คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 432 เถิงเจาลงมือโหดเหี้ยม

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 432 เถิงเจาลงมือโหดเหี้ยม

หลังจากไล่เฟิงซิวไปแล้ว ฉินหลิวซีก็มีเวลาว่าง เมื่อมองขวดหยกที่เอวแล้วจึงตั้งแท่นพิธีที่ลานหลังบ้าน จุดธูป ก้าวเท้าตามตำแหน่ง ท่องคาถา เปิดประตูวิญญาณ และเชิญยมทูตมารับผีไป

เมฆดำทะมึนรวมตัวกัน ในบ้านสองสามหลังใกล้ๆ ร้านเฟยฉางเต๋า มีชายชราถือไม้เท้าคนหนึ่งกำลังจิ้มตุ๊กตาหิมะตัวเล็กๆ ที่หลานชายทำขึ้น ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมอง และเบิกตากว้าง

คนที่สวมหมวกสีดำและถือโซ่ที่เดินออกมาจากเมฆดำทะมึนนั้นคือยมทูตขาวดำใช่หรือไม่

จะมารับวิญญาณเขาหรือ

ตุบ

ไม้เท้าของชายชราหล่นลงพื้นเกิดเสียงดังทันที

ชีวิตข้าจบลงแล้ว

อย่างไรก็ตาม เฮยอู๋ฉังไม่ได้ลอยลงไปยังลานบ้านของเขา แต่ไปที่…

นั่นมันทางเดียวกับร้านที่ชื่อเฟยฉางเต๋ามิใช่หรือ

ฉินหลิวซีนึกไม่ถึงว่ายมทูตที่นางเชิญมาในครั้งนี้จะเป็นเฮยอู๋ฉัง หลังจากนางพบเขาครั้งสุดท้ายที่อาณาเขตควงซานก็ไม่ได้พบอีก

“ทุกวันนี้พวกยมทูตขี้เกียจกันมากหรือ ท่านเฮยอู๋ฉังถึงต้องมาด้วยตัวเอง” ฉินหลิวซีหยอกล้อ

เฮยอู๋ฉังยิ้ม “ข้าบังเอิญจับวิญญาณชั่วร้ายอยู่ในเมืองพอดี พอได้ยินท่านเรียกยมทูต ก็เลยมา กลัวว่ายมทูตตนอื่นที่ไม่รู้ความและทำให้ท่านขุ่นเคือง”

ฉินหลิวซีประสานมือ เริ่มพูดเรื่องวัดหนี่ว์วากันก่อน แล้วจึงปล่อยวิญญาณของสือเจินออกมา

ทันทีที่สือเจินออกมา เขาก็คิดจะหนีทันที

เฮยอู๋ฉังสะบัดโซ่จับวิญญาณออกไปมัดเขาไว้ทันทีด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะเอ่ยอย่างเย็นชา “มิน่าในช่วงสองปีที่ผ่านมาถึงได้มีวิญญาณทารกลดน้อยลงกว่าปีก่อนๆ มาก ที่แท้ก็มีนักพรตชั่วอย่างเจ้าทำเรื่องกลับชาติมาเกิด น่ารังเกียจจริง”

เขาขยับมือ กระชับโซ่แน่นเข้า ทันใดนั้นก็มีฟ้าร้องฟ้าผ่าดังออกมาจากโซ่ ทำให้สือเจินตกใจจนวิญญาณอ่อนแอลงและร้องขอความเมตตาไม่หยุด

“ใต้เท้าไม่ต้องกังวล นักพรตชั่วผู้นี้จะต้องได้ลงนรกชั้นที่สิบแปดเพื่อรับบาปทั้งหมดอย่างแน่นอน” เฮยอู๋ฉังรับปากกับฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีพยักหน้าอีกครั้ง ก่อนจะปล่อยวิญญาณทารกที่เก็บไว้ทั้งหมดและวิญญาณผู้บริสุทธิ์บางส่วนไปให้เฮยอู๋ฉังนำไป เอ่ย “ใต้เท้าเฮยอู๋ฉัง ขอเอ่ยอะไรด้วยสักหน่อย”

เฮยอู๋ฉังสะบัดโซ่จับวิญญาณ ยืดมันออกไปให้ไกลที่สุด ก่อนจะขยับเข้ามาข้างกายฉินหลิวซี

ฉินหลิวซีเอ่ยถึงเรื่องมารเอ้อฝูซื่อหลัว แม้แต่เรื่องกระดูกพุทธะก็ไม่ได้ปิดบัง

เมื่อได้ยินว่าซือหลัวมีแนวโน้มที่จะนำกระดูกพุทธะกลับมาและสร้างกายเนื้อของตนขึ้นใหม่ เฮยอู๋ฉังก็มีท่าทีเปลี่ยนไป “กระดูกพุทธะยังมีปรากฏอยู่หรือ”

ฉินหลิวซีพยักหน้า เหลือบตาไปมองเขา “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ถึงอย่างไรมันก็เป็นความประมาทเลินเล่อของยมโลกที่ปล่อยให้มันหลบหนีออกมาได้ ตอนนี้มันซ่อนตัวอยู่อย่างมิดชิด หากเขาคิดจะสร้างกายเนื้อขึ้นใหม่อย่างที่เราคิดจริงๆ เมื่อทำสำเร็จ เขาจะต้องก่อปัญหาอีกแน่นอน ถึงตอนนั้นมนุษย์จะเป็นอย่างไร ยมโลกจะต้องรับภาระหนัก ใต้เท้าอู๋ฉังจะต้องรายงานเรื่องนี้ต่อผู้มีอำนาจทุกท่านน่าจะดีกว่า”

สีหน้าของเฮยอู๋ฉังเปลี่ยนดำทะมึนเป็นเขียวคล้ำด้วยความโทสะ

“ขอบคุณที่ใต้เท้าแจ้งให้ทราบ ข้าจะต้องรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปอย่างแน่นอน”

ฉินหลิวซีโบกมือแล้วเอ่ย “ถ้าเช่นนั้นคงต้องรบกวนท่านแล้ว”

เฮยอู๋ฉังไม่มีกะจิตกะใจที่จะพูดคุยกับนางอีกต่อไป และรีบจากไปพร้อมกับผีทั้งยวง

เมื่อเขาหายลับไป แสงสีทองแห่งบุญก็ลอยไปทางฉินหลิวซี และบางส่วนก็ตกลงบนร่างของเถิงเจาและเฟิงซิว

เฟิงซิวเห็นแสงสีทองแห่งบุญลอยมาหาเขาก็เลิกคิ้ว และยกมุมปากขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มชั่วร้ายมีเสน่ห์

การเดินทางครั้งนี้ไม่ขาดทุน

ผู้ดูแลไหลที่กำลังรายงานอะไรบางอย่างยังใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ถ้าเขาเป็นหญิงสาว คงจะโดนเถ้าแก่ล่อลวงทั้งทางร่างกายและจิตใจไปแล้ว

พอกลับมาที่เรือนด้านข้างอันห่างไกลของนาง ฉินหลิวซีก็ได้ฟังปีศาจโสมน้อยฟ้องอย่างตีไข่ใส่สี

“ข้าคิดจะปกป้อง แต่ข้าก็กลายร่างไม่ได้ ไม่สามารถสู้จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ได้ มันก็เลยได้ใจ” ปีศาจโสมน้อยเอ่ย “ข้าบอกไปแล้วว่า ผลนั้นเป็นของที่ใต้เท้าต้องการ แต่เขาก็ไม่สนใจเลย”

นี่เป็นการยุแยงและใส่ความชัดๆ ความแค้นลึกล้ำจริงๆ

ฉินหลิวซีมองมันด้วยท่าทางเหมือนจะยิ้มก็ไม่ใช่ “เขาบำเพ็ญมาเป็นพันปีแล้ว เจ้าก็ฝึกฝนมาเป็นพันปีแล้ว แต่กลับไม่สามารถกลายร่างได้ด้วยซ้ำ วันๆ เอาแต่ขุดหนอนใต้ดินใช่หรือไม่!”

ปีศาจโสมน้อย “!”

มันคือโสม ไม่ใช่ปีศาจที่ได้รับคำสรรเสริญให้พร แล้วคิดจะกลายร่างก็ทำได้เลย?

มันโกรธเล็กน้อย “แม้ว่าข้าจะเปลี่ยนร่างไม่ได้ แต่ก็มีโสมอายุหลายพันปีจำนวนมากที่ไม่มีปัญญาด้วยซ้ำ รอให้คนมาจับไปทำยาเท่านั้น”

ฉินหลิวซีรับคำ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็เอาตัวรอดเก่งแล้ว”

ปีศาจโสมน้อยปิดปากเงียบ “…”

นี่มันด่าโสมนี่

“กลับลงไปในดินเถิด อย่ามาแสร้งทำตัวน่าสงสารที่นี่ ไม่เหมือนเลย” ฉินหลิวซีโบกมือ

“อ้อ”

ปีศาจโสมน้อยกลับมาที่กระถางดอกไม้อย่างหดหู่ใจ นั่งยองๆ และขุดดิน เผยให้เห็นกิ่งก้านและใบไม้ที่เหลืออยู่เพียงเล็กน้อยอย่างน่าสงสารหลังจากการต่อสู้กับเฟิงซิว

เถิงเจาเห็นเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ ข้ารดน้ำให้เขา ฝังหินหยกลงไปเพื่อเพิ่มพลังงานวิญญาณสักหน่อย”

ปีศาจโสมน้อยขยับตัว เป็นคนดีมากจริงๆ

ฉินหลิวซีไม่สนใจและอนุญาตให้ลูกศิษย์ของนางนำปีศาจโสมน้อยออกไป ส่วนนางก็รับชามาจากฉีหวง และถามเรื่องราวต่างๆ ในบ้าน

“นายน้อยฉุนและคนอื่นๆ กลับมาบ้านเมื่อไม่กี่วันก่อน ได้ยินมาว่าพวกเขาสอบผ่านแล้ว และสามารถเรียนในสำนักศึกษาต่อไปได้” ฉีหวงเอ่ย “ได้ยินลุงหลี่บอกว่า กิจการร้านผลไม้แช่อิ่มก็ไปได้ดีแล้ว มีเจ้าหน้าที่ประจำเมืองออกลาดตระเวนตามถนนเป็นประจำ จึงไม่มีใครมาหาเรื่องที่ร้านอีก ข้ายังไม่ได้ยินข่าวอะไรไม่ดีจากผีน้อยที่เฝ้าอยู่ที่นั่นด้วย”

ดูท่าอวี๋ชิวไฉจะรักษาคำพูด เขาบอกว่าจะส่งคนมาลาดตระเวนก็ส่งมาจริงๆ

“จริงสิ คุณหนู ญาติผู้พี่ของท่านยังให้สนับเข่ามาคู่หนึ่งด้วยเจ้าค่ะ” ฉีหวงหยิบห่อสัมภาระเล็กๆ มาจากชั้นวางแล้วเปิดออก ข้างในมีสนับเข่าคู่หนึ่ง ทำจากหนังหนูและผ้าฝ้าย ดูไม่แพง แต่การตัดเย็บประณีตมาก

ฉินหลิวซีหยิบมันขึ้นมาดูมันเล็กน้อย “วางไว้เถิด ถ้าเจ้าต้องการ ก็เอาไปใช้ได้เลย”

ด้วยตบะบำเพ็ญของนาง นางไม่ต้องการเสื้อผ้าหนาๆ เพื่อป้องกันความหนาวเย็น และไม่จำเป็นต้องใช้สนับเข่าด้วย

“นางทำมาให้ท่าน ก็ถือว่ามีน้ำใจ ข้าเห็นว่าสนับเข่าพวกนี้ทำมาอย่างหนา หากท่านสวมเวลานั่งคุกเข่าท่องพระสูตรก็จะหนาวน้อยลง” ฉีหวงเก็บมันไป

“พวกนางก็เรียบร้อยกันดี พวกฉินหมิงจูไม่ได้ก่อปัญหาอะไรใช่หรือไม่”

ฉีหวงเอ่ย “ข้ามองผ่านๆ แล้วก็เห็นว่า พวกคุณหนูรองไม่ได้ระมัดระวังเหมือนลูกพี่ลูกน้องคนอื่นๆ นัก แม้ว่าเสื้อผ้าของพวกนางจะไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อน แต่ย่าเล็กทางตงเป่ยก็ส่งของมาให้เมื่อเดือนที่แล้ว พวกคุณหนูรองจึงทำชุดใหม่ กระทั่งทำเสื้อคลุมกันลมด้วย เพียงแต่นึกรังเกียจว่าไม่มีหนังหรือขนดีๆ เท่านั้น”

ฉินหลิวซี “ได้หนึ่งจะเอาสอง ไม่ต้องไปสนใจหรอก ถึงอย่างไรฮูหยินผู้เฒ่าก็ไม่ได้พูดอะไร นางมองผ่านได้และสามารถรับความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดนี้ได้ ก็ไม่สำคัญอะไรกับเราแล้ว”

ฉีหวงยิ้ม นั่นก็จริง

ฉินหลิวซีสนทนากับนางอยู่พักหนึ่ง ในขณะที่เขากำลังจะไปที่ห้องยา ก็เห็นปีศาจโสมน้อยกรีดร้องขอความช่วยเหลือ และพุ่งเข้ามาหานางอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู

“ใต้เท้า ถ้าท่านไม่พอใจโสมน้อย ท่านสามารถตำหนิโสมน้อยได้ แต่ไม่จำเป็นต้องให้นักพรตน้อยเสวียนอีลงมือโหดเหี้ยมกับข้านี่!” โสมน้อยร้องห่มร้องไห้คลานขึ้นมาตามขากางเกงของนางอย่างน่าสงสาร เสียแรงที่นึกว่าเขาเป็นคนดี แต่กลับลงมือโหดเหี้ยมกับโสมได้

ฉินหลิวซีไม่เข้าใจความหมายของประโยคเหล่านี้ในทีแรก แต่หลังจากได้เห็นกิ่งก้านและใบไม้เป็นระเบียบเรียบร้อยเหนือหัวของมันแล้ว…

นางก็กระจ่าง!

เสียงหัวเราะดังลั่นลอยมาจากเรือนห่างไกล

คนหูไวได้ยินแล้วตกใจทันที คุณหนูใหญ่กลับมาแล้ว!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท