เซียนหมากข้ามมิติ – ตอนที่ 296 มือกระบี่บิน

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 296 มือกระบี่บิน

เมืองนี้มีชื่อว่าเมืองหนานเต้า แม้ไม่ใหญ่ทว่าดูเจริญ มอบความรู้สึกเช่นเดียวกับตอนไปถึงอำเภอหนิงอันครั้งแรกในปีนั้น

แต่หลังจากเปรียบเทียบดูดีๆ แล้ว ที่นี่ย่อมด้อยกว่ามาก อย่างน้อยดูจากสีหน้าชาวบ้านจำนวนหนึ่งก็มองออกว่าลำบากอย่างชัดเจน

หากจะให้จี้หยวนบรรยาย ความแตกต่างกันอยู่ที่ทุกคนในอำเภอหนิงอันต่างสุขสบายทำมาค้าขายได้ ทว่าสีหน้าของคนที่นี่กลับแสดงความเป็นกังวลออกมาอยู่บ้าง

เข้าเมืองไปได้ไม่นานก็ถึงตลาด ถนนที่นี่เบียดเสียดทีเดียว คนเดินขวักไขว่ไม่พอยังมีรถม้าด้วย กระนั้นสถานที่หลายแห่งเดินเท้าได้เท่านั้น

จี้หยวนสวมเสื้อสีขาว เดินเหินไม่รีบร้อน ผมยาวสยาย มวยผมมวยหนึ่งกลัดไว้ด้วยปิ่นหยกดำที่ดูล้ำค่าเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญไปกว่านั้นคือมีเพียงเขาคนเดียว

เดินอยู่บนถนนได้ไม่นาน จี้หยวนพบว่าตนเองถูกคนหลายคนจับจ้อง ตัดสินจากความรู้สึกและบทสนทนาที่ได้ยินแล้ว คนเหล่านี้แทบไม่มีเจตนาดี หากไม่ได้อยากปล้นชิงทรัพย์ ก็คงคิดทำร้ายร่างกายให้ถึงชีวิต

‘มนุษย์ไร้น้ำใจต่อกัน การดูแลรักษาความปลอดภัยที่นี่ไม่น่ายกย่องเลยจริงๆ’

จี้หยวนทอดถอนใจและไม่ได้สนใจอะไรมาก เร่งฝีเท้าขึ้นเล็กน้อย อ้อมซ้ายวนขวาก็สลัดคนเหล่านั้นหลุดแล้ว

เมื่อผ่านร้านค้าตรงมุมถนน จี้หยวนถึงคอยหยุดฝีเท้า

ร้านค้านี้เป็นร้านขายขนมเปี๊ยะแห้ง แต่ไม่ใช่จำพวกเดียวกับที่จี้หยวนซื้อก่อนหน้านี้ ขณะนี้เขาเดินผ่านโดยบังเอิญ เห็นเถ้าแก่ทำขนมเปี๊ยะใช้แม่พิมพ์เหล็กขนาดใหญ่สองอันกดลงบนแป้งขนมเปี๊ยะสองชิ้น ข้างในใส่ไส้ผักดองเค็มชนิดหนึ่ง เมื่อประกบกันแล้วก็โรยงาผง จี้หยวนได้กลิ่นแล้วอยากชิมดูสักหน่อย

“เถ้าแก่ ขนมเปี๊ยะนี้ขายอย่างไรหรือ”

จี้หยวนเห็นที่ร้านไม่มีเสียงอะไร จึงหยุดอยู่หน้าร้านแล้วถามไป

เถ้าแก่ทำขนมเปี๊ยะเงยหน้าขึ้นมอง เห็นเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง ไม่อาจเรียกได้ว่าหายากในอำเภอหนานเต้าแห่งนี้ แต่อย่างน้อยก็มีให้เห็นไม่มาก ฟังจากสำเนียงดูไม่ค่อยเหมือนคนท้องถิ่นเช่นกัน

“ขนมเปี๊ยะนี้ซื้อชิ้นเดียวสองเหวิน ถ้าหนึ่งชั่งก็แปดเหวิน ได้ขนมเปี๊ยะประมาณห้าชิ้น”

“อ๋อ ขอข้าชิมรสชาติผักดองเค็มได้หรือไม่”

“รสชาติผักดองเค็ม?”

เถ้าแก่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ลังเลอยู่หนึ่งแล้วก็พยักหน้า หยิบผักกาดองเค็มจากในไหส่งให้จี้หยวน

จี้หยวนชิมแล้ว รสชาติเค็มที่คุ้นเคยทำให้เขายิ้มออกมา

“บรรพบุรุษของเถ้าแก่เป็นคนรัฐจีแห่งต้าเจินกระมัง”

“เอ่อ ไม่ใช่…”

เถ้าแก่พูดได้คำเดียวก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้ รีบพูดต่อทันที

“ท่าทางท่านรู้จักสินะ ขอไม่ปิดบังท่าน ผักดองเค็มนี้เป็นคนต้าเจินที่สอนให้ข้าในปีนั้นจริง ส่วนเขามาจากส่วนใดของต้าเจิน ข้าไม่รู้หรอก”

จี้หยวนพยักหน้า

“ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้ารบกวนเถ้าแก่ชั่งขนมเปี๊ยะให้ข้าสิบชั่ง”

“สิบชั่ง?”

“ถูกต้อง สิบชั่ง!”

“ได้ๆๆ ลูกค้ารอสักครู่ ที่เสร็จแล้วตอนนี้น่าจะมีสักหกชั่งกว่าได้ ข้าจะทำให้ท่านเดี๋ยวนี้ ไม่นานก็เสร็จแล้ว!”

ขนมเปี๊ยะสิบชั่งถือเป็นการค้าขายครั้งใหญ่สำหรับเถ้าแก่ ถ้าขายหมดวันนี้ก็ได้กำไรมากกว่าครึ่งแล้ว

เถ้าแก่ยุ่งจนหัวหมุน ทำขนมเปี๊ยะไปพลาง พูดคุยกับจี้หยวนเรื่อยเปื่อยไปพลาง ไม่นานเท่าไหร่ขนมเปี๊ยะก็เสร็จหมดแล้ว

ได้ของแล้วจี้หยวนย่อมต้องจ่ายเงิน เขาหยิบถุงเงินออกมา ดูแล้วตุงทีเดียว แต่เมื่อมองดูข้างใน บนเหรียญทองแดงที่ครองพื้นที่ส่วนใหญ่ประทับตัวหนังสือ ‘เงินหยวนเต๋อ’ เอาไว้ ในเมื่อเป็นเงินของอาณาจักรต้าเจินก็ไม่มีทางใช้กันอย่างแพร่หลายที่นี่ ดังนั้นทำได้เพียงหยิบเหรียญเงินออกมากำมือหนึ่งแล้ว

“นี่ เถ้าแก่ลองนับดูก่อน”

“อ้อๆ ลูกค้าจ่ายด้วยเหรียญเงินหรือนี่!”

เถ้าแก่ไม่ได้ออกจากอำเภอหนานเต้าสักเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าสถานที่อื่นเป็นอย่างไร แต่ที่อำเภอหนานเต้า บางครั้งเหรียญทองแดงยุ่งเหยิงอย่างยิ่ง ขนมเปี๊ยะหนึ่งชิ้นสองเหวินที่เขาพูดหมายถึงมาตรฐานนั้น

แต่เหรียญทองแดงมากมายความจริงไม่ได้มาตรฐาน เงินที่ลอบทำขึ้นมาปะปนอยู่กับเงินจริง มีบ้างที่เหรียญทองแดงถูกประทับตราว่าเป็นสิบเหวิน ทว่ามันไม่ได้หนักขนาดนั้น เมื่อนำมาใช้จ่ายแล้วมีคนแยกไม่ออกมากมาย

สถานการณ์แบบนี้ทองและเงินล้ำค่ายิ่งนักอย่างชัดเจน มีมูลค่ายิ่งกว่าที่อาณาจักรต้าเจิน มักจะแลกเปลี่ยนเหรียญทองแดงที่มีมูลค่ามากกว่านั้นได้

หลายคนใช้เงินซื้อ ‘เงินจริง’ จำนวนมาก จากนั้นผสมกับส่วนผสมอื่นๆ หล่อเป็นเงินของตนเอง เงินหนึ่งตำลึงเทียบเท่าได้กับสามสี่ตำลึงเลยทีเดียว

คนใช้เงินซื้อขนมเปี๊ยะมีให้เห็นน้อยจริงๆ เถ้าแก่คาดว่าในถุงเงินนั้นแทบจะไม่มีเหรียญทองแดงเลย

เห็นเงินสีขาวเป็นประกาย ในใจเถ้าแก่ปีติเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าขึ้นสีแดงระเรื่อ กะประมาณน้ำหนักเล็กน้อย มีเงินพวกนี้แล้วจากเดิมที่ได้กำไรสี่สิบเหวิน ตอนนี้คาดว่าอย่างน้อยได้กำไรมากกว่าห้าร้อยเหวินแล้ว

ห่างออกไปไม่ไกลนัก สายตาหลายคู่จับจ้องถุงเงินตุงๆ ของจี้หยวนแล้ว ยิ่งมองเห็นชัดเจนว่าที่เขาหยิบออกมาเป็นเงิน มีคนตรงรถสินค้าที่มุมกำแพงกระซิบกระซาบกันด้วย

“ปลาตัวใหญ่ ที่อยู่ข้างในถุงเงินคงมีแต่เงินกับทองทั้งนั้น!”

“ถูกต้อง…ยังมีปิ่นหยกนั่นอีก เมื่อครู่ข้าลองเดินผ่านแล้วตั้งใจมองดู มันต้องมีค่ามหาศาลแน่นอน!”

“ชู่…ไป”

ตรงร้านขนมเปี๊ยะ รับเงินและทอนเงินเรียบร้อย เถ้าแก่เจ้าของร้านใช้เชือกป่านมัดขนมเปี๊ยะเป็นแถวยาว จากนั้นส่งมันให้จี้หยวนไปพลาง มองซ้ายมองขวาพูดเสียงเบาไปพลาง

“ท่านเป็นคนต่างถิ่น ข้าเห็นว่ามีคนจับตามองท่านแล้ว ท่านต้องระวังตัวให้มากนะ!”

จี้หยวนพูดจาดีและอ่อนโยน สร้างความประทับใจให้คนได้ง่ายนัก ชายชรามีประสบการณ์มากกว่า ย่อมมองออกว่ารอบข้างมีสายตาที่เต็มไปด้วยเจตนาร้ายมองบัณฑิตผู้นี้อยู่ จึงกล่าวเตือนอย่างอดไม่ได้

จี้หยวนยิ้มเล็กน้อย ประสานมือให้ชายชราแล้วถึงรับขนมเปี๊ยะไป

“ขอบคุณเถ้าแก่ที่เตือน ข้าคนแซ่จี้ไม่ประมาท ย่อมระวังตัวอยู่แล้ว”

พูดจบแล้วจี้หยวนก็ถือขนมเปี๊ยะหมุนกายจากไป เลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่พักหนึ่ง ตอนผ่านตรอกแห่งหนึ่ง ขนมเปี๊ยะแถวหนึ่งในมือหายไปแล้ว

“ฮู่…ฮู่…คนผู้นี้เดินเร็วจริงๆ”

“เฮ้อ…นั่นน่ะสิ ท่าทางเขาเหมือนบัณฑิต…เอ๊ะ ขนมเปี๊ยะในมือเขาเล่า เหตุใดไม่เห็นแล้ว”

“เจ้าสนใจขนมเปี๊ยะของเขาไปทำไม ตามคนไม่ผิดก็พอแล้ว!”

“ไปๆๆ ไปเร็ว!”

“ใช่ๆ จะคลาดกันไม่ได้”

คนที่อยู่ข้างหน้าไม่หยุดฝีเท้า พวกเขาก็พักไม่ได้เช่นกัน พยายามผ่อนลมหายใจแล้วเร่งความเร็วตามไป

จี้หยวนสาวเท้าก้าวใหญ่เดินอยู่ข้างหน้าตลอดเวลา คนอื่นหากไม่ถูกสลัดทิ้งก็ยอมแพ้ไปเอง มีเพียงคนกลุ่มเดียวที่ให้ตามอย่างไรก็ตามต่ออย่างไม่ลดละ

เขาไม่ใช่ว่าใช้ตาทิพย์เอาตัวรอดไม่ได้ แต่ฟังคำพูดอย่างเหยื่อตัวอ้วนที่พวกเขาใช้วิจารณ์ตนเองแล้ว จี้หยวนกลับไม่อยากให้พวกเขาคลาดไปเลยจริงๆ

ตอนตกเย็น จี้หยวนอ้อมไปมาจนออกจากเมืองแล้ว เก้าคนที่ตามมาข้างหลังยังคงตามอย่างไม่ลดละ จิตใจเด็ดเดี่ยวน่าดู

ห่างจากอำเภอหนานเต้าไปทางเหนือห้าลี้มีศาลาอยู่หลังหนึ่ง ชื่อเรียกอย่างง่ายคือศาลาห้าลี้ จี้หยวนหยุดพักเท้าที่นี่ หยิบขนมเปี๊ยะชิ้นหนึ่งออกมานั่งกินที่กลางศาลา

เพราะเป็นขนมเปี๊ยะที่ทำใหม่วันนี้ แม้ไม่นับว่าอ่อนนุ่ม แต่กินเข้าไปแล้วยังคงอร่อยมาก อย่างน้อยไม่ย่างก็ไม่ได้เหนียวขนาดนั้น

เก้าคนที่ตามจี้หยวนมาหลบอยู่หลังเนินเตี้ยที่เต็มไปด้วยต้นไม้ ตอนนี้กำลังหอบหายใจ พักผ่อนฟื้นกำลังอยู่เหมือนกัน

จนจี้หยวนกินขนมเปี๊ยะอย่างช้าๆ หมดแล้ว เก้าคนทางนั้นพักหายใจได้พอสมควร จึงนำบ่วงและพากันเข้าไปใกล้ศาลาห้าลี้ขึ้นเล็กน้อย

รูปลักษณ์แสดงจิตใจ เก้าคนในตอนนี้เผยความชั่วร้ายบนใบหน้า เทียบกับปาจื่อก่อนหน้านี้แล้วเหมาะสมกับคำว่าโฉดชั่วมากยิ่งกว่า

“บัณฑิตผู้นั้น เจ้ายังจะหนีไปได้อีกหรือไม่”

“ฮ่าๆ ส่งของมีค่าบนตัวเจ้ามาทั้งหมด!”

ชายหนุ่มผู้นำกลุ่มรูปร่างกำยำ ถือแส้เหล็กเส้นหนึ่ง นำคนที่เหลือยังไม่ทันเข้าใกล้ศาลาห้าลี้ ปากก็กล่าวาจาอวดเบ่งเสียแล้ว เพราะพวกเขาเห็นว่ารอบข้างศาลาฟ้าลี้ไม่มีใครอยู่โดยสิ้นเชิง

จี้หยวนรวบรวมเศษขนมเปี๊ยะในมือแล้วโยนเข้าปาก จากนั้นปัดมือลุกขึ้นยืน มองไปทางกลุ่มคน

“ข้าวางของมีค่าลงแล้วก็จะปล่อยข้าไปใช่หรือไม่”

เก้าคนล้อมรอบศาลาหาลี้ไว้แล้ว ฝ่ายผู้นำกลุ่มพิจารณาจี้หยวนตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เจ้าวางเองพวกข้าไม่วางใจ พวกข้าต้องการค้นตัว”

จี้หยวนพยักหน้า

“เช่นนั้นค้นตัวแล้วจะปล่อยข้าไปใช่หรือไม่”

“ฮ่าๆๆๆ…ปล่อยเจ้าไปก็คงเจอปัญหา โดยรอบศาลาห้าลี้แห่งนี้มีแต่ป่ารกชัฏ มีหมาป่าสัตว์ป่าเดินว่อน ฆ่าเจ้าแล้วมันก็ไม่สนใจจะฝังเจ้าหรอกนะ”

จี้หยวนฟังแล้วมองหลายคนตรงหน้า ทันใดนั้นเขาหลุดหัวเราะออกมา แม้พวกเขาในสายตาของตนจะเลือนรางมาก แต่ปราณสกปรกบนตัวพวกเขาชัดเจนยิ่งนัก

“หึๆ ต่อรองไม่ได้เลยหรือ”

ตอนนี้จี้หยวนยังคงหัวเราะออกมาได้ ทำให้เก้าคนนั้นรู้สึกกลัวอยู่บ้าง

“เจ้า หรือว่าเจ้าเป็นยอดฝีมือยุทธภพ”

แต่จี้หยวนไม่ได้ตอบคำถามของพวกเขา กลับหันกายมองป่าด้านหนึ่งของศาลา

ในหูของจี้หยวนมีเสียงย่ำเท้าแหวกอากาศเข้ามาใกล้ เพียงสองลมหายใจเท่านั้น เงาดำสายหนึ่งโผล่ออกมาจากในป่าแล้ว

ชิ้ง

เสียงกระบี่ยาวออกจากฝักตามติดมาด้วยประกายเยือกเย็นจากตัวกระบี่ ฝ่ากลุ่มคนเข้ามาถึง วินาทีที่ปรากฏที่หน้าศาลา เสียงคมกระบี่เข้าเนื้อดังนั้น

“มีคน…”

ฉัวะ…ฉัวะ…ฉัวะ…

คมกระบี่วาดผ่าน ชายหนุ่มถือแส้เหล็กและสามคนรอบๆ เขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาใดก็ถูกกระบี่ฟันล้มลงบนพื้นแล้ว คนพาอานุภาพกระบี่เพิ่งมาเยือน เขาตีลังกากลางอากาศ เหยียบเสาศาลาเพื่อยืมแรงก่อนจะตวัดกระบี่ออกไปอีกครั้ง

“ระวัง…”

“เร็ว…”

ฉัวะ…ฉัวะ…ฉัวะ…

หลายคนพูดยังไม่จบประโยคก็ล้มลงไปแล้ว

เพียงพริบตาเดียวเก้าคนนอกศาลาล้มลงทั้งหมด ฝ่ายผู้มาเยือนยืนอยู่นอกศาลา สะบัดคราบเลือดบนกายแล้วค่อยเก็บกระบี่เข้าฝัก

“ฝีมือดี!”

จี้หยวนกล่าวชมจากใจจริง หากยืนอยู่ในระดับเดียวกับผู้ฝึกเซียน ขั้นตอนนี้ย่อมไม่สลักสำคัญอะไร แต่เขานับได้ว่าเป็นผู้ร่ำเรียนวิชายุทธ์อย่างแน่นอน สำหรับการแยกแยะวิชายุทธ์ จากท่วงท่า กระบวนท่า การใช้ปราณแท้และด้านอื่นๆ เขามองออกอย่างถ่องแท้ ผู้มาเยือนมีวิชากระบี่ติดตัวที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง

“ท่านยังคงเป็นท่าน ไม่พบกันนานแล้วก็ยังสง่างามดังเดิม! เมื่อครู่ข้าคิดว่าตนเองจำผิด คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะมาที่นี่!”

จี้หยวนเบิกตากว้างอีกเล็กน้อย ใช้สายตาที่พร่าเลือนมองผู้มาเยือนอย่างละเอียด

“เสียงนี้…เจ้าคือจอมยุทธ์เยี่ยนกระมัง อ้อ ตอนนี้ต้องเรียกว่าจอมยุทธ์ใหญ่เยี่ยนแล้ว!”

ผู้มาเยือนสวมชุดสีดำเดินเข้ามาใกล้ศาลาหลายก้าว ประสานมือและโค้งกายคารวะจี้หยวน

“เยี่ยนเฟยคารวะท่านจี้ ไม่คิดเลยว่าท่านจี้จะยังจำข้าได้ด้วย!”

เยี่ยนเฟยเงยหน้ามองจี้หยวน หากคนธรรมดาเพียงแค่มองผ่านๆ ยากนักจะพบความผิดปกติจากดวงตาที่ลืมอยู่กึ่งหนึ่งของจี้หยวน แต่เขากลับมองเห็นดวงตาสีเทาคู่เดิมนั้นได้

“ฮ่าๆๆ เสียงของจอมยุทธ์ทุกท่าน ข้าคนแซ่จี้ไหนเลยจะลืมได้”

เยี่ยนเฟยมองศพรอบข้าง ยิ้มถามว่า

“ท่านจี้ ข้าสังหารคนไปเก้าคนแล้ว ท่านไม่ว่าอะไรเลยหรือ”

จี้หยวนส่ายหน้ายิ้ม ดูจากการออกกระบี่ของเยี่ยนเฟยแล้วมองเรื่องราวบางอย่างออก

“คนตายเพราะทรัพย์ นกตายเพราะอาหาร เดิมทีเป็นกรรมของพวกเขา ส่วนข้าจะว่าอะไรหรือไม่แล้วมันอย่างไร ท่านก็อาจจะไม่ฟังเช่นกัน”

เซียนหมากข้ามมิติ

เซียนหมากข้ามมิติ

Status: Ongoing
เพราะกระดานหมากเก่าๆ จี้หยวน พนักงานบริษัทธรรมดาๆ จึงข้ามมิติมาสู่โลกใหม่ในร่างขอทานตาเกือบบอด เพื่อเอาตัวรอดในโลกที่ไม่คุ้นเคย เขาจึงต้องใช้ไหวพริบของคนยุคปัจจุบันและกลหมากพัฒนาตัวเองให้แกร่งกล้า!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท