องที่พลาดท่ามีอย่างน้อยยี่สิบกว่าคนแล้ว นี่ยังไม่รวมถึงคนที่ตายคาที่
สองคนซ้ายขวา ลากคนที่หมดสติมาอยู่ท่ามกลางผู้ได้รับบาดเจ็บข้างหลัง
“ฮู่…ฮู่…ฮู่…เหนื่อยนัก! เจ้าปาจื่อโชคดีมาก แค่หมดสติไป ไม่รู้ว่าที่จริงแกล้งทำหรือไม่”
คนหนึ่งในนั้นเช็ดใบหน้า เช็ดเลือดและน้ำโคลนออก จากนั้นเงยหน้าปล่อยให้น้ำฝนชะล้างใบหน้าตนเอง
“เอาล่ะ เหนื่อยแล้วจะทำอย่างไรได้ วันนี้พวกเราไม่ต้องไปต่อสู้ อย่างน้อยก็ปลอดภัยไม่น้อย!”
“มีเหตุผล พวกเราก็ช่วยพี่น้องไปตั้งมากมายขนาดนั้น ตอนกินเนื้อพวกเขาต้องแบ่งให้ส่วนหนึ่งแน่ ฮ่าๆๆ…”
อันธพาลที่ดื่มน้ำฝนดับกระหายแล้วหัวเราะอยู่ครู่หนึ่งพลันหยุดลง ด้วยเขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่เหมือนกับบอกไม่พูดอย่างไรอย่างนั้น
กลับเป็นสหายที่พูดปัญหาออกมาก่อน
“นี่ๆ ไยเหล่าพี่น้องนอนแน่นิ่งไม่ขยับเลยล่ะ”
“จริงด้วย! นี่ๆๆ…พวกเจ้าทำอะไรน่ะ นอนหลับทั้งๆ ที่ฝนตกหนักอย่างนั้นหรือ เหล่าเชวี่ย?”
สองคนสะกิดสหายที่ได้รับบาดเจ็บล่าสุดคนหนึ่ง ฉายาของเขาคือเหล่าเชวี่ย ตอนต่อสู้ไม่ยั้งมือจึงไม่ได้บาดเจ็บหนักอะไร วันนี้ก็แค่เท้าแพลงจนบวมปูด มองจากความสาหัสแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
แต่สะกิดอยู่หลายครั้งแล้วกลับไม่เห็นอีกฝ่ายมีปฏิกิริยาตอบสนอง อันธพาลที่สะกิดคนผู้นั้นรู้สึกได้ถึงความผิดปกติในทันที พลันอ้อมร่างเหล่าเชวี่ยเดินไปอีกฝั่งหนึ่ง
เมื่อสังเกตดูใกล้ๆ แม้ทัศนวิสัยไม่ดีนัก แต่ยังคงมองความผิดปกติอของอีกฝ่ายออก เขายื่นมือไปลูบหน้าอกของอีกฝ่าย พบว่าหัวใจไม่เต้นแล้ว
อันธพาลมองสหายข้างๆ ด้วยสีหน้าขมขื่น
“ตายแล้ว!”
“ไปดูคนอื่นเร็ว!”
บนใบหน้าทั้งสองคนไม่มีรอยยิ้มอีก เดินเข้าไปใกล้ผู้บาดเจ็บเหล่านั้นแล้วก็ยื่นมือสัมผัสลมหายใจที่ปลายจมูก หรือไม่ก็คลำดูหัวใจเต้น ทว่าทุกคนเหมือนกันหมด ตายแล้วทั้งสิ้น
ตอนคนหนึ่งในนั้นจับชีพจรตรงคอก็พบบาดแผลบนคอของผู้ตายได้ในทันที เขาตกใจมาก รีบเปิดคอเสื้อของอีกฝ่ายออกดู
“นี่มันแผลอะไร”
อีกคนหนึ่งก็เห็นแล้วเช่นหัน ทั้งสองคนตรวจสอบหลายศพอีกครั้ง ทุกร่างมีบาดแผลเช่นเดียวกัน คราวนี้ทั้งสองคนหน้าถอดสียิ่งกว่าเดิมแล้ว
“สหายเหล่านี้…เกิดเรื่องใหญ่แล้ว! พี่น้องทางนี้ตายหมดแล้ว!”
“รีบมาดูเร็ว เหล่าพี่น้องทางนี้ตายแปลกๆ…!”
เสียงเรียกของทั้งสองดึงดูดความสนใจของคนอื่นแล้ว มีอันธพาลรอบนอกจำนวนหนึ่งเข้ามาสังเกตการณ์บ้างแล้ว
ผู้นำที่มีร่างกายกำยำรีบเข้าหากองศพอย่างรวดเร็ว
“หัวหน้าสาม ดูคอพวกเขาสิ มีรอยกัดกันทั้งนั้นเลย!”
หัวหน้าสามมองคนที่พูดก่อนคุกเข่าข้างหนึ่งลง เปิดคอเสื้อของศพ เพราะทัศนวิสัยทำให้มองเห็นบาดแผลบนคอไม่ค่อยชัดเจน จึงยื่นมือไปคลำดู
รอยกัดนี้กว้างมาก แต่มีรูสองรูที่ลึกเป็นพิเศษ
หัวหน้าสองคลำไปถึงหน้าผากของศพ ปัดผมหน้าม้าที่ปิดไว้ออก มองเห็นรอยแผลลึกหลายรอยบนนั้น เขาใช้มือวัดดู ทำมุมเดียวกับกรงเล็บพอดิบพอดี กดลงบนหน้าผากผู้ตายทำให้อีกฝ่ายไม่สามารถดิ้นได้ ขณะเดียวกันเล็บนั้นก็กรีดหน้าผากผู้ตายด้วยเช่นกัน
เมื่อเกิดความคิดนี้ หัวหน้าสามต้องการตรวจหน้าอกของศพ หลังจากเปิดเสื้อออกแล้ว พบรอยกรงเล็บกดลงอีกรอยหนึ่งตามคาด ชัดเจนว่านี่ทำให้ผู้ตายไม่อาจขยับได้เลย
‘แรงเยอะมาก!’
ฝนฤดูใบไม้ผลิหนาวเย็นไม่ทำให้หัวหน้าสามรู้สึกหนาวสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้กลับมีความรู้สึกหนาวเสียดกระดูกแทรกขึ้นกลางร่างกาย ขนทุกเส้นบนตัวยิ่งตั้งชัน
‘อยู่ที่นี่นานไม่ได้แล้ว!’
ความคิดนี้รุนแรงมากผิดธรรมดา!
หัวหน้าสามไม่ลังเลอีก หยิบนกหวีดออกมา รวบรวมลมปราณแล้วเป่าเต็มแรง
“วี้ด…วี้ด…”
เสียงนกหวีดแหลมสูงทะลุผ่านม่านฝน ผ่านยามค่ำคืน ดังไปถึงหูของอันธพาลท่ามกลางการต่อสู้ทุกคน และดังไปถึงหูจอมยุทธ์สิบกว่าคนด้วย
พวกอันธพาลลดความรุนแรงลงในทันทีอย่างชัดเจน หอกและง้าวยาวมากมายล้วนถูกเก็บกลับไประหว่างการต่อสู้ อีกทั้งมีอันธพาลไม่น้อยถอยหลังไปแล้ว
นี่ทำให้พวกจอมยุทธ์ได้หายใจหายคอโดยไม่ต้องสงสัย แต่พวกเขาไม่ได้จู่โจมกลับไปในทันที หนึ่งเพราะเรี่ยวแรงไม่พอแล้วจริงๆ สองเพราะกังวลว่าจะมีแผนการอื่นซ่อนอยู่
คนไม่น้อยยันดาบหรือกระบี่ คุกเข่าลงหอบหายใจ
“ฮู่…ฮู่…ฮู่…กะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดถอยหลังกันไปหมดเลยล่ะ”
ชายหนุ่มสวมผ้าโพกศีรษะจับดาบยาวสองเล่ม ปักลงบนพื้นเพื่อพักผ่อน เขาฝืนทนตลอดในฐานะที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาจอมยุทธ์ ขณะต่อสู้อยู่ก็นำกลุ่มอยู่ข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
ทว่าตอนนี้มือที่แกร่งกล้าคู่นั้นความจริงแล้วกำลังสั่นเทา แต่เพราะฝนในเวลาค่ำคืนเช่นนี้ ทำให้แม้แต่สหายของเขาก็ไม่ทันสังเกตเห็น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอันธพาลเลย
“มะ ไม่รู้สิ เมื่อครู่นี้มีเสียงนกหวีด…หรือว่ามีคนในกลุ่มถูกฆ่า”
“ไม่น่าใช่! รีบพักเถอะ! ฮู่…ฮู่…ฮู่…”
จอมยุทธ์จำนวนหนึ่งรีบหายใจเอาแรง
“ทุกคนเป็นอย่างไรบ้าง ยังอยู่ดีหรือไม่”
“ตายไม่ได้!”
“ทะ ทนไหวอยู่…”
…
ฝั่งจอมยุทธ์พักหายใจ ส่วนอันธพาลอีกฝั่งหนึ่งรวมกลุ่มอยู่รอบนอก มีผู้นำสองคนขี่ม้าเป่านกหวีด ยังไม่ทันเข้าใกล้ก็ถามหัวหน้าสาม
“เหล่าซาน เกิดอะไรขึ้น เห็นอยู่แท้ๆ ว่าพวกเขาต้านไว้ไม่ได้นานเท่าไหร่แล้ว!”
“ใช่ เจ้าเป่านกหวีดเพราะอะไร หรือมีการเปลี่ยนแปลงใดในคืนฝนตกหนักนี้หรือ”
เหล่าซานยืนขึ้นพลางคลำใบหน้า นิ้วชี้ไปยังศพโดยรอบ
“มีสิ่งสกปรก พวกพี่น้องที่ได้รับบาดเจ็บตายกันหมดแล้ว ทุกคนล้วนถูกกัดคอ ที่ตรงนี้ไม่ปลอดภัย รีบหนีเร็ว!”
ขณะที่พูดอยู่นั้น หัวหน้าสามกระโดดขึ้นหลังม้าของตนเองแล้ว อีกทั้งดึงบังเหียนบังคับม้าไปทางอื่น
หัวหน้าสองคนที่ตามมามองพี่น้องข้างๆ จากนั้นมองเหล่าซานบิดคอและถูมือ พลันตกอกตกใจอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด
ทั้งสองคนตรวจสอบม้าตามสัญชาตญาณ เพื่อยืนยันสถานการณ์แปลกประหลาดใจตอนนี้
“ถอย! ทุกคนถอย!”
ตอนที่หัวหน้ากลุ่มพูด เขากับหัวหน้าอีกคนหนึ่งดึงนกหวีดออกมาแล้วเช่นกัน หัวหน้าสามหยิบนกหวีดขึ้นมาใกล้ปาก
“วี้ด…”
“วี้ด…”
“วี้ด…”
ทั้งสามคนเป่านกหวีดพร้อมกัน ทันใดนั้นอันธพาลที่ได้ยินเสียงตอบสนองทันทีชัดเจนกว่าเดิม พากันแยกย้ายออกไป แม้แต่วงล้อมก็ไม่รักษาไว้แล้ว
หัวหน้าทั้งสามคนตะโกนอยู่ข้างนอก
อันธพาลทั้งหลายเริ่มวิ่ง เคลื่อนไหวตามเสียงของหัวหน้า จากนั้นก็แหวกม่านฝนยามราตรีจากไปด้วยกัน
จอมยุทธ์กลุ่มนั้นมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างอึ้งงัน ไร้เรี่ยวแรงหยุดยั้ง และไม่คิดหยุดยั้งเช่นกัน
“พวกเขา…หนีไปแล้ว?”
“พวกเขาปล่อยพวกเราหรือ พวกเขาปล่อยพวกเราแล้ว!”
“ฮ่าๆๆๆๆ…พวกเราชนะแล้ว!”
“พวกเขาถอยไปได้แล้ว!”
เสียงร้องด้วยความยินดีดังขึ้นตรงนู้นที ตรงนี้ที จากความรู้สึกเหลือเชื่อกลายเป็นความรู้สึกตื่นเต้นดีใจ ความเป็นสุขเพราะรอดพ้นจากภัยพิบัติเกิดในใจของทุกคนอย่างถ้วนทั่ว
หลังจากนั้นไม่นานเหล่าจอมยุทธ์ค่อยสงบอารมณ์ตื่นเต้น พวกเขาไม่น้อยล้วนได้รับบาดเจ็บ อีกทั้งมีคนบาดเจ็บสาหัสด้วย จำเป็นต้องหาสถานที่บังลมต้านฝนเพื่อรักษาตัว
เห็นอันธพาลทิ้งศพไว้เป็นจำนวนมาก ชายหนุ่มโพกศีรษะและอีกสองคนเดินเข้าไปตรวจสอบ หวังว่าจะพบยาหรือข้าวของที่เหมาะสมบางอย่าง
“โอ๊ย อึก…”
บนพื้นมีอันธพาลคนหนึ่งร้องออกมา มีดาบสองเล่มจ่อที่คอเขาทันที
“โอ๊ย! หะ เหตุใด…”
อันธพาลที่ถูกดาบจ่อคอตกใจกลัว มองไปรอบๆ นอกจากศพแล้วไม่มีพี่น้องคนอื่น ท่าทางตนเองจะแพ้อย่างราบคาบแล้ว!
“ฮ่าๆ ไยไม่มีพี่น้องอันธพาลเหล่านั้นของเจ้าเลยล่ะ แน่นอนว่าถูกพวกข้าบุกให้ถอยไปแล้ว!”
“อย่าไปพูดไร้สาระกับเขา ฆ่าเลย!”
“เดี๋ยวก่อน อย่าเพิ่งลงมือ!”
ชายโพกผ้าเดินเข้ามา มองอันธพาลที่อยู่บนพื้น
“ตรงนี้มีที่ไหนที่บังลมต้านฝนได้บ้าง เจ้าบอกมาตามตรงดีที่สุด แม้แต่อันธพาลทั้งกลุ่มล้วนถูกพวกข้าสังหารและได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วน หากเข้าอยากมีชีวิตรอดก็ให้ความร่วมมือหน่อยเถอะ!”
อันธพาลรีบพยักหน้าทันที
“ข้า ข้ารู้จัก! ข้างหน้ามีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ไม่มีคนอยู่ แต่บ้านที่นั่นยังอยู่ในสภาพดีอยู่บ้าง!”
“อืม เจ้าชื่อว่าอะไร”
อันธพาลกลืนน้ำลาย รีบตอบเสียงสั่นเครือ
“ปะ ปาจื่อ…ข้าชื่อว่าปาจื่อ!”
…
ในหมู่บ้าน จี้หยวนวางตำราในมือลง ลุกขึ้นยืนเพื่อเปิดประตูให้กว้างขึ้นหน่อย ปล่อยให้ลมฝนข้างนอกพัดเข้ามาถูกตัว
ท่ามกลางเสียงลมได้ยินเสียงนกหวีดพิเศษหลายครั้ง แม้จะแผ่วเบามาก แต่เขาไม่ได้หูแว่วอย่างแน่นอน