บทที่ 267 ความเปราะบางของชีวิต
ตอนที่ทั้งสิบคนรวมจ้าวหู่ชิวด้วยเป็นสิบเอ็ดคนมารวมตัวกันที่เขตกองทัพเพื่อนั่งเครื่องบินมา ทีมแพทย์ก็เห็นว่าจ้าวหู่ชิวเป็นคนจากกองทัพ จึงไม่ได้ถามอะไรมาก
อย่างไรเสียเรื่องบางเรื่องก็เข้าใจได้โดยไม่ต้องถาม และมีแนวโน้มมากว่าเขาจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับไป๋เยี่ย
ไม่มีใครถาม ส่วนไป๋เยี่ยก็ไม่ได้พูดอะไร แต่คนยิ่งเยอะก็ยิ่งดี อย่างน้อยถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็ยังมีคนช่วยเหลือได้
ทว่าไป๋เยี่ยกลับสงสัยอยู่ลึกๆ เขาเป็นบอดี้การ์ดจากหนังเรื่องจงหนานไห่เป่าเปียวเหรอ
แต่ว่า…เจอกับภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบนี้เขาจะทำอะไรได้บ้างเนี่ย
หลังจากที่ผู้รับผิดชอบสถานที่ทราบว่าทีมแพทย์มาถึงแล้วก็รีบเดินออกมาต้อนรับ ทันทีที่เขาเห็นหลี่หมิง ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างด้วยความไม่เชื่อ
“หลี่หมิง ไหงคุณถึงมาที่นี่”
ใบหน้าของเซวียอ้ายหรงแฝงไปด้วยความประหลาดใจ หลี่หมิงเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยศาสตร์ทั่วไปของประเทศจีน ทั้งสองคนเคยพบกันในการประชุมระดับนานาชาติในฐานะตัวแทนจากเอเชีย ซึ่งพวกเขามักจะแลกเปลี่ยนความรู้วิชาการจนสนิทสนมกัน
ดังนั้นหลังจากที่เซวียอ้ายหรงเห็นหลี่หมิงก็รู้สึกราวกับว่ามีฟางช่วยชีวิตตรงหน้า หากได้ผู้เชี่ยวชาญอย่างหลี่หมิงมารับผิดชอบสถานการณ์ที่นี่ เขาก็ย่อม…ช่วยผู้คนจำนวนมากจากภัยพิบัติได้
หลังเกิดภัยพิบัติ ผู้คนจำนวนมากไม่ได้เสียชีวิตจากแผ่นดินไหว แต่จากการรักษาที่ไม่ทันท่วงที
เนื่องจากการแพทย์ของที่นี่ไม่ได้มาตรฐานมากนัก การขาดการรักษาจึงกลายเป็นเหตุผลสำคัญ
มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากเกินไปจริงๆ มากจนอยากให้แพทย์ทุกคนรีบเข้าผ่าตัด
แต่คุณคิดว่ามันเป็นไปได้จริงเหรอ
ทั้งประเทศเมียนมามีแพทย์สักกี่คน เป็นแพทย์ศัลยกรรมสักกี่คน แล้วมีสักกี่คนที่รู้จักการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ…จะมีปรมาจารย์ด้านการแพทย์สักกี่คนที่เต็มใจมา!
แต่ละข้อล้วนเป็นกุญแจสำคัญทั้งสิ้น
ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหลังเกิดภัยพิบัติ แพทย์ที่ออกมาช่วยเหลือที่นี่ล้วนเป็นแพทย์ระดับหัวกะทิในวงการทั้งนั้น
บางคนบอกว่า เหล่าแพทย์เดินฝ่าดงผู้คนที่ไร้ซึ่งลมหายใจออกมา แพทย์เหล่านี้คือคนที่ใกล้ชิดเทพเจ้าแห่งความตายมากที่สุด แม้แต่ไป๋เยี่ยก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องนี้เป็นความจริง
คงไม่พูดถึงตอนที่อู๋โย่วเข่อเขียนตำรา ‘เวินอี่ลุ่น’ ไม่ได้ กว่าจะสรุปออกมาเป็นตำราได้ก็มีผู้คนล้มตายไปตั้งกี่คน
นอกจากนี้ หลังจากการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็มีเหตุการณ์ทารกจำนวนมากเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้นเหล่าแพทย์ผู้กล้าหาญกลุ่มหนึ่งจึงผ่าศพทารกเหล่านั้นเพื่อหาสาเหตุ
ในตอนแรก การชำแหละถือเป็นการฝ่าฝืนจรรยาบรรณของแพทย์ แพทย์รุ่นเก่าๆ จึงรอให้ทำพิธีฝังศพเรียบร้อยก่อนจึงค่อยขุดศพออกมาผ่าวิจัย
ถ้าไม่ทำแบบนี้ จะค้นพบสาเหตุไหม
เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดว่าการแพทย์เป็นเรื่องอ่อนโยน อันที่จริงแล้วการแพทย์ก็คือศิลปะแห่งการศึกษาชีวิตแขนงหนึ่ง…
หลี่หมิงติดนิสัยไม่ยิ้มแย้มมาหลายปีแล้ว เขาจึงได้แต่พึมพำและพยักหน้า “อืม ผมมาแล้ว”
ใบหน้าของเซวียอ้ายหรงแฝงไปด้วยความเหนื่อยล้า ทว่าเขากลับดูยินดีมาก “ดีเลย! ตอนนี้คุณมาแล้ว ผมก็ค่อยโล่งใจหน่อย”
ผู้ช่วยที่อยู่ด้านข้างก็ไม่เคยเห็นหัวหน้าเซวียดูมีความสุขขนาดนี้มานานแล้ว หรือว่าผู้ชายหัวโล้นตรงหน้าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญกันนะ
หลี่หมิงมองไปรอบๆ “คุณเซวีย ผมต้องทำอะไรบ้าง”
เซวียอ้ายหรงขมวดคิ้วและครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “ที่นี่มีผู้บาดเจ็บเยอะมาก ตอนนี้เลยทำอะไรไม่ได้ เรามีอุปกรณ์พร้อมแต่กำลังคนไม่เพียงพอ คุณไปเตรียมตั้งซุ้มตรงนั้นก่อน คนพวกนี้คงเป็นคนจากโรงพยาบาลของคุณสินะ คุณพาพวกเขาไปรวมตัวกันก่อน ผมเชื่อมือเหล่าหลี่อยู่แล้ว”
หลี่หมิงตอบรับอย่างสำรวม “ได้เลย”
ไม่มีเวลามาลังเลแล้ว มีผู้บาดเจ็บราวๆ เจ็ดแปดสิบรายที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดทีนที จะมัวมาล่าช้าไม่ได้ เพราะทุกนาทีคือชีวิต กล่าวเช่นนี้ไม่เกินจริงเลย
อาการบาดเจ็บที่เกิดจากแผ่นดินไหวส่วนใหญ่เกิดจากการถูกกดทับ ซึ่งทำให้มีแผลเปิดจำนวนมาก การห้ามเลือดและการปิดแผลจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด
ทั้งสิบคนใช้เวลาตลอดทั้งบ่ายไปกับการตั้งซุ้มและจัดเครื่องมือต่างๆ ให้เสร็จเรียบร้อย
หลี่หมิงเริ่มแบ่งงาน “ไป๋เยี่ยและหลิวเสี่ยวกัง พวกคุณต้องรับผิดชอบในการรักษาผู้ป่วยที่มีกระดูกหัก ‘อย่างเคร่งครัด’”
“ซ่งเจี๋ยและหยางเล่อ คุณมีหน้าที่เย็บแผลหลังผ่าตัด…”
“หลัวเซิงฉ่าน คุณรับผิดชอบการขูดเนื้อตายออกและ…”
“หลีจื่อเหยียนกับฉินเจิ้งหาน พวกคุณสองคน…ทั้งสองคนมีหน้าที่รับผิดชอบการปฐมพยาบาลเพื่อห้ามเลือดและทำให้อาการของผู้บาดเจ็บที่เพิ่งมาถึงคงที่ชั่วคราว”
หลี่หมิงมีทักษะทางการแพทย์ที่แข็งแกร่งมาก เขาแบ่งงานได้อย่างเหมาะสมภายในเวลาเพียงไม่กี่นาที
ไป๋เยี่ยและหลิวเสี่ยวกังรับผิดชอบการผ่าตัดกระดูก คนอื่นๆ เข้ามาแทรกแซงงานในส่วนนี้ได้ยากเพราะว่าการผ่าตัดกระดูกต้องอาศัยความเป็นมืออาชีพมาก ไม่ได้หมายความว่าเพียงมีความรู้ทางการแพทย์ขั้นพื้นฐานจะลงมือได้เลย
ใช่แล้ว!
จู่ๆ ไป๋เยี่ยก็ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากระบบ
[ติ๊ง! เริ่มต้นดันเจี้ยน เริ่มคำนวณคะแนน… ติ๊ง สถานะดันเจี้ยนของคุณถูกเปิดใช้งานแล้ว คุณจะได้รับบัฟดังต่อไปนี้ 1. ความสามารถในการฟื้นฟูขั้นสูง 2. ประสบการณ์ที่ได้รับจะเพิ่มเป็น 2 เท่า]
[แจ้งเตือน: ความสามารถในการฟื้นฟูจะขึ้นอยู่กับพลังงานและความแข็งแรงทางกายภาพของคุณ ส่วนบัฟได้รับประสบการณ์ 2 เท่าหมายถึงการเพิ่มความเร็วในการได้รับค่าประสบการณ์]
นี่เป็นเรื่องที่ดีมากสำหรับไป๋เยี่ย เพราะสิ่งที่ตามมาย่อมเป็นความท้าทาย
ที่นี่ไม่มีห้องผ่าตัดปลอดเชื้อ ดังนั้นจึงทำได้แค่รักษาโดยการฆ่าเชื้อภายในเต้นท์เท่านั้น เงื่อนไขของที่นี่ค่อนข้างมีข้อจำกัดจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ หลังแผ่นดินไหวจึงเกิดโรคระบาดมากมายตามมาด้วย เช่น โรคติดเชื้อต่างๆ
ขณะนี้มีผู้บาดเจ็บมากกว่าเจ็ดสิบคน หลังจากแบ่งผู้บาดเจ็บออกเป็นสองกลุ่มแล้ว หลี่หมิงก็รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยมากกว่าสามสิบคนทันที
เขาเริ่มตรวจอาการผู้ป่วยทีละคน โดยเริ่มจากวินิจฉัยอาการก่อนแล้วค่อยวางแผนการรักษา
อย่างไรก็ตาม ไป๋เยี่ยก็ค้นพบว่าสิ่งที่ผู้คนเหล่านี้กำลังคร่ำครวญถึงล้วนไม่ใช่คำว่า ‘หมอช่วยฉันด้วย!’
“หมอ…ลูกสาวของฉันยังอยู่ที่นั่น คุณต้องพาฉันไปช่วยเธอ!”
“อา…ช่วยด้วย ช่วยภรรยาผมด้วย…”
“หมอ ฉันกราบแล้ว ช่วยสามีฉันเถอะ…ได้โปรด…”
“…”
เดิมทีผู้บาดเจ็บเหล่านี้หลับไปแล้ว แต่เมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาต่างก็กุมมือทีมแพทย์ไว้แน่น โดยหวังว่าไป๋เยี่ยจะช่วยเหลือคนในครอบครัวของพวกเขาได้
ภัยพิบัติก็เป็นเช่นนี้ ความเจ็บปวดทางกายยังเป็นรองความเจ็บปวดอันแสนสาหัสจากการที่ต้องพลัดพรากจากภรรยาและลูกๆ ไปตลอดกาล นั่นล้วนเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันลบเลือน
ชายวัยราวๆ สามสี่สิบปีร้องไห้จนแทบขาดใจโดยไม่สนใจร่างกายที่ยับเยินของตนเอง
เพียงแต่ว่า…ความเจ็บปวดเช่นนี้ย่อมบรรเทาลงไปได้ตามกาลเวลาเท่านั้น
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าไป๋เยี่ยและคนอื่นๆ จะนิ่งดูดายต่อไป
ตอนนี้ไป๋เยี่ยแบะหลิวเสี่ยวกังมีหน้าที่รับผิดชอบขั้นตอนการผ่าตัดกระดูก ซึ่งการผ่าตัดดังกล่าวอาศัยคนคนเดียวคงไม่ไหว แต่ต้องเป็นความร่วมมือระหว่างคนสองคน
ขั้นตอนการผ่าตัดอันเข้มงวดกำลังจะเริ่มต้นขึ้น ทั้งคู่ต่างรีบเตรียมขั้นตอนการรักษาอย่างเคร่งครัด
ผู้ป่วยรายแล้วรายเล่าถูกส่งเข้ามา การรักษาต้องทำโดยเร็ว ห้ามชักช้าโดยเด็ดขาด เพราะว่าด้านนอกยังมีผู้ป่วยรออยู่อีกหลายราย
ทีมแพทย์ทุกคนต่างตึงเครียดจนไม่กล้าผ่อนคลายใจ
ในวันแรก ทุกคนเริ่มต้นทำการรักษาตอนบ่ายสามโมงจนกระทั่งเป็นเวลาตีสี่กว่าจะเสร็จสิ้นการรักษาผู้ป่วยกลุ่มแรก ทำให้อาการของพวกเขาคงที่ชั่วคราว
ทุกคนต่างเหนื่อยล้าจนฟุบหลับไปกับพื้น ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะชูนิ้วขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลิวเสี่ยวกัง
การผ่าตัดกระดูกอาศัยพลังงานและไม่ใช่ขั้นตอนที่ง่ายอย่างที่คิด แต่ละเคสใช้เวลาเป็นชั่วโมง ถือว่าโชคดีที่ที่นี่มีเครื่องมือพร้อมเลยไม่ต้องทำงานด้วยมือเปล่า
วันแรก ไป๋เยี่ยและหลิวเสี่ยวกังทำการผ่าตัดผู้บาดเจ็บไปทั้งหมดสิบเอ็ดราย สิบเอ็ดครั้ง ซึ่งทั้งหมดมีอาการคงที่แล้ว
แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนจะอาการดีขึ้น ยังมีหลายๆ คนที่เสียชีวิตไปก่อนได้รับการผ่าตัด…
ความเปราะบางของชีวิตมนุษย์นั้นประจักษ์ต่อหน้าอย่างชัดเจน บางคนเสียชีวิตด้วยอาการติดเชื้อ บางคนมีอาการตกเลือดและยังผู้บาดเจ็บรายหนึ่งที่เลือกจบชีวิตตนเองลง
จากผู้บาดเจ็บทั้งหมดสามสิบห้าราย มีสิบสามรายที่ได้รับการรักษาจนอาการทรงตัวแล้ว มีผู้เสียชีวิตสามรายและยังมีอีกเกือบยี่สิบรายที่รอการรักษาในวันรุ่งขึ้นเพราะทีมแพทย์ต่างเหนื่อยจนไม่ไหวแล้ว