ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 273 ทำได้

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 273 ทำได้

ตอนที่ 273 ทำได้

โจวเหยียนได้ยินดังนี้ก็มีสีหน้าประหลาดใจ

เหลียวถงที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วนิดหน่อย ตอนแรกเขาค่อนข้างประทับใจในตัวพี่สาวของลูกศิษย์ แต่ตอนนี้เธอกลับเสนอตัวที่จะตรวจชีพจรของภรรยา นี่หมายความว่าอย่างไรกัน คิดว่าภรรยาของเขาป่วยอย่างนั้นเหรอ แบบนี้มันหยาบคายเกินไปแล้ว

เมื่อเห็นสีหน้าที่ไม่สู้ดีนักของเหลียงถงกับโจวเหยียน ซูหว่านอี๋ก็อดหันมองลูกสาวเสียไม่ได้

แต่เจี่ยงสือเหิงกลับมองเหลียงถงด้วยท่าทางเคร่งขรึมแล้วพูดขึ้น “เหล่าเหลียง นายให้มู่หลานตรวจชีพจรของพี่สะใภ้เถอะ ฝีมือทางการแพทย์ของมู่หลานดีมาก หล่อนพูดแบบนี้คงมีเหตุผลบางอย่าง”

เหลียงถงอดหันมองเจี่ยงสือเหิงเสียไม่ได้หลังได้ยินดังนี้ แต่เจี่ยงสือเหิงก็เอ่ยต่อไป “ขณะที่ฉันอยู่ซานตงและเกือบจะเอาชีวิตไม่รอด ตอนนั้นก็คิดว่าชีวิตของฉันจบสิ้นแน่นอน แต่ฉันกลับโชคดีมากที่ได้มาเจอมู่หลาน หล่อนเป็นคนช่วยชีวิตฉันจนหายจากโรคภัยไข้เจ็บ เพราะฉะนั้นนายรีบให้มู่หลานตรวจพี่สะใภ้เถอะ”

เหลียงถงมองรูปลักษณ์อันงดงามและอ่อนเยาว์ของฉินมู่หลาน รู้สึกว่ามันดูไม่เข้ากับ ‘ทักษะทางการแพทย์สูง’ เลยสักนิด กระนั้นเขาก็รู้จักนิสัยของเจี่ยงสือเหิงดี ทราบว่าอีกฝ่ายไม่มีทางโกหกตน สุดท้ายจึงยอมพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ตกลง ถ้าอย่างนั้นก็ให้หมอฉินลองตรวจภรรยาฉันหน่อย”

หากพี่สาวของลูกศิษย์มีทักษะทางการแพทย์ เห็นได้ชัดว่าเธอต้องเป็นหมอ

เมื่อโจวเหยียนเห็นว่าสามีตอบตกลง หล่อนก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากนั้นก็นั่งลงแล้วหันมองมู่หลานพร้อมรอยยิ้มก่อนจะกล่าวว่า “หมอฉิน ถ้าอย่างนั้นต้องขอรบกวนเธอหน่อยแล้ว”

ฉินมู่หลานรีบส่ายหัว แล้วนั่งลงด้วยทันที ก่อนจะลองตรวจชีพจรของโจวเหยียนอย่างถี่ถ้วน

อันที่จริงตอนเห็นโจวเหยียนครั้งแรก เธอก็มีความสงสัยว่าอาการแสดงของโจวเหยียนจะเกี่ยวข้องกับเนื้องอกในต่อมใต้สมอง เพราะอาการแสดงดังกล่าวเป็นอาการของโรคอะโครเมกาลี โดยเฉพาะใบหน้าและโพรงจมูกขยายใหญ่ ริมฝีปากหนาขึ้น ตอนนี้เมื่อได้จับชีพจรของหล่อนแล้ว เธอก็ยิ่งมั่นใจมากขึ้น

หลังจากฉินมู่หลานดึงมือกลับแล้ว โจวเหยียนก็อดหันมองแล้วเอ่ยถามเสียไม่ได้ “หมอฉิน ร่างกายของฉันผิดปกติตรงไหนหรือเปล่า?”

ฉินมู่หลานแน่ใจแล้วว่าโจวเหยียนมีเนื้องอกที่ต่อมใต้สมอง เพียงแต่ว่า…ปีนี้เครื่องซีทีแสกนกำลังจะเข้าโรงพยาบาลปักกิ่งอย่างเป็นทางการ ตอนนี้จึงยังไม่มีเครื่องมือที่สามารถตรวจได้ เธอจึงคิดอย่างถี่ถ้วนก่อนจะเอ่ย “คุณป้าคะ ช่วงนี้คุณป้าตาพร่ามัวนิดหน่อยใช่ไหมคะ บางครั้งก็มีอาการปวดหัวด้วย”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ โจวเหยียนก็หันมองฉินมู่หลานด้วยความแปลกใจ ก่อนจะพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ เป็นอย่างนั้นเลย ฉันคิดว่าน่าจะพักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ฉันปวดหัวมาก บางครั้งก็ทำให้สายตาพร่ามัว”

“จริง ๆ แล้วไม่ใช่อาการของการพักผ่อนไม่เต็มที่นะคะ แต่ว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นในสมองของป้า นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ค่ะ”

“อะไรนะ…”

โจวเหยียนมีสีหน้าประหลาดใจสุดขีด นอกจากนี้ยังกังวลนิดหน่อย กลัวว่าสิ่งที่ฉินมู่หลานพูดจะเป็นเรื่องจริง

แต่เหลียงถงที่อยู่ด้านข้างกลับขมวดคิ้วแล้วพูดขึ้น “ไม่มีทางหรอก เธอแค่ตรวจชีพจรจะไปบอกอะไรได้ แล้วภรรยาของฉันก็สบายดี นอกจากที่ปวดหัวเรื่องที่พักผ่อนไม่พอก็ไม่มีอาการอะไรแล้ว”

ขณะที่ฉินมู่หลานกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง เจี่ยงสือเหิงก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง

“เหล่าเหลียง ถ้ามู่หลานบอกแบบนั้น ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเป็นเรื่องจริงแน่ หล่อนไม่เอาเรื่องพวกนี้มาล้อเล่นแน่นอน นอกจากนี้ฝีมือการรักษาของหล่อนก็ดีมากด้วย แค่ตรวจชีพจรก็บอกสภาพร่างกายของคนนั้นได้ เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยปะละเลยร่างกายของพี่สะใภ้เลย”

เมื่อเห็นเจี่ยงสือเหิงเชื่อตัวเองอย่างสุดใจ ฉินมู่หลานก็รู้สึกซึ้งใจนิดหน่อย พ่อบุญธรรมเยินยอเธอจนเกือบจะลอยขึ้นไปบนฟ้าอยู่แล้ว ถึงแม้เธอจะพอทราบอาการของคนอื่นได้หลังจากคลำชีพจรอย่างคร่าว ๆ แล้ว แต่ก็ไม่สามารถรู้ทุกสิ่งได้

เหลียงถงเห็นเจี่ยงสือเหิงดูจริงจัง สุดท้ายก็ใส่ใจขึ้นมา

“ขอบคุณหมอฉินมาก แต่ฉันอยากจะพาภรรยาไปตรวจที่โรงพยาบาลสักหน่อย”

ฉินมู่หลานทราบว่าอายุตนเองเพิ่งจะเท่านี้ จึงไม่ใช่ทุกคนที่จะเชื่อในทักษะทางการแพทย์ของเธอ จึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้ค่ะ พวกคุณจะไปตรวจดูที่โรงพยาบาลก็ได้ ทางที่ดีควรไปตรวจที่โรงพยาบาลปักกิ่ง ติดที่ว่า…ตอนนี้โรงพยาบาปักกิ่อาจจะยังไม่มีเครื่องมือ แต่เดี๋ยวปีนี้ก็จะเข้ามาแล้วค่ะ ถึงตอนนั้นพวกคุณก็ลองไปตรวจดูแล้วก็จะทราบเอง ถ้ายังไม่วางใจก็ลองไปตรวจที่ต่างประเทศดูได้ ตอนนี้ที่ต่างประเทศมีเครื่องมือที่ชื่อว่าซีทีแสกนอยู่แล้วค่ะ สามารถไปตรวจได้ทันทีเลย”

เหลียงถงเห็นว่าสิ่งที่ฉินมู่หลานพูดนั้นชัดเจนและสมเหตุสมผล จึงค่อนข้างมั่นใจนิดหน่อยแล้ว กระนั้นเขาก็คิดจะพาภรรยาไปตรวจที่โรงพยาบาลอยู่ดี

“ได้ พวกเราจะจำเอาไว้ ขอบคุณหมอฉินนะครับ”

เจี่ยงสือเหิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยพูดอีก “ฉันรู้จักกับพวกต่างชาติอยู่นะ อยากให้ติดต่อให้ไหม ฉันช่วยนายนิดต่อได้นะ“

”เอาเถอะสือเหิง ฉันเข้าใจแล้ว”

เหลียงถงไม่มีอารมณ์จะพูดคุยกับฉินมู่หลานและคนอื่นอีกแล้ว จึงเอ่ยด้วยสีหน้าเสียใจ “พวกเราไม่รบกวนเวลาพวกนายแล้วล่ะ กลับไปเถอะ“

”ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกเรากลับก่อนนะ“

เจี่ยงสือเหิงบอกกล่าวเพิ่ม จากนั้นก็พาพวกฉินมู่หลานกลับ

หลังจากกลับถึงบ้าน ซูหว่านอี๋ก็อดหันมองลูกสาวแล้วเอ่ยถามเสียไม่ได้ ”มู่หลาน อาจารย์หญิงของเคอวั่งมีอะไรบางอย่างอยู่ในสมองจริงเหรอ?“

”ใช่ค่ะ เป็นเนื้องอกต่อมใต้สมอง จริง ๆ แค่มองหน้าหล่อนก็มองออกแล้วค่ะ ทางที่ดีควรจะผ่าตัดเอามันออก“

เมื่อเห็นลูกสาวพูดยืนยัน ซูหว่านอี๋ก็ทราบได้ทันทีว่าต้องเป็นเรื่องจริง จึงอดกังวลใจไม่ได้ “นี่…เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตอนนี้พวกเขาก็คงกังวลใจแน่”

ถึงอย่างนั้นเจี่ยงสือเหิงก็หันมองแล้วเอ่ยถามฉินมู่หลาน “มู่หลาน ลูกผ่าตัดอาการแบบนี้ได้ไหม?”

ฉินมู่หลานพยักหน้าหนักแน่นแล้วเอ่ย “ฉันทำได้ค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี เดี๋ยวพ่อจะเกลี้ยกล่อมเหล่าเหลียงให้ เขาควรจะเชื่อสักหน่อย แต่นี่ไม่เชื่อลูกเลยสักนิด”

“ค่ะ ถ้าอย่างนั้นรบกวนพ่อด้วยนะคะ”

แต่สิ่งที่ฉินมู่หลานไม่ทันคาดคิดก็คือ เจี่ยงสือเหิงยังไม่ได้ไปเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย เหลียงถงกับโจวเหยียนก็มาหาถึงหน้าประตูบ้านเสียแล้ว

“หมอฉิน คุณพูดถูกแล้ว ภรรยาของผมมีอะไรบางอย่างโตอยู่ในสมอง”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินมู่หลานก็หันมองด้วยความแปลกใจ ก่อนจะเอ่ยถาม พวกคุณไปตรวจกันมาแล้วเหรอคะ?”

เหลียงถงส่ายหัวแล้วเอ่ยขึ้น “เปล่าครับ ยังไม่ได้ตรวจ ผมไปพบหมอแพทย์แผนจีนอาวุโสคนหนึ่ง เขาก็คลำชีพจรแล้วบอกแบบเดียวกัน พวกเราขอโทษนะครับที่ไม่เชื่อใจคุณ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็ส่ายหัว แล้วเอ่ย “ไม่เป็นไรค่ะ ฉันก็เสียมารยาทเอง เจอกันครั้งแรกก็ขอตรวจชีพจรคุณป้าแล้ว แต่ว่าในกรณีของคนป้า การผ่าตัดจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดนะคะ“

เหลียงถงพยักหน้าแล้วพูดขึ้น “ใช่ครับ แพทย์แผนจีนอาวุโสยังบอกด้วยว่าควรผ่าตัดจะดีที่สุด เพราะฉะนั้นพวกเราสองสามีภรรยาจึงถือโอกาสลองหาดู”

เมื่อพูดถึงเรื่องนั้น สุดท้ายเขาก็เสนอจุดประสงค์ในการมาครั้งนี้ “ไม่ทราบว่าหมอฉินจะผ่าตัดได้ไหมครับ?”

แพทย์อาวุโสจีนคนนั้นไม่รู้วิธีการผ่าตัด พอไปพบแพทย์คนอื่น ต่างก็ปฏิเสธเขากันหมด

โจวเหยียนยืนอยู่ข้าง ๆ จ้องมองฉินมู่หลานด้วยความคาดหวัง ตั้งแต่ทราบว่าตัวเองป่วยจริง หลายวันมานี้หล่อนก็นอนไม่หลับ ร่างกายดูซีดเซียวไปหมด

ภายใต้สายตาคาดหวังของทั้งสองคน ฉินมู่หลานก็พยักหน้า แล้วเอ่ยขึ้น “ได้ค่ะ แต่ว่าฉันยังไม่ได้ทำงานในโรงพยาบาลเลย ไม่มีอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับผ่าตัดด้วย แถมยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับโรงพยาบาลปักกิ่งนัก ไม่รู้ว่าจะขอเขาใช้ห้องผ้าตัดได้ไหม นอกจากนี้ถ้าเป็นไปได้ฉันก็อยากให้คุณป้าไปทำซีทีสแกนมาก่อนค่ะ อย่างนั้นเราจะสามารถตัดสินจากภาพสแกนได้ว่าจะใช้วิธีไหนในการผ่าตัด”

“หมอฉินไม่ต้องห่วงเรื่องนี้ครับ ผมจะติดต่อให้เอง ส่วนเรื่องการตรวจนั้น เดี๋ยวผมจะพาภรรยาไปตรวจที่ต่างประเทศครับ”

เมื่อเห็นเหลียงถงพูดแบบนั้น ฉินมู่หลานก็ยกยิ้มแล้วพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ได้ค่ะ เดี๋ยวพวกคุณจัดการทุกอย่างแล้วติดต่อมานะคะ แล้วฉันจะไปทำการผ่าตัดให้คุณป้าเองค่ะ”

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

มู่หลานจะได้แสดงฝีมือการผ่าตัดแล้ว ขอแค่ห้องพร้อม อุปกรณ์พร้อม ผลตรวจชัดเจนว่าเป็นอะไรเท่านั้นแหละ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท