บทที่ 227 อาจารย์ที่ชิงหวาหรืออาจารย์ที่เป่ยต้าดีกว่ากัน (1)
เดิมคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่งคือวิทยาลัยแพทย์ปักกิ่ง ต่อมาก็ถูกรวมเข้ากับมหาวิทยาลัยปักกิ่ง โดยยังตั้งอยู่ที่เดิม
การรวมครั้งนี้ดูจะไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร นับตั้งแต่ตอนนั้นคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่งก็ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก ยิ่งปัจจุบันเป็นยุคของการพัฒนาแบบสหวิทยาการแบบสหสาขาวิชาชีพ ย่อมเป็นเรื่องยากที่สาขาวิชาเดี่ยวๆ จะพัฒนาได้
ดังนั้นแนวโน้มการพัฒนาในปัจจุบันจึงมีความซับซ้อนมากขึ้น เชื่อมโยงกันมากขึ้น ร่วมมือกันมากขึ้น และแทรกซึมมากขึ้น ในขณะที่ยังคงรักษาความเป็นอิสระเอาไว้
คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นตัวอย่างที่ดีในปัจจุบัน
แน่นอนว่าตัวอย่างก่อนหน้านี้คือมหาวิทยาลัยชิงหวารวมกับยูเนียน ซึ่งมีแนวโน้มการพัฒนาที่ดีด้วย
ระหว่างที่เดินอยู่ในวิทยาเขตของคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยปักกิ่ง มองดูต้นไม้เขียวชอุ่ม ทันใดนั้นไป๋เยี่ยก็รู้สึกว่านี่คือพยานที่บ่งบอกถึงพัฒนาการของมหาวิทยาลัยได้ดีที่สุด มีต้นไม้หลายต้นที่ถูกปลูกไว้ตั้งแต่ครั้นมหาวิทยาลัยถูกก่อตั้งขึ้นครั้งแรก ทุกวันนี้มีต้นไม้ใหญ่ล้อมรอบให้ผู้คนใช้เชยชม ‘ปลูกต้นไม้ใช้เวลาสิบปี บ่มเพาะคนใช้เวลาร้อยปี’ จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็เกิดความคิด ถ้าเป็นครูที่นี่คงจะดีจริงๆ
เกาเย่ว์หยางถอนหายใจทั้งสีหน้าอึดอัด เขามีท่าทีลังเลที่จะเอ่ยปากคุยกับไป๋เยี่ยเล็กน้อย “เสี่ยวเยี่ย คิดยังไงกับชิงหวาบ้างล่ะ”
ไป๋เยี่ยผงะ “ก็ดีครับ”
เกาเย่ว์หยางถามอีกครั้ง “ยูเนียนล่ะ”
ไป๋เยี่ย “ยิ่งดีกว่าครับ!”
เกาเย่ว์หยางถามต่อ “แล้วทำไมคุณไม่สอบเข้ายูเนียนล่ะ ที่นั่นไม่ใช่มหา’ลัยในฝันของคุณเหรอ”
ไป๋เยี่ยกำลังจะพูดต่อ ทว่าเขากลับนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามด้วยความสงสัย “อาจารย์เกามีส่วนร่วมในแผนห้าปีฉบับที่สิบเอ็ดด้วยเหรอครับ”
เกาเย่ว์หยางได้ยินก็ดูเบิกบานใจเล็กน้อย เปล่งเสียงหัวเราะออกมา “ใช่แล้ว ผมก็อยู่ในนั้น ตอนนั้นไม่ได้มีแค่ผมด้วยนะ มีทั้งอาจารย์ของคุณ คังเจี้ยนเซิงและคนอื่นๆ เข้าร่วมด้วย ผมเป็นหนึ่งในผู้รับผิดชอบด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน”
ไป๋เยี่ยตอบรับเบาๆ “นั่นเป็นสาเหตุที่ผมไม่ได้ยื่นป.โทที่ยูเนียนครับ”
เกาเย่ว์หยางตะลึงงัน เกิดอะไรขึ้น
เขาเอ่ยถามอย่างฉงน “เรื่องนี้เกี่ยวกันเหรอ”
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ “ตั้งแต่เข้ามหา’ลัยผมก็เตรียมตัวอย่างแข็งขันมาโดยตลอด หวังว่าจะได้เรียนป.โทที่ยูเนียน แต่หลังจากที่แผนห้าปีฉบับที่สิบเอ็ดออกมา นักศึกษาสาขาบูรณาการการแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบันก็ห้ามสอบเข้าสาขาการแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว”
เกาเย่ว์หยางแทบจะกระอักเลือด บังเอิญจริงๆ
เขากระแอมไออยู่สักพักหนึ่งก่อนจะฝืนยิ้มออกมา “อาฮ่า วันนี้อากาศดีจริงๆ”
ไป๋เยี่ยเหลือบมองเกาเย่ว์หยางอย่างขุ่นเคือง ทั้งสองคนเดินผ่านไปยังอาคารที่ตั้งอยู่ซับซ้อนอย่างเงียบๆ ด้วยต่างคนต่างมีเรื่องในใจ 艾琳小說
คังเจี้ยนเซิงอาศัยอยู่ในเขตเล็กๆ ภายในมหาวิทยาลัย เขาเป็นศาสตราจารย์ที่เกษียณอายุแล้วและกลับมาทำงานที่มหาวิทยาลัยอีกครั้ง แม้จะเกษียณแล้วเขาก็ยังคงมาทำงานโดยไม่สนแดดฝน
เกาเย่ว์หยางอายุน้อยกว่าคังเจี้ยนเซิงถึงสามปี ตอนนี้คังเจี้ยนเซิงยังนับว่าเป็นแนวหน้า แต่ในสองปีมานี้เขาก็เตรียมถอยลงไปอยู่อีกแถวหนึ่งแล้ว
เพราะว่าพวกเขาได้ทักทายกันมาก่อนแล้วจึงพูดคุยกันได้ไหลลื่นอย่างยิ่ง
ในห้องการเรียนการสอนและวิจัยพื้นฐาน คังเจี้ยนเซิงกำลังพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญและอาจารย์หลายคน เมื่อเขาสังเกตเห็นเกาเย่ว์หยางเดินเข้ามาก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนล้วนเป็นสหายเก่า ผู้คนในวงการแพทย์มีไม่มากนัก แทบทุกคนจึงไปมาหาสู่กันค่อนข้างบ่อย
หลังจากที่ทั้งสองทักทายกัน เกาเย่ว์หยางก็ยังไม่ทันจะแนะนำไป๋เยี่ยให้อีกฝ่ายรู้จัก คังเจี้ยนเซิงก็หันไปมองไป๋เยี่ยด้วยสายตาชื่นชมพลางมองสำรวจเขาด้วยรอยยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้นช้าๆ “ดีมาก คุณคือไป๋เยี่ยสินะ ท่าทางดูเป็นอัจฉริยะดีนี่ มานั่งเร็ว”
ไป๋เยี่ยโค้งคำนับเล็กน้อยก่อนจะกล่าวทักทายชายชราผมหงอกตรงหน้า “สวัสดีครับ อาจารย์คัง รบกวนคุณแล้ว โปรดให้อภัยผมทีนะครับ”
ชายชราหัวเราะเบาๆ “เด็กดีนั่งลงเร็วเข้า ดื่มอะไรหน่อยไหม ผมจะให้เสี่ยวหลิวไปเอามาให้”
คังเจี้ยนเซิงดูเป็นนักวิชาการมากกว่าเกาเย่ว์หยาง ทั้งยังมีกลิ่นอายความเป็นนักวิชาการแผนปัจจุบันมากกว่าหลิวป๋อหลี่
พวกเขาทั้งสามมีลักษณะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หลิวป๋อหลี่ให้ความรู้สึกเหมือนคุณชายชาวจีนยุคก่อนๆ ดูเป็นอาจารย์ตลอดเวลา ไม่ว่าจะสวมชุดสไตล์จีนหรือตะวันตก
ส่วนเกาเย่ว์หยางก็ดูจะเป็นคนกระตือรือร้น เขามีอายุน้อยที่สุดในสามคนนี้
ในทางกลับกัน คังเจี้ยนเซิงกลับดูเหมือนนักวิชาการที่เคยไปเรียนที่สหรัฐอเมริกามาก่อน ดูเป็นคนพิถีพิถันและประณีต เขานั่งสวมแว่นตาขอบทอง เพียงมองดูเขานั่งเงียบๆ พลางส่งยิ้มออกมาเล็กน้อยก็พอจะทำให้ผู้คนเข้าใจในตัวเขาได้
คังเจี้ยนเซิงเป็นหนึ่งในนักวิชาการอาวุโสที่เคยไปศึกษาที่สหรัฐอเมริกาโดยทุนของรัฐบาล เขาศึกษาสาขาสรีรวิทยาและพยาธิวิทยาของร่างกายมนุษย์เป็นหลัก
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยเปลี่ยนวิชาเอกเลย เรียกได้ว่าเขาประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงในแวดวงสรีรวิทยาระดับนานาชาติจริงๆ
เรื่องราวของไป๋เยี่ยที่ญี่ปุ่นโด่งดังไปทั่ว ทุกคนในวงการต่างรู้จักชื่อของเขา เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนั้นทีไรใครก็ต่างยกนิ้วให้ไป๋เยี่ยกันทั้งนั้น
หลังจากกลับมาที่จีน ไป๋เยี่ยก็ได้จัดตั้งทีมวิจัยขึ้น ทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างราบรื่น ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยทีเดียว
ดังนั้นคังเจี้ยนเซิงจึงรู้สึกมีความสุขที่ได้พบไป๋เยี่ย เขารู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าคือผู้ที่สร้างประโยชน์และสิ่งที่ยิ่งใหญ่ด้วยใจรักในมาตุภูมิ
หลังจากที่ทั้งสามนั่งลง ไป๋เยี่ยก็พูดถึงจุดประสงค์ของการมาในวันนี้
“อาจารย์คังครับ ทฤษฎีจุลชีพภายในลำไส้ใกล้จะเป็นรูปเป็นร่างแล้ว วันนี้ผมเลยอยากมาหาคุณเพื่อหารือเกี่ยวกับการวิจัยด้านสรีรวิทยา เพราะว่านี่ไม่ใช่เรื่องเล็กเลยครับ”
คังเจี้ยนเซิงพยักหน้า “ทฤษฎีใหม่นี้มีผลต่อกายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยา และชีววิทยาของเซลล์อย่างแน่นอน เทียบเท่ากับการเพิ่มทิศทางใหม่ให้กับสาขาสรีรวิทยา ก่อกำเนิดเป็นชีววิทยาของจุลินทรีย์นั่นเอง”
คังเจี้ยนเซิงพูดต่อ “จุลชีพภายในลำไส้เป็นการวิจัยทางพยาธิวิทยา ไม่ใช่การวิจัยทางสรีรวิทยา ต้องพิจารณาจากมุมมองในแง่ชีววิทยาของจุลินทรีย์ ที่คุณพูดมาก็ฟังดูมีเหตุผลและผมก็เห็นด้วยกับคุณ การพัฒนาองค์ความรู้ด้านสรีรวิทยาขัดขวางการก้าวไปข้างหน้าของวิทยาศาสตร์มาโดยตลอด แต่คุณก็ได้ทำลายพันธะนั่นลงแล้ว”
“บุกเบิกแนวทางใหม่ในการวิจัยด้านสรีรวิทยา…และ…”
ทั้งห้องเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ ทุกคนเข้าประเด็นโดยไม่รีรอ เริ่มทำการสำรวจทันที ต้องกล่าวว่าทุกคนในห้องนี้ล้วนมีความรู้ด้านสรีรวิทยาอันลึกซึ้งและมีแนวคิดเป็นของตัวเอง
ทักษะสรีรวิทยาของไป๋เยี่ยอยูที่เลเวลหก เป็นระดับปรมาจารย์ เขาได้รวบรวมประสบการณ์และการสำรวจทฤษฎีบนพื้นฐานความรู้และทฤษฎีที่เดิมมีอยู่แล้ว กลายเป็นการสำรวจชีววิทยาของจุลินทรีย์
เวลาผ่านไปรวดเร็วเสียจนแต่ละคนยังไม่อยากลุกไปกินข้าว ทำให้เลขาต้องส่งเดลิเวอรี่เข้ามาให้
หลังมื้ออาหารเย็น ทุกคนก็ยังคงอภิปรายกันต่อโดยไม่หยุดพัก
การถกเถียงและการบูรณาการแนวคิดแบบนี้เป็นวิธีการเรียนรู้ที่ดีที่สุด
ไป๋เยี่ยคิดว่าถ้าทักษะสรีรวิทยาของเขาได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องแบบนี้ พื้นฐานของเขาก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ แนวความคิดของเขาสมบูรณ์มากขึ้นเรื่อยๆ และทฤษฎีก็จะเป็นรูปเป็นร่างยิ่งขึ้น
ทั้งสี่คนพูดคุยกันตั้งแต่ลำไส้ไปจนถึงระบบย่อยอาหาร จากระบบย่อยอาหารไปจนถึงระบบประสาทซิมพาเทติก[1] จากนั้นก็ไประบบประสาทอัตโนมัติ[2]
ลากยาวไปตั้งแต่การย่อยและการดูดซึมยาแผนปัจจุบันไปจนถึงตับ ม้ามและกระเพาะอาหารในเชิงการแพทย์แผนจีน ไปจนถึงแนวคิดการรักษาโรค
[1] ระบบประสาทซิมพาเทติก (Sympathetic Nervous System) คือ ระบบประสาทที่ทำหน้าที่ภายใต้แรงกดดัน เพื่อให้ร่างกายตอบสนองในภาวะคับขัน เช่น การต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด หรือการหนีจากภัยคุกคามเฉพาะหน้า
[2] ระบบประสาทอัตโนมัติ (Autonomic Nervous System) คือ ระบบประสาทที่ทำงานเป็นอิสระ ไม่ขึ้นโดยตรงกับสมอง แต่จะสัมพันธ์กับสมองส่วนไฮโปธาลามัสที่ควบคุมเกี่ยวกับอารมณ์/จิตใจ