บทที่ 363 ใช่ เสี่ยวเป่ามีท่านพ่อแล้ว
บทที่ 363 ใช่ เสี่ยวเป่ามีท่านพ่อแล้ว
ดังนั้นยกเว้นบางคนที่ไม่พอใจ คนส่วนใหญ่ล้วนตื่นเต้นยินดีกับตำแหน่งรัชทายาท
อย่างไรเสียผู้ที่สนับสนุนองค์ชายใหญ่ก็มีเป็นส่วนมาก
แม้สีหน้าของหนานกงฉีซิวจะดูสงบนิ่ง ทว่าภายในใจนั้นสั่นไหวไม่น้อย ทั้งยังรู้สึกสับสนอยู่บ้าง
เสด็จพ่อแต่งตั้งให้เขาเป็นรัชทายาทอย่างนั้นหรือ
“ขอแสดงความยินดีกับพี่ใหญ่”
เสียงที่ดังจากด้านข้างดึงสติของเขากลับมาทันที
หนานกงฉีซิวหันไปมอง เป็นน้องสามของเขา
เขายกจอกแสดงความยินดีด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า
เหล่าน้องชายคนอื่น ๆ ก็ตามมาด้วย ต่างก็มีรอยยิ้มและคำอวยพรจากใจจริง
ไม่มีใครไม่เต็มใจ
“ยินดีด้วยพี่ใหญ่ ดื่ม!”
เสี่ยวเป่าฉวยโอกาส ชูจอกสุราที่ไม่รู้ว่านำมาจากที่ใดขึ้น ทว่าเมื่อกำลังยกขึ้นจะดื่มหนานกงฉีซิวก็จับมือนางเอาไว้
“ไม่ได้”
เสี่ยวเป่า “…”
นาง นางไม่ควรพูดเลย เมื่อครู่น่าจะแอบดื่มไปเสีย ฮึ่ม!
หนานกงฉีซิวยกยิ้ม เทสุราจำนวนมากในถ้วยออกมา เหลือไว้ด้านในเพียงเล็กน้อยเป็นชั้นบาง ๆ
“ดื่ม!”
วันนี้ทุกคนต่างมีความสุข เช่นนั้นก็ไม่ควรทำให้เด็กน้อยไม่มีความสุขสิ
ดวงตาของเสี่ยวเป่าเป็นประกาย คิ้วโค้งขึ้นดั่งจันทร์เสี้ยว ปากแย้มยิ้มจนเห็นฟันสีขาว
เหล่าพี่น้องยกถ้วยขึ้นพร้อมกัน เสี่ยวเป่าเองก็ยกขึ้นตาม
“สุราดี สุราดี” หลังลิ้นเล็ก ๆ เลียสุราจนเกลี้ยงถ้วย เสี่ยวเป่าก็ส่ายหัวแล้วรำพึงออกมาด้วยท่าทางน่ารักและน่าขันในคราวเดียวกัน
ทุกคนต่างหัวเราะอย่างอดไม่ได้
ประกายตาของหนานกงฉีซิวอ่อนลง รู้สึกโชคดียิ่งนักที่มีพี่น้องเช่นนี้
ทางด้านเยว่หลีนั้นเพิ่งได้ลองดื่มสุราเป็นครั้งแรก เขาไม่ได้ดื่มเหมือนผู้อื่น แต่หยิบถ้วยขึ้นมาเอาลิ้นเลียด้วยความอยากรู้อยากเห็นเหมือนแมว
แปลก ๆ นิดหน่อย ลองดูอีกสักทีดีกว่า
หลังจากนั้นก็เป็นส่วนของความรื่นเริง เน้นการร่ายรำและดนตรีเป็นหลัก
ท่าทางยินดีสนุกสนานของเหล่าพี่น้องดึงดูดสายตาของคนจำนวนไม่น้อย
เกิดอันใดขึ้น องค์ชายใหญ่ได้รับตำแหน่งรัชทายาท แต่องค์ชายคนอื่น ๆ ไม่สนใจเลยหรือ
ความสมานฉันท์นี่ผิดปกติเกินไปแล้ว!!!
ไม่รู้ว่าภายในใจมีแผนการอันใดอยู่บ้างหรือไม่ กระทั่งขุนนางฝ่ายรัชทายาททั้งหมดยังอดงุนงงสับสนไม่ได้ เหตุใดพี่น้องเหล่านี้ยังดูปรองดองกันมากกว่าเหล่าลูกเนรคุณในจวนพวกเขาอีก
หลังจากจบงานเลี้ยง หนานกงฉีซิวที่กล่าวอำลาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทุกคน เมื่อหันหลังกลับมาก็พบเข้ากับเหล่าน้องชายและท่านอาเจ็ดกำลังล้อมวงกันอยู่
เขาเดินเข้าไปดูก็พบเข้ากับขี้เมาที่มึนจนไม่อาจแยกทิศทางได้สองคน
หนึ่งร่างเล็กหนึ่งร่างใหญ่ใบหน้างดงามแดงระเรื่อ แก้มนุ่มนิ่มของเสี่ยวเป่าดูเหมือนกับผลท้อสุกงอม แววตาพร่าเลือนแต่นั่งนิ่งอย่างเชื่อฟัง ดูน่ารักน่าชังเป็นอย่างยิ่ง
อีกหนึ่งคนส่ายหัวไปมาด้วยความวิงเวียน มือเอื้อมออกไปคว้าอะไรบางสิ่งบนอากาศ ท่าทางดูโง่งมยิ่งนัก
“เยว่หลี ดูสินี่เท่าไหร่”
หนานกงฉีหลิงหยอกล้อเยว่หลี รอยยิ้มบนใบหน้าดูแล้วทึ่มทื่อ ไร้เดียงสาราวกับสุนัขตัวโต ชูสองนิ้วขึ้นถามคนเมา
เยว่หลีนั่งขัดสมาธิ สองมือเท้าคางเอียงศีรษะ ดวงตาสีม่วงจับจ้องไปที่นิ้วของเขาก่อนพูดออกมา
“นั่นคือมือ!”
“ฮ่า ๆ ๆ…”
ทุกคนหัวเราะลั่น สาเหตุหลักเป็นเพราะท่าทางมั่นใจของเยว่หลี
หนานกงฉีหลิงหัวเราะออกมายกใหญ่ “เจ้าโง่หรืออย่างไร ข้าถามว่ามีเท่าไหร่ เห็นชัด ๆ ว่าสาม!”
คนอื่นที่ยังไม่เมา “…”
เขาดื่มไปกี่จอกแล้ว เหตุใดจึงยังกล้าเอ่ยว่าคนอื่นโง่กัน
เสี่ยวเป่าใช้มือเล็ก ๆ จับคางแล้วเอ่ยงึมงำ “ผิดแล้วพี่ห้า”
แม้ว่าจะเมามาย แต่เสียงของเสี่ยวเป่าก็ยังคงอ่อนหวานราวน้ำผึ้ง
“เห็นได้ชัดว่าเป็นสอง”
ทุกคนส่งเสียงเอ๋ออกมา หนานกงหลีลูบหัวน้อย ๆ ของนางแล้วเอ่ยถาม “เสี่ยวเป่า เจ้ายังไม่เมาหรือ?”
เด็กน้อยเชิดหน้า จมูกรั้นขึ้นอย่างภาคภูมิใจ
“จะเมาได้อย่างไร เสี่ยวเป่าดื่มสุราเป็นแล้ว!”
หนานกงฉีหลิงดื้อดึง แย้งขึ้นมาอย่างจริงจัง “สาม!”
เสี่ยวเป่าตอบกลับเสียงดัง “ผิด สี่ต่างหาก!”
ทุกคน “…”
มุมปากของหนานกงหลีกระตุก “เจ้าบอกอีกครั้งสิว่าเท่าไหร่?”
เสี่ยวเป่าลืมตากว้างขึ้นด้วยความพยายามอย่างเต็มที่ “แปด!”
นางตอบด้วยความมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง
“นี่คือยังไม่เมาหรือ”
“เสี่ยวเป่า เจ้าเมาแล้ว”
“อ่า เมามากเสียด้วย”
หนานกงฉีหลิงหัวเราะร่า “ดูเสีย พวกเขาล้วนบอกว่าเจ้าเมาแล้ว ดังนั้นเจ้าต้องผิดอย่างแน่นอน!”
เสี่ยวเป่าพองแก้มเล็ก ๆ จนกลมป่อง ปากเม้มลงแน่น
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ เสี่ยวเป่าไม่ผิด พี่ห้าผิดแล้ว”
เยว่หลีสะอึกด้วยฤทธิ์สุรา “เสี่ยวเป่าไม่ผิด”
แม้ว่าเขาจะเมา แต่ยังเข้าข้างเสี่ยวเป่าอย่างแน่วแน่
ขี้เมาทั้งสามส่งเสียงโต้เถียงกันราวเป็ดไก่ไล่ตีกัน มีชีวิตชีวาเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นหนานกงสือเยวียนก็เดินเข้ามา เขาใช้มือเพียงข้างเดียวจับคว้าคอเสื้อของเสี่ยวเป่ายกขึ้น
เสี่ยวเป่าที่ร่างลอยอยู่กลางอากาศตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เริ่มเตะขาสั้น ๆ ไปมา
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย!”
ทั้งยังส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือดังลั่น
หลังจากนั้นร่างก็ถูกพลิกหันกลับเข้าสู่อ้อมกอดที่คุ้นเคย
เสี่ยวเป่าสะอึก ดวงตากลมโตช้อนขึ้นมองดูคนตรงหน้าด้วยแววตาว่างเปล่าสับสน
“ว้าว” เจ้าก้อนแป้งอ้าปากกว้างพร้อมดวงตาฉายแววประหลาดใจ
หนานกงสือเยวียนเลิกคิ้ว ต้องการจะดูว่าเด็กน้อยคิดทำสิ่งใด
เขาไม่ได้ตำหนิที่บุตรชายให้นางดื่มสุรา วันนี้พวกเขาต่างก็มีความสุข ให้นางดื่มสักหน่อยไม่นับว่าเป็นปัญหา
เสี่ยวเป่าที่เมามายแล้วไม่อาจรับรู้เข้าใจสิ่งใดแม้แต่น้อย
“ท่านอาสุดหล่อ จุ๊บ…”
นางโน้มตัวจูบใบหน้าของหนานกงสือเยวียนโดยไม่มีใครคาดคิด
ทุกคน “…”
ชั่วขณะนั้นเอง กระทั่งหนานกงฉีหลิงที่เมามายก็พลันได้สติกลับมาบางส่วน ดวงตาของเขาเบิกกว้างจับจ้องไปทางเจ้าก้อนแป้งที่ขวัญกล้าเทียมฟ้า
“คิกคิก… พี่ชายดูสิ เขาเหมือนกับท่านพ่อของเสี่ยวเป่าเลย”
น้องหญิง ตอนนี้พี่ชายอยากจะหนีไปเหลือเกิน เจ้าหยุดพูดได้หรือไม่
อย่างไรก็ตาม คำพูดชวนสั่นสะท้านของเจ้าก้อนแป้งก็ยังคงถูกเอ่ยต่อ “พี่ชาย พวกเรารีบเอาเขากลับไปเป็นท่านพ่อเถิด”
“อึก…”
เหล่าพี่ชายรีบใช้กลยุทธ์ถอยหนีเพื่อรักษาชีวิต ไม่กล้าแม้แต่จะมองสีหน้าของเสด็จพ่อ
หนานกงสือเยวียนถามด้วยความสงบนิ่งอย่างยิ่ง “เจ้าบอกว่าเจ้ามีท่านพ่อแล้ว แต่ยังต้องการแย่งข้ากลับไปเป็นท่านพ่อของเจ้าหรือ”
เสี่ยวเป่าเอียงหัวขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ใช่ เสี่ยวเป่ามีท่านพ่อแล้ว”
“ท่านพ่อ”
ทันใดนั้นนางก็กอดคอหนานกงสือเยวียนเอาไว้ ปากน้อย ๆ รำพึงออกมา
“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่าอยากกินเกาลัด ขนมอบไส้เนย ถังหูลู่ อมยิ้ม ช็อกโกแลต…”
ช่วงท่อนหลังยิ่งเอ่ยก็ยิ่งสับสน มันคืออันใดกัน
เหตุใดจึงคิดกระโดดไปมาเพียงนี้ พริบตาแรกต้องการจะแย่งชิงไปเป็นท่านพ่อ พริบตาต่อมาก็ร้องขอของกินเสียแล้ว
ประเด็นสำคัญคือด้านหน้าพวกเขายังฟังพอเข้าใจ แต่ด้านหลังต่างไม่รู้โดยสิ้นเชิงว่าคือสิ่งใด
หนานกงสือเยวียนตบหลังนางเบา ๆ “นอนเสีย”
เพราะในความฝันมีทุกสิ่ง