คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 428 ใครทนได้ แต่นางทนไม่ได้

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 428 ใครทนได้ แต่นางทนไม่ได้

ฉินหลิวซีได้ยินจากปากเติ้งฟู่ไฉว่าวัดหนี่ว์วาได้รับความนิยมมากไม่ใช่เพียงครั้งเดียว บัดนี้ดูท่าว่าจะไม่ใช่เรื่องโกหก หลังยามเที่ยงคนที่มาขอบุตรก็ไม่ได้ลดน้อยลง หากไม่เป็นคู่สามีภรรยามาด้วยกัน ก็เป็นฮูหยินพาสะใภ้มา หรือไม่ก็มาคนเดียวลำพัง

คนที่มากันเป็น ‘ครอบครัวสามคน’ อย่างพวกฉินหลิวซีจึงดึงดูดความสนใจอย่างมาก

ใช่แล้ว เพื่อไม่เห็นเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ฉินหลิวซีและเถิงเจาจึงเปลี่ยนชุด นางกลับมาสวมชุดสตรีที่เรียบง่ายและสง่างาม ส่วนเถิงเจาก็แต่งตัวเป็นคุณชายน้อย

เดิมทีเฟิงซิวยังคิดว่าฉินหลิวซีทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ด้วยความสามารถของนางแล้ว ประกอบกับมีปีศาจใหญ่ที่มีตบะบำเพ็ญเพียรนับพันปีอย่างเขาอยู่ด้วย จำเป็นจะต้องให้ค่าสือเจินคนชั่วนั่นถึงเพียงนี้ด้วยหรือ

แต่เมื่อเห็นได้ฉินหลิวซีแต่งตัวเป็นสตรี เขาก็รู้สึกว่าสือเจินคนชั่วมีประโยชน์อยู่บ้าง ดูครอบครัวของพวกเขาสิ หล่อก็หล่อ สวยก็สวย รูปร่างหน้าตาเป็นเลิศ คนที่เหลียวหลังมามองนั้นมีมากจนไม่มีใครเทียบได้

มีเพียงเติ้งต้าอู่เท่านั้นที่มองพวกเขาที่ราวกับเทพเซียนด้วยความตะลึงงัน

ท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์เป็นนักพรตหญิง!

เติ้งต้าอู่นั่งโง่ๆ บนเพลารถม้า มองพวกเขาเดินเข้าไปในวัดด้วยความสงสัย

และหลังจากที่เฟิงซิวเล่นหูเล่นตากับสะใภ้วัยเยาว์หน้าตางดงามคนหนึ่งอีกครั้ง ฉินหลิวซีก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป “เก็บเสน่ห์เอาไว้หน่อย อย่าทำให้สามีภรรยาเขาต้องแยกทางกัน”

เฟิงซิวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ความงามตามธรรมชาติยากจะละทิ้งได้ บุรุษที่งดงามอย่างข้า ไม่ว่าจะเก็บงำอย่างไรก็ไม่สามารถบดบังแสงได้”

เขาสะบัดแขนเสื้ออย่างที่คิดว่าสง่างาม ทำท่าราวกับว่าข้าคือคนที่งดงามที่สุดบนโลกใบนี้แล้ว เปล่งประกายออกมาด้วยความมั่นใจ

ฉินหลิวซีกลอกตาใส่เขา

นางเงยหน้าขึ้นมองวัดที่สร้างไว้กลางภูเขา เหนือประตูมีอักษรตัวใหญ่สามตัวคือคำว่า วัดหนี่ว์วา

เมื่อมองคนที่กำลังเดินขึ้นเขาก็เห็นว่ามีบางคนเดินไปพลางคุกเข่าสามครั้งคำนับเก้าครั้งเพื่อแสดงความจริงใจไปตลอดทาง

ฉินหลิวซีเยาะ “การแสวงบุญก็แค่นี้”

เฟิงซิวมองฮูหยินที่คุกเข่าสามครั้งคำนับเก้าครั้งพวกนั้นแล้วก็ถอนหายใจ “มนุษย์โลกเพื่อให้ได้มีทายาทแล้ว ถึงกับยอมสละเลือดเนื้อได้”

“ไปกันเถิด”

ทั้งสามคนเร่งฝีเท้าและเข้าไปในวัดหนี่ว์วา ด้านหน้าวัด เป็นพื้นที่เปิดโล่งที่จัดวางกระถางธูปขนาดใหญ่ มีน้ำพุอยู่ที่มุมด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ก้อนหินข้างๆ มีอักษรเขียนไว้ว่าน้ำพุกิเลน ฮูหยินสองคนกำลังยืนอยู่ข้างน้ำพุหยิบกระบวยตักน้ำพุขึ้นมาดื่ม

“เสแสร้งแกล้งทำ ฤดูหนาวเช่นนี้ ไม่กลัวหนาวบ้างหรือ” เฟิงซิววิจารณ์ออกมาคำหนึ่ง

ฉินหลิวซีมองไปรอบๆ นางหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง “ไม่มีกลิ่นอายชั่วร้ายรั่วไหลออกมาเลย”

เฟิงซิวเองก็เปิดดวงตาปีศาจของเขามองไปรอบๆ “ดูเหมือนว่าคนชั่วผู้นี้จะมีวิชาอยู่บ้าง คงจะใช้อะไรข่มกลิ่นอายชั่วร้ายเอาไว้ ก็จริง หากมองเห็นกลิ่นอายชั่วร้ายมหาศาลได้ตั้งแต่ไกลๆ นักพรตสายธรรมอย่างพวกท่านก็คงจะมาบุกรังแห่งนี้นานแล้ว”

ฉินหลิวซีเองก็อดระมัดระวังขึ้นอีกไม่ได้

เถิงเจาพยายามตั้งใจมอง ทั้งยังแอบรวบรวมพลังที่เขาฝึกฝนมาอย่างยากลำบาก แต่กลับมองอะไรไม่ออกเลยจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ดูท่าว่าเขาต้องฝึกฝนให้หนักกว่าเดิม จะได้สามารถไปถึงการมีพลังตบะระดับเดียวกับอาจารย์และอาจิ้งจอกเฒ่าได้ แค่มองแวบเดียวก็เห็นกลิ่นอายชั่วร้ายได้แล้ว

“ไม่ต้องใช้พลังแล้ว จะกินข้าวก็ต้องกินทีละคำ เจ้าฝึกจนได้พลังปราณแท้ได้เร็วอย่างนี้ ก็นับว่ามีพรสวรรค์อยู่บ้าง กังวลมากไม่ดี ใจร้อนไปก็ไม่ได้กินเต้าหู้ร้อนๆ” เฟิงซิวยืนอยู่ข้างๆ เถิงเจา แค่มองไปแวบเดียวก็ล่วงรู้ความคิดของเขาได้แล้ว จึงได้ตบไหล่เขา และเอ่ยด้วยท่าทางจริงจังอย่างหาได้ยาก “เมื่อเข้ามานับถือเต๋าแล้วก็ค่อยๆ ฝึกฝนบำเพ็ญไป จะต้องมีความอดทน ค่อยๆ ขัดเกลาไปทีละนิด ก็จะมั่นคงขึ้นได้ เจ้ายังอ่อนแอ จะต้องรักษาตัวเองให้ดี อย่าฝืน”

ฉินหลิวซีได้ยินแล้วก็ยิ้ม “เขาพูดถูกแล้ว มองไม่ออกก็ไม่ต้องฝืน รอให้พลังตบะของเจ้าแก่กล้าขึ้นย่อมจะมองออกเอง”

เถิงเจาได้รับคำชมก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา

เถิงเจาจึงรับคำด้วยเสียงทุ้มต่ำ ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก และกลับมาเก็บตัวเงียบเหมือนเดิม

เฟิงซิวเห็นอย่างนั้นก็จุ๊ปากขึ้นมาทีหนึ่ง เด็กน้อยนี่น่าเบื่อจริงๆ

พวกเขาทั้งสามเข้าไปในวัดแล้วก็รู้สึกแสบตาจนน้ำตาแทบไหลเพราะควันธูปอันฟุ้งตลบ

ฉินหลิวซีหลับตาลงก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง พอมองไปก็อิจฉาตาแทบระเบิด

“ควันธูปหนามาก!”

เถิงเจาเอ่ยออกมาก่อนเป็นคนแรก

ฉินหลิวซีกำลังจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เขาก็เอ่ยขึ้นมาอีก “ธูปหนากว่าที่อารามชิงผิงเสียอีก”

ฉินหลิวซี “…”

อิจฉาจนตาแทบระเบิด

ตัดคำว่าแทบทิ้งไปเถิด ตาระเบิดไปแล้ว

แค่วัดบันดาลลูกที่มารปีศาจชั่วผู้หนึ่งสร้างขึ้น กลับจุดธูปใหญ่กว่าอารามชิงผิงของพวกเขาเสียอีก

ใครทนได้ แต่นางทนไม่ได้!

พอเฟิงซิวเห็นแววอิจฉาวาบขึ้นในดวงตาฉินหลิวซี ก็เอ่ยขึ้นมาด้วยความไม่พอใจ “วัดชั่วๆ แบบนี้ก็คู่ควรให้จุดธูปหนาเพียงนี้เลยหรือ ฝันไปเถิด!”

พอเขาโบกมือ พลังปีศาจก็แผ่กระจายออกไป ธูปที่ลุกไหม้อย่างช้าๆ และหนาพอๆ กับแขนผู้ใหญ่ที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นก็ลุกไหม้อย่างรวดเร็วราวกับมีไฟกำลังเผามันอยู่

นอกจากนั้น ขี้ธูปก็ยังไม่ตกลงมา แต่กลับถูกลมม้วนพัดไปหล่นลงที่ใดก็ไม่รู้

ผ่านไปไม่ถึงสองชั่วลมหายใจ ธูปเล่มใหญ่หนาขนาดเท่าแขนคนนั้นก็ไหม้จนเหลือแค่ก้านโด่เด่

เถิงเจา “!”

ฉินหลิวซีรู้สึกสบายใจ และมองเฟิงซิวด้วยสายตาชื่นชม ไม่เจอกันนาน รู้จักสังเกตสีหน้าคนแล้ว ไม่เลว

เฟิงซิวเข้ามาใกล้ แล้วกระซิบใกล้หูนาง “คนที่รู้ใจท่านก็คือเฟิงซิวข้านี่เอง!”

แม่ชีสาวคนหนึ่งเดินออกจากประตูด้านข้างของโถงใหญ่ เบื้องหลังนางมีหญิงสาวที่มีรูปลักษณ์โดดเด่นใบหน้าแดงระเรื่อตามหลังมา นางกอดบางสิ่งที่ห่อไว้ด้วยผ้าสีแดงไว้ในอ้อมแขน สีหน้าดูตื่นเต้นเล็กน้อย

ฉินหลิวซีเหลือบมองหญิงสาว หัวใจเต้นรัว ปลายนิ้วสั่นเทา

ใบหน้าเปล่งปลั่ง หางตาแดงก่ำ สองเท้าล่องลอยเล็กน้อย ท่าเดินดูไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย คนผู้นี้เพิ่งจะ…

เฟิงซิวเห็นนางเดินมาก็ขยับเข้าใกล้ฉินหลิวซี เขาขมวดคิ้วพลางเอ่ย “บนร่างนางมีกลิ่นของการร่วมรักกับบุรุษ น่าขยะแขยงจริงๆ”

ฉินหลิวซีเอ่ยเย็นชา “วัดนี้สกปรกกว่าที่เราเห็น”

“รีบสู้กันให้จบไปดีกว่า อยู่นานๆ ข้ารังเกียจความสกปรก “เฟิงซิวทำสีหน้ารังเกียจขยะแขยง

แม่ชีน้อยสังเกตเห็นคนสามคนที่หน้าตาโดดเด่นนี้แล้ว ดวงตาวาบขึ้นแล้วก็เกิดความสงสัยเล็กน้อย “ท่านผู้ใจบุญมาที่นี่เพื่อขอลูกหรือ”

ฮูหยินน้อยท่านนั้นกล่าวลาแม่ชีน้อยแล้วเดินออกไป

เฟิงซิวอยากจะบอกว่าใช่

“ผู้ใจบุญท่านนี้แต่งตัวเป็นหญิงใช่หรือไม่” แม่ชีน้อยมองฉินหลิวซีด้วยท่าทางลังเล

สีหน้าฉินหลิวซีไม่มีเปลี่ยน นางเอ่ย “เราจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ ได้ยินมาว่าวัดหนี่ว์วาศักดิ์สิทธิ์เรื่องขอลูก จึงมาอธิษฐานกับเจ้าแม่ประทานบุตร เพื่อจะได้มีลูกทันทีหลังแต่งงาน”

เฟิงซิวหันหน้ามาเอ่ยพลางหว่านเสน่หา “น้องซีไม่ต้องห่วง ข้าจะพยายามอย่างดี”

เถิงเจาลูบหน้าผาก เหตุใดเขาจึงฟังเข้าใจนี่

แม่ชี้น้อยเองก็เหลือบตามองด้วยใบหน้าแดงก่ำ คุณชายท่านนี้หน้าตาดีจริงๆ ดวงตาคู่นั้นช่างดึงดูดนัก

ฉินหลิวซีเอ่ย “ไม่ทราบว่าจะต้องขอลูกอย่างไรหรือ ตอนนี้ผู้วิเศษสือเจินของวัดนี้อยู่หรือไม่ ข้าได้ยินมาว่า ถ้าอยากจะขอลูก จะต้องขอของวิเศษกลับไปบูชา?”

“ใช่แล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่ที่ใต้รูปปั้นเจ้าแม่ประทานบุตรหรือ? ตรงหน้ารูปปั้นนี้ไม่เห็นมีของวิเศษใดเลย?” เฟิงซิวจ้องหน้าแม่ชีน้อยนิ่ง ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “พาพวกเราไปที่ของวิเศษนั่นหน่อยเถิด”

ดวงตาของแม่ชีน้อยสับสนเล็กน้อย นางหันกลับมาเอ่ยว่า “ท่านผู้ใจบุญ โปรดตามข้ามา”

อยู่ที่อื่นจริงๆ ด้วย?

เฟิงซิวและฉินหลิวซีสบตากัน ก่อนจะเดินตามไป

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน