ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 253 พบเจอ(2

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 253 พบเจอ(2)

ตอนที่ 253 พบเจอ(2)

ฉินมู่หลานเห็นแบบนี้ ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ย “แค่พูดขึ้นมาก่อนค่ะ เดี๋ยวหลังจากนี้จะลองหารายละเอียดดู”

“อ๋อ ๆ”

เซี่ยเหวินปิงรีบพยักหน้า ขณะเดียวกันก็หันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยด้วยความประหม่า “มู่หลาน ถ้ามีงานไหนเหมาะช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหม ให้ฉันอยู่บ้านตลอดคงไม่ดี”

“ได้อยู่แล้วค่ะ”

ฉินมู่หลานพยักหน้าแล้วตอบกลับ ขณะเดียวกันก็คิดว่าคงดีหากเซี่ยเหวินปิงได้งานอีกคนเหมือนกัน เพราะเธอรู้มาว่าเซี่ยเหวินปิงทำเฟอร์นิเจอร์ได้ดีมาก น่าจะช่วยได้มากแน่นอน

เมื่อเห็นเซี่ยเหวินปิงขอให้ลูกสาวช่วยหางานให้ ฉินเจี้ยนเซ่อก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดในทันที บางทีลูกสาวอาจหางานในเมืองหลวงให้พวกเขาได้จริง ๆ เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อย หากหารายได้ในปักกิ่งได้ เช่นนั้นก็คงดีกว่าอยู่บ้านแน่นอน เขาจึงรีบหันมองภรรยา

ซูหว่านอี๋เห็นความตื่นเต้นของสามี ก็อดพูดไม่ได้ “เอาไว้ค่อยคุยกันทีหลังเถอะค่ะ หางานในปักกิ่งไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนี้ ก็สงบสติอารมณ์ลง

“ได้ เอาไว้ค่อยคุยกัน”

กลุ่มคนพูดคุยกันขณะดูเด็ก ๆ ไปด้วย จึงไม่รู้สึกเบื่อ หลังจากมาถึงปักกิ่ง สีของท้องฟ้าก็เริ่มมืดลงแล้ว

หลังจากลงรถไฟ เหยาจิ้งจือก็อดพูดไม่ได้ “พวกเราไปค้างที่บ้านสหายเจี่ยงกันดีไหม”

หากมีเพียงฉินเคอวั่ง เช่นนั้นพวกเขาคงไปบ้านตระกูลเหยา แต่ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋ก็อยู่ด้วย เธอกลัวว่าพวกเขาจะรู้สึกอึดอัดหากไปบ้านตระกูลเหยา ไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีคุณนายเหยาอีกคน หากคุณนายท่านพูดจาอะไรไม่เหมาะสม เช่นนั้นเธอคงจะประหม่าเกินทน ไปบ้านตระกูลเจี่ยงจึงเป็นการดีกว่า

ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ก็พยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ก็ดีค่ะ พวกเราไปกันเถอะ”

ซูหว่านอี๋อดเอ่ยถามเสียไม่ได้ “พวกเราคนเยอะ จะไปรบกวนทางนั้นหรือเปล่า”

เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่หรอกค่ะ พ่อบุญธรรมเห็นพวกเราไปกันเยอะ คงดีใจมากแน่นอน”

เมื่อเห็นลูกสาวพูดแบบนี้ ซูหว่านอี๋ก็ไม่พูดอะไรอีก

เจี่ยงสือเหิงเห็นว่าพวกเขาไปหาก็รู้สึกดีใจมาก เมื่อเห็นเจ้าหนูน้อยทั้งสองคน ก็ยกยิ้มค้างไม่หุบ จากนั้นเขาก็อุ้มชิงชิงไป “ไหนขอตาดูหน่อยสิ เจ้าหนูชิงชิงของพวกเราตัวโตขึ้นแล้วหรือเปล่านะ”

ไม่ทราบว่าเป็นเพราะความประทับใจหรือไม่ เมื่อชิงชิงมองเจี่ยงสือเหิง หล่อนก็ส่งเสียงหัวเราะ

เมื่อเห็นดวงตาของเจ้าหนูน้อยยิ้มหยีอย่างมีความสุข เจี่ยงสือเหิงก็รู้สึกเหมือนใจละลายไปหมด “มู่หลาน ครั้งนี้พวกลูกอยู่กันให้นานหน่อยนะ“

แต่เขาก็ไม่ลืมพวกฉินเจี้ยนเซ่อกับเซี่ยเหวินปิง รีบเชิญพวกเขาไปดื่มชา ในขณะเดียวกันก็ได้คาดเดาเกี่ยวกับเรื่องที่ครอบครัวของมู่หลานมาที่เมืองหลวงแห่งนี้ด้วย เขาจึงอดมองแล้วพูดกับเคอวั่งเสียไม่ได้ “เคอสั่งเธอสอบเข้ามหาวิทยาลัยในปักกิ่งได้แล้วใช่ไหม ถึงได้มาพร้อมกับพวกพี่สาว?“

ฉินเคอวั่งยกยิ้มพยักหน้าแล้วตอบกลับ ”ใช่ครับคุณลุง ผมกับพี่สอบติดมหาวิทยาลัยกันแล้ว พี่ได้มหาวิทยาลัยปักกิ่ง ผมได้มหาวิทยาลัยชิงหัว เพราะฉะนั้นพวกเราก็เลยมาที่นี่ด้วยกัน แล้วครั้งนี้ก็มาร่วมงานแต่งของพี่หรูฮวานด้วยครับ“

เมื่อได้ยินเข่นนี้ แววตาของเจี่ยงสือเหิงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เขานึกไม่ถึงว่ามู่หลานกับเคอวั่งจะทำคะแนนได้ดีขนาดนี้ แต่ไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าตื่นเต้น “จริงเหรอเนี่ย ดีจังเลย พวกเธอสองพี่น้องนี่สุดยอดเหลอเกิน“

ลุงเจี่ยงที่อยู่เคียงข้างก็แตกตื่นช่นกัน

“คุณหนูน้อย พวกคุณเก่งเหลือเกินครับ” ทราบอยู่แล้วว่ามีคนเพียงน้อยนิดที่จะสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยชิงหวากับมหหาลัยปักกิ่งได้ แต่สองพี่น้องต่างสอบติด ช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน

ฉินเคอวั่งรู้สึกเขินคำชมนิดหน่อย “เป็นพี่สาวต่างหากครับที่ยอดเยี่ยม หล่อนสอนผมตั้งมากมาย และข้อมูลที่พี่เอามาให้ก็มีประโยชน์มาก ได้นำไปใช้ระหว่างสอบเยอะมากครับ”

เจี่ยงสือเหิงได้ยินเช่นนี้ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ย “แต่ถึงจะพูดอย่างนั้น เธอเองก็เก่งเหมือนกัน หากไม่ใช่เพราะตั้งใจอย่างหนัก ถึงจะมีข้อมูล ก็สอบเข้าไม่ได้หรอกนะ”

ท้ายที่สุดก็อดที่จะเสนอแนะขึ้นมาไม่ได้ “ในเมื่อเธอกับพี่สาวสอบติดมหาวิทยาลัยกันทั้งคู่ ทำไมพรุ่งนี้เราไม่จัดงานเลี้ยงฉลองการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสียเลยล่ะ”

ลุงเจี่ยงได้ยินคำพูดนี้ก็รีบกล่าวทันที “ผมจะให้คนไปจองร้านภัตตาคารปักกิ่งนะครับ พรุ่งนี้จะได้ฉลองกันให้เรียบร้อย”

ซูหว่านอี๋ได้ยินเช่นนี้ ก็รีบพูดทันที “ไม่ต้องหรอกค่ะ แบบนี้มันแพงเกินไป”

“ไม่แพงหรอกครับ เด็กทั้งสองคนทำข้อสอบได้ดีขนาดนี้ ยังไงก็ต้องเลี้ยงฉลองครับ” ขณะเจี่ยงสือเหิงเอ่ย ก็หันมองไปที่เหยาจิ้งจือแล้วถาม “นายท่านเหยาทราบเรื่องหรือยังครับ หากนายท่านเหยาทราบ จะต้องเลี้ยงฉลองเหมือนกันแน่นอน”

เหยาจิ้งจือส่ายหัว ก่อนจะเอ่ย “คุณท่านยังไม่ทราบค่ะ พวกเราออกจากสถานีรถไฟแล้วก็มาที่นี่เลย เดี๋ยวฉันจะแจ้งเขาภายหลังค่ะ”

ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ ก็คิดได้ว่ามาถึงเมืองหลวงแล้วแต่ยังไม่ได้ไปหาตระกูลเหยาเลย และนายท่านเหยาก็ดีกับพวกเธอมากด้วย “พวกเราไปหาคุณตากันหน่อยไหมคะ แล้วค่อยกลับมา”

“มู่หลาน พวกเธออยู๋ที่นี่เถอะ เดี๋ยวฉันกับเหวินปิงไปเอง เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเธอค่อยไปหา”

เหยาจิ้งจือคิด หากหล่อนไม่กลับไปในฐานะลูกสาวมันก็ดูไม่ค่อยดีนัก จึงตัดสินใจกลับไปที่บ้านตระกูลเหยาพร้อมกับสามีในช่วงเย็น

สุดท้ายเจี่ยงสือเหิงก็ขอให้คนช่วยขับรถพาเหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงไปบ้านตระกูลเหยา

เมื่อนายท่านเหยาได้พบพวกเขาก็ดีใจมาก หลังจากทราบว่ามู่หลานก็มาเมืองหลวงแล้วเหมือนกัน ก็อดพูดไม่ได้ “ทำไมถึงไม่พาญาติมาพักที่บ้านล่ะ”

“พ่อคะ ถ้ามาพักที่นี่พวกเขาอาจอึดอัดใจได้ จึงพาไปที่บ้านตระกูลเจี่ยงดีกว่าค่ะ” เมื่อพูดถึงเจี่ยงสือเหิงขึ้นมา เหยาจิ้งจือก็เอ่ยบอกเรื่องผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของฉินมู่หลานกับฉินเคอวั่งด้วยความตื่นเต้น และจะไปกินเลี้ยงฉลองที่ภัตตาคารในวันพรุ่งนี้

“จิ้งจือ เรื่องใหญ่แบบนี้ทำไมลูกถึงไม่บอกพ่อล่วงหน้าล่ะ”

นายท่านเหยารู้สึกตื่นเต้นมากเหมือนกัน แต่ไม่นานนักเขาก็พูดขึ้นมา “บ้านพวกเราควรจัดงานเลี้ยงฉลองบ้างเหมือนกันนะ ถ้าพรุ่งนี้ลูกกลัวว่าจะเร็วเกินไป ถ้าอย่างนั้นก็รออีกสักสองสามวันแล้วกัน แล้วค่อยเชิญคนมาร่วมงาน”

“พ่อคะ ไม่ต้องหรอกค่ะ แค่มาร่วมกินข้าวกันในครอบครัวก็พอแล้วค่ะ”

นายท่านเหยารู้สึกเสียดายนิดหน่อยเมื่อได้ยินแบบนี้ แต่ก็ยังพยักหน้าแล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ พรุ่งนี้พวกเราไปกัน”

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น เหยาจิ้งจือกับเซี่ยเหวินปิงก็กำลังยืนรอนายท่านเหยากับคุณนายเหยาอยู่ตรงหน้าประตู เพียงแต่ว่าท้ายที่สุดมีแค่นายท่านเหยาที่เดินออกมาจากประตูด้วยสีหน้ายับยู่

เหยาจิ้งจือมองเพียงแวบเดียวก็ทราบได้ทันที แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร “พ่อคะ พวกเราไปกันเถอะค่ะ”

สุดท้ายนายท่านเหยาก็เอ่ยอธิบายนิดหน่อย “ช่วงนี้แม่ของลูกร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่ วันนี้ก็เลยไม่ออกมาข้างนอก แต่พ่อก็ติดต่อญาติกับพวกเพื่อนฝูงเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวถึงเวลาพวกเขาจะไปที่ภัตตาคารทันที”

เหยาจิ้งจือยกยิ้ม แล้วเอ่ย “ค่ะ”

หลังจากหลายคนมาถึงบ้านตระกูลเจี่ยง นายท่านเหยาก็ทักทายฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋อีกครั้ง หลังจากนั้นคนกลุ่มหนึ่งก็เดินทางไปภัตตาคารด้วยกัน

เพียงแต่วันนี้ที่ร้านภัตตาคารปักกิ่งค่อนข้างวุ่นวายกว่าทุกวัน นอกจากพวกเขาที่มาเลี้ยงฉลองการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ก็มีคนที่นี่จัดงานเลี้ยงฉลองเข้ามหาวิทยาลัยด้วยเหมือนกัน และงานก็ไม่ใช่เล็ก ๆ จัดเป็นจำนวนกว่าสามสิบโต๊ะ

“ไอ้หยา…นายท่านเหยา สหายเจี่ยง พวกคุณมาที่นี่เพื่อร่วมฉลองให้ลูกสาวผมที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้เหมือนกันเหรอ รีบเข้ามาข้างในก่อนสิ”

เซี่ยฉางชิงเห็นนายท่านเหยาและคนอื่น ๆ ก็รีบยกยิ้มแล้วทักทาย แต่ในใจรู้สึกสงสัยบางอย่าง นายท่านเหยากับพวกคนอื่น ๆ มากันเยอะขนาดนี้ และมีบางคนเขาไม่รู้จักด้วย ไม่รู้เลยว่าเป็นใคร หลังจากนั้นเมื่อเขามองดู ก็ได้เจอคนที่คุ้นเคย แววตาจึงเต็มไปด้วยความแปลกใจ

“หว่านอี๋ เธอคือหว่านอี๋ใช่ไหม ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้” หลังจากพูดจบ เขาก็เอ่ยถามอีกครั้งด้วยความตื่นเต้น “พี่สาวเธอล่ะ เธอก็มาด้วยไหม?”

…………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

เจอคนรู้จักเข้าซะแล้ว แต่จะเป็นคนทางฝั่งไหนของครอบครัวซูกันนะ?

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท