ตอนที่ 268 ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป(1)
ตอนที่ 268 ไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป(1)
อาหารมื้อเที่ยงค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ยังมีอาหารหลายจานที่เซี่ยเจ๋อเหว่ยกับหลี่เสวี่ยเยี่ยนชอบกิน ซึ่งทั้งหมดเหยาจิ้งจือเป็นคนทำ
และอาหารที่ซูหว่านอี๋ทำส่วนใหญ่เป็นของโปรดของฉินมู่หลาน นอกจากนี้ยังทำขนมหวานบางอย่างที่จำได้ มีทั้งจ้าเกา* ถังหั่วเชา**และขนมไข่
*炸糕 ขนมแป้งทอดชนิดหนึ่ง ทำจากแป้งข้าวเหนียวสอดไส้ถั่วแดงแล้วนำไปทอด
**糖火烧 ขนมอบชนิดหนึ่งของปักกิ่ง ทำจากน้ำตาลทรายแดง แป้ง งาบด อบแล้วมีลักษณะกรอบร่วน
เจี่ยงสือเหิงเห็นจ้าเกาแล้วก็ได้แต่รู้สึกคิดถึงนิดหน่อย เขาจำได้ว่าสมัยเด็กกินสิ่งนี้บ่อย แต่เมื่อออกไปต่างประเทศก็ไม่ได้กินเลย หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสกินน้อยลงด้วย ดังนั้นจึงกินไปหลายชิ้นทีเดียว
หลี่เสวี่ยเยี่ยนก็ชอบขนมพวกนี้เหมือนกัน หลังกินหมดทุกอย่างแล้วและทราบว่าซูหว่านอี๋เป็นคนทำ ก็อดพูดไม่ได้ “คุณป้าคะ คุณป้าเก่งมากเลย ทำของพวกนี้ได้ด้วย อร่อยจริง ๆ เลยค่ะ รู้สึกว่าทำอร่อยกว่าร้านขนมที่ขายในตลาดอีก”
ซูหว่านอี๋ได้ยินแบบนี้ ก็อดยิ้มไม่ได้ “ถ้าชอบก็กินเพิ่มอีกสิ เอาไว้วันหลังป้าจะทำให้เธอกินอีกนะ”
หลี่เสวี่ยเยี่ยนได้ยินเช่นนี้ ก็รีบพยักหน้าทันทีก่อนจะเอ่ยขึ้น “ได้ค่ะ ขอบคุณค่ะคุณป้า”
แขกและเจ้าบ้านร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน แต่ครอบครัวของเซี่ยเจ๋อหลี่เพิ่งนั่งรถไฟมาถึงจึงรู้สึกเหนื่อยนิดหน่อย เพราะฉะนั้นเหยาจิ้งจือจึงคิดจะพาพวกเขากลับไปที่บ้านตระกูลเหยาก่อน
“มู่หลาน อาหลี่ เดี๋ยวพวกเราขอกลับไปที่บ้านก่อน พวกเธออยู่ที่นี่ใช้เวลาช่วงปีใหม่กับครอบครัวไปก่อนนะ เอาไว้วันที่สองค่อยไปที่บ้านตระกูลเหยา”
ฉินมู่หลานกับเซี่ยเจ๋อหลี่ต่างก็พยักหน้า
หลังจากที่เหยาจิ้งจือและคนอื่นไปแล้ว ฉินเจี้ยนเซ่อก็หันมองฉินมู่หลานแล้วเอ่ยถาม “มู่หลาน ถึงแม้ว่าเรื่องตกแต่งบ้านจะเป็นหน้าที่ของเราแล้ว แต่ลูกมีความคิดของตัวเองบ้างไหม”
เซี่ยเจ๋อหลี่ได้ยินแบบนี้ก็หันมองฉินมู่หลานด้วยเหมือนกัน เพราะสุดท้ายแล้วก็ต้องอยู่กันเอง คงจะดีกว่าหากทำตามความชอบของตัวเอง
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็อดพูดไม่ได้ “จริง ๆ แล้วถ้าได้แบบบ้านของพ่อบุญธรรมนี้ก็ดีมากเลยค่ะ พวกเราจะตกแต่งแบบนี้ก็ได้นะคะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เจี่ยงสือเหิงก็หันมองฉินมู่หลานพร้อมรอยยิ้มแล้วเอ่ย “จริงเหรอเนี่ย ที่แท้มู่หลานก็ชอบแบบนี้นี่เอง พ่อคิดว่าหนุ่มสาวจะชอบแบบที่ทันสมัยกว่านี้เสียอีก”
ฉินมู่หลานส่ายหัว แล้วพูด “ฉันยังคงชอบสไตล์จีนดั้งเดิมอยู่ค่ะ” แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังหันไปมองแล้วเอ่ยถามความเห็นของเซี่ยเจ๋อหลี่ด้วย “แล้วคุณล่ะคะ ชอบแบบไหน”
“ผมก็ชอบแบบนี้เหมือนกัน”
เมื่อเห็นเซี่ยเจ๋อหลี่พูดแบบนี้ ฉินเจี้ยนเซ่อก็อดพูดแนะนำเสียไม่ได้ “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาตกแต่งบ้านหลังนั้นให้เหมือนบ้านของเจี่ยงสือเหิงดีกว่า”
“ได้ค่ะ”
ทั้งฉินมู่หลานและเซี่ยเจ๋อหลี่ต่างไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ
ส่วนฉินเคอวั่งอดถามเจี่ยงสือเหิงเสียไม่ได้ “ลุงเจี่ยงครับ ผมขอลองเดินดูห้องทุกห้อง แล้วขอวาดรูปเก็บไว้ได้ไหมครับ?”
พวกเขาอยู่อาศัยที่บ้านตระกูลเจี่ยงในฐานะแขก ส่วนใหญ่จึงอยู่ที่ห้องโถง ไม่ได้ไปที่อื่นเลย แต่เมื่อพี่สาวอยากได้บ้านแบบนี้ เช่นนั้นก็ควรจะหาข้อมูลอ้างอิงให้ดี
เจี่ยงสือเหิงได้ยินดังนี้ ก็ยกยิ้มแล้วเอ่ย “ได้อยู่แล้ว”
แต่ฉินมู่หลานคิดไปถึงสวนหลังบ้านที่กว้างใหญ่เช่นนั้น จึงเสนอความคิดของตัวเองขึ้นอีกนิดหน่อย
“พ่อคะ ฉันจำได้ว่ายังมีสวนหลังบ้านด้วย ถึงตอนนั้นก็ลองขุดหน้าดินสักส่วนหนี่ง แล้วปลูกผักบางชนิดได้นะคะ”
ตอนแรกฉินเจี้ยนเซ่อกับเซี่ยเหวินปิงก็คิดแบบนี้ แต่ก็คิดได้อีกครั้งว่าที่นี่คือปักกิ่ง แล้วบ้านหลังนั้นก็ไม่เหมาะที่จะทำฟาร์ม พวกเขาจึงไม่หยิบยกความคิดนี้ขึ้นมา ไม่คิดเลยว่ามู่หลานจะเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาด้วยเหมือนกัน แววตาของฉินเจี้ยนเซ่อจึงเป็นประกาย ก่อนจะเอ่ยเพื่อความแน่ใจ “ลูกแน่ใจนะว่าจะขุดเปิดหน้าดินเพื่อเพาะปลูกผัก?”
“ใช่ค่ะ ถึงจะปลูกได้แค่ต้นหอมกับกระเทียมเพียงบางส่วนเท่านั้น แต่ก็ปลูกได้อยู่ เวลาทำอาหารอะไรก็จะได้เด็ดใช้ได้ตลอด”
ฉินเจี้ยนเซ่อเห็นว่าลูกสาวอยากจะขุดเปิดหน้าดินเพื่อทำการเพาะปลูกจริง ก็ได้แต่รู้สึกดีใจ
“ได เดี๋ยวพรุ่งนี้พ่อจะบอกเหวินปิง หลายวันมานี้พวกเรากำลังยุ่งอยู่กับการออกแบบสวนหลังบ้านนั่นแหละ หลัวจากนี้ตรงส่วนนั้น พวกเราสองคนจะได้ลงมือทำกันให้เสร็จเลย หลังจากนั้นค่อยไปทำตรงส่วนหน้าบ้าน มันยังต้องออกแบบแล้วจัดให้สวยงามกว่านี้อีกหน่อย จะได้เหมือนของสือเหิง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉินมู่หลานก็พูดพร้อมรอยยิ้ม “ค่ะ เป็นหน้าที่ของพวกพ่อแล้วค่ะ”
ซูหว่านอี๋เห็นว่าสามีมีพลังเต็มเปี่ยม ก็อดยิ้มไม่ได้ “พรุ่งนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า คุณกับญาติลูกเขยจะยังไปทำงานกันเหรอ ไม่รอไปหลังปีใหม่เล่า”
ฉินมู่หลานก็พูดขึ้นเช่นกัน “ใช่ค่ะพ่อ ไม่ต้องกังวลมากหรอกค่ะ”
ถึงอย่างไรฉินเจี้ยนเซ่อก็ยกยิ้มแล้วโบกมือ ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ไม่เป็นไรหรอก พวกเราชอบให้มีงานยุ่ง ๆ อยู่แล้ว ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันส่งท้ายปีเก่า แต่พวกเราก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว ไปทำงานที่บ้านหลังนั้นดีกว่า”
เมื่อเห็นสามีพูดแบบนี้ ซูหว่านอี๋จึงไม่พูดอะไรอีก
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นพ่อตาเป็นแบบนี้ ก็หันไปพูดกับฉินมู่หลาน “ผมรู้สึกว่าพ่อของคุณกับพ่อของผมพวกท่านกระตือรือร้นเรื่องตกแต่งบ้านมากเลยนะ ไม่สร้างทีมงานก่อสร้างเหรอ พวกท่านแค่สองคนทำกันเองก็คงไม่ไหว”
“หากพวกพ่ออยากทำ ก็ให้พวกท่านได้ลองทำดูสักหน่อย เวลาทำสำเร็จขึ้นมา พวกท่านจะได้มีแรงใจ เดี๋ยวถึงตอนนั้นก็จะได้ไปเรียกลูกพี่ลูกน้องของฉันอีกสองคนมาช่วยด้วย ส่วนเรื่องการออกแบบถ้ามันไม่ได้จริง ๆ ก็เดี๋ยวจ้างคนอื่นก็ได้ แต่ก็ต้องหาคนที่ไว้ใจเนื้องานได้ด้วย”
เซี่ยเจ๋อหลี่เห็นว่าภรรยาของเขาสนับสนุนมากขนาดนี้ ก็อดยิ้มไม่ได้ “ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็ให้พวกท่านลองทำดูก่อน ผมเองก็มองออกว่าตั้งแต่แม่กลับเข้าตระกูลเหยา พ่อก็ดูวิตกกังวลนิดหน่อย หากมีเรื่องที่ให้เขาทำได้ก็ดี บางทีพ่ออาจะหางานทำได้”
“ใช่แล้ว ให้พวกพ่อลองทำดู นอกจากนี้พ่อยังเคยพูดเอาไว้ด้วยว่าเรื่องพวกนี้เป็นสิ่งที่เขาทำได้ดี ครั้งนี้ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีนะ”
อันที่จริงนอกจากเซี่ยเหวินปิงแล้ว ฉินเจี้ยนเซ่อก็อยากคว้าโอกาสนี้เอาไว้เช่นกัน
ตั้งแต่มาถึงปักกิ่ง เขาก็ได้เห็นสิ่งต่าง ๆ มากมาย และยิ่งไปกว่านั้นภรรยายังเคยเป็นคุณหนูอยู่ที่ปักกิ่งด้วย เมื่อภรรยามาแต่งงานกับตัวเองจึงเกิดรู้สึกผิด ดังนั้นเขาจึงอยากออกมาทำงาน ทำให้สภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น ภรรยาจะได้ไม่ต้องลำบากที่อยู่ใช้ชีวิตร่วมกับเขา
ดังนั้นเมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินเจี้ยนเซ่อก็ตรงไปหาเซี่ยเหวินปิง และทั้งสองก็มุ่งหน้าไปที่บ้านหลังนั้นอีกครั้ง ถึงแม้ว่าคนจะยังไม่พอ แต่พวกเขาทั้งสองคนก็สามารถทำอะไรได้หลายอย่าง ส่วนฉินเคอวั่งยังอยู่ที่บ้านตระกูลเจี่ยง เพื่อวาดภาพต่อไป
ตอนแรกเจี่ยงสือเหิงคิดว่าฉินเคอวั่งจะวาดเพียงรูปภายง่าย ๆ แต่หลังจากที่เขาได้เห็นรูปภาพที่ฉินเคอวั่งวาด ก็อดพูดไม่ได้ “เคอวั่ง เธอวาดสวยจังเลย”
“ขอบคุณครับลุงเจี่ยง จริง ๆ แล้วผมมีความสนใจในด้านนี้มาตลอด เพียงแต่ว่าไม่เคยมีโอกาสได้เจอบ้านที่ดีขนาดนี้มาก่อนครับ ส่วนมากเห็นแต่บ้านที่พวกชาวบ้านช่วยกันสร้างในหมู่บ้าน แต่ทุกครั้งที่พ่อของผมไปช่วย ผมก็จะคอยตามไปตลอด เพื่อจะดูว่าคนพวกนั้นสร้างบ้านกันยังไง”
เจี่ยงสือเหิงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าแล้วกล่าว “เคอวั่ง ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้ตัวเธอเองจะตั้งใจมาตลอด ดูจากภาพที่เธอวาด หากว่าเธอสนใจอย่างที่ว่าจริง ฉันก็พอจะช่วยแนะนำคนให้ได้นะ เป็นไปได้ก็ควรจะเชิญคนระดับอาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็จะเรียนรู้หลายสิ่งหลายอย่างได้เยอะเลย”
ตอนแรกเจี่ยงสือเหิงไม่ได้มีความคิดนี้ เพราะเขาทราบดีว่าอีกฝ่ายไม่ยอมรับคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต่อให้คน ๆ นี้จะสอบเข้าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยชิงหัวได้แล้วก็ตาม คนผู้นั้นก็ไม่ยอมรับ แต่เมื่อได้เห็นฝีมือการวาดภาพของฉินเคอวั่งแล้ว จึงทราบได้ทันทีว่าฉินเคอวั่งมีความสามารถสูงมาก บางทีอีกฝ่ายอาจจะลองพิจารณาดูก็ได้
จะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้ผลหากไม่ลองลงมือทำเสียก่อน
และเมื่อฉินเคอวั่งได้ฟังคำพูดของเจี่ยงสือเหิง ก็เอ่ยขอบคุณทันที
“ขอบคุณครับลุงเจี่ยง อีกฝ่ายเป็นอาจารย์สถาปัตยกรรมหรือครับ?”
เจี่ยงสือเหิงพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ใช่ เขาเก่งมาก แต่เธอจะได้เป็นลูกศิษย์ของเขาหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเธอแล้วล่ะ ถึงแม้ว่าในสายตาของฉัน ภาพวาดของเธอจะดูสวยมาก แต่บางทีในสายตาของเขา อาจจะยังรู้สึกไม่ค่อยดีพอ เพราะฉะนั้นเธออย่าเพิ่งตั้งความหวังเอาไว้สูงเกินไป ถึงตอนนั้นจะได้ไม่ผิดหวังนะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ขอให้ได้งานที่ชอบกันนะคะ เพื่อที่จะได้มีสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจขณะอยู่ในเมืองหลวง
ไหหม่า(海馬)