คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 436 ตระกูลติงรนหาที่ตาย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 436 ตระกูลติงรนหาที่ตาย

ครั้นเห็นสะใภ้หวังกลับมา อนุวั่นเองก็รุดหน้าเข้ามาปรนนิบัติอย่างรู้งาน หลังจากจัดแจงวางน้ำร้อนชาร้อนพร้อมกับเสิ่นหมัวหมัวเรียบร้อยแล้วถึงเดินออกไป

สะใภ้หวังเองก็โบกมือให้เสิ่นหมัวหมัวเช่นกัน จากนั้นถึงเอ่ยกับฉินหลิวซีว่า “ข้าได้ยินคำพูดที่เจ้าเอ่ยกับแม่เจ้าทั้งหมดแล้ว เจ้าอย่ารังเกียจที่แม่เจ้าโง่เขลานักเลย นางก็แค่เป็นคนใสซื่อ หนึ่งก็คือหนึ่ง สองก็คือสอง ไม่มีความคิดปลิ้นปล้อนแต่อย่างใด ดังนั้นไม่จำเป็นต้องหยั่งเชิงนางหรอก”

ท่วงท่าที่กำลังยกชาขึ้นมาของฉินหลิวซีหยุดชะงัก เงยหน้ามองนาง ยิ้มเจื่อนพลางเอ่ย “ท่านปกป้องนางขนาดนี้ ทำเอาข้าดูเป็นคนเลวไปเลย”

สะใภ้หวังยิ้ม “เจ้าวางมาดน่าเกรงขาม นางจึงกลัวเจ้า”

ฉินหลิวซีลูบไล้จมูก เอ่ยขึ้นว่า “นางโชคดีมากจริงๆ ที่พบเจอแม่ใหญ่อย่างท่าน หากเจอคนอย่างท่านอาสะใภ้รอง นางคงทุกข์ทรมานจนเปลี่ยนไปแล้ว นางจะยังงดงามดั่งบุปผาอย่างตอนนี้ ยืนหยัดรักษาความใสซื่อไร้เดียงสาอะไรนี่ได้อีกหรือ”

สะใภ้หวังจิบชาอึกหนึ่ง เอ่ย “ข้างกายมีสาวงามก็นับว่าเป็นความสุขทางใจและอาหารทางตา นิสัยนางเองก็เปี่ยมด้วยเมตตาบริสุทธิ์ พานทำเอาข้านึกถึงความสุขตอนยังไม่ได้ออกเรือน หากนางยังเป็นเช่นนี้ต่อไปก็ไม่เป็นไร”

ความจริงฉินหลิวซีก็เคยเห็นการแก่งแย่งของหลังเรือน ครั้นเห็นสะใภ้หวังเอ็นดูอนุวั่นราวน้องสาวก็นึกแปลกใจอยู่บ้าง จึงเอ่ยถาม “ภรรยาเอกกับอนุล้วนเหมือนดั่งน้ำกับน้ำมันที่ไม่มีวันมารวมกันได้มิใช่หรือ เหมือนท่านอาสะใภ้รองกับอนุพาน คนหนึ่งฟ้าคนหนึ่งดินที่ไม่มีวันมาบรรจบกันได้ ท่านไม่โกรธเกลียดนางหรือ”

สะใภ้หวังนิ่งเงียบไปพักหนึ่งถึงเอ่ย “สำหรับข้าแล้วเรื่องสมรสก็เป็นแค่คำมั่นสัญญาของบิดามารดาเท่านั้น ความเท่าเทียมกันระหว่างตระกูล อีกฝ่ายเป็นใคร สำหรับข้าแล้วก็เหมือนกัน บิดาเจ้าอยากรับใครเป็นอนุ ในฐานะแม่ใหญ่แค่ช่วยจัดการแทนเขาก็พอ”

ฉับพลันฉินหลิวซีก็เข้าใจแล้ว

หากไม่รักก็จะไม่สนใจ

“เขาน่าสงสารจริงๆ อนุปฏิบัติต่อเขาดั่งมนุษย์เครื่องจักร ท่านเองก็ไม่ต่างกันสักเท่าไร”

แม้แต่ภรรยาเอกยังไม่มีรักที่แท้จริงให้เขา ก็แค่อำนาจเหนือกว่าเท่านั้น ฉินปั๋วหง ช่างน่าเวทนาเสียจริง!

ฉินปั๋วหงที่อยู่ซีเป่ยแดนไกลจามสองทีก่อนจะรับชาขิงจากบุตรชายมาดื่มหนึ่งอึก เอ่ยด้วยความเศร้าสร้อย “ไม่รู้ว่ามารดาของพวกเจ้าเป็นเช่นใดบ้าง มารดาเจ้ามาจากตระกูลใหญ่ นิสัยแข็งกร้าวเด็ดเดี่ยว ไม่ว่าเรื่องใดก็ทำอะไรนางไม่ได้ แต่มารดาเจ้ามาจากตระกูลเล็กๆ อ่อนโยนเปราะบางมาแต่กำเนิด การเปลี่ยนแปลงในตระกูลที่กะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าวันๆ จะร่ำไห้เพราะคิดถึงข้า แต่อย่าเสียสุขภาพเลยจะดีกว่า”

ครั้นฉินหมิงเยี่ยนนึกถึงอนุวั่นที่มีใบหน้าสะสวยแต่ซื่อๆ จากนั้นก็มองบิดาตนพลางเผยสีหน้าทอดถอนใจ ก้มหน้าลง ในใจคิด เขารู้สึกว่าอนุวั่นคงคิดว่านางควรใช้แป้งไหนผัดหน้าเพื่อดึงความสวยออกมาได้ถึงขีนสุดมากกว่าจะคิดถึงบิดาตน นั่นยังเป็นไปได้เสียมากกว่าอีก

แต่ก็ช่างเถอะ อย่าขัดเขาเลย ในเมื่อซีเป่ยหนาวเหน็บตรากตรำเกินไป คนเราต้องมีความหวังถึงจะผ่านมันไปได้ เหมือนเขา คิดว่ามารดาตนเองก็คงไม่ได้คิดถึงตนเหมือนที่ตนคิดถึงนาง

สะใภ้หวังย่อมคิดถึงบุตรชายตน โดยเฉพาะตอนตื่นจากห้วงฝันกลางดึก ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลซึมปลอกหมอนไปกี่ครั้ง บางครั้งก็นั่งนิ่งๆ จนฟ้าสว่าง

แต่ต่อหน้าคนอื่น นางกลับเด็ดเดี่ยวแข็งกร้าว แถมเป็นแม่ใหญ่ตระกูลฉินที่ต้องทำหน้าที่เพียงลำพัง

ส่วนเรื่องที่ฉินหลิวซีเอ่ยถึงบิดาของนางเช่นนี้ สะใภ้หวังกลับกระอักกระอ่วนใจไม่น้อย เผลอกลอกตาใส่นางไปทีด้วย

ฉินหลิวซีทำทีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ “กิจการร้านค้าดีหรือไม่ คงไม่มีใครตาไม่ดีมาก่อกวนกระมัง”

สะใภ้หวังรอยยิ้มชะงัก แต่ก็ผ่อนคลายลงอย่างรวดเร็ว เอ่ย “ดีทุกอย่าง เจ้าอย่ากังวลไปเลย”

ฉินหลิวซีมองนาง “ถ้ามีเรื่องลำบากใดที่แก้ปัญหาไม่ได้บอกข้าได้เลย ร้านของตระกูลฉิน ข้าย่อมปกป้องได้”

สะใภ้หวังใจกระตุกวาบ จากนั้นก็มองไปตามสัญชาตญาณ มักรู้สึกว่าคำพูดแฝงนัยยะบางอย่าง

ฉินหลิวซีไม่พูดให้มากความ สะใภ้หวังจะพูดหรือไม่ก็แล้วแต่ ถึงอย่างไรหากตระกูลติงจบเรื่องเพียงเท่านี้ก็เป็นอันจบ แต่หากกล้าพลิกคลื่นลมก่อเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ นางจะเรียกลมนั้นซัดกลับไปให้ดู

ตระกูลติงอย่ารนหาที่ตายจะดีกว่า

‘เจตนาดี’ ของฉินหลิวซี ตระกูลติงกลับไม่ได้ยิน ส่วนเรื่องร้านหรูอี้ พวกเขาต่างคิดว่าต้องเอาชนะให้ได้ อย่าเห็นเพียงว่าเป็นร้านขายผลไม้แช่อิ่มร้านหนึ่งเท่านั้น แต่ผลไม้แช่อิ่มทำออกมารสชาติดี ทำให้ชื่อเสียงโด่งดัง กำไรย่อมมีให้เห็น

พวกเขาไปสืบมาแล้ว ร้านค้าขายผลไม้แช่อิ่มในแคว้นมีไม่น้อย ทว่ารสชาติที่ดีที่สุดยังเป็นของร้านหรูอี้ที่จู่ๆ ก็โผล่ขึ้นมา ไม่รู้ว่าสูตรเชื่อมของทางร้านผสมกันอย่างไร ผลไม้แช่อิ่มที่ทำออกมาถึงถูกปาก แถมบางชนิดยังเจาะจงช่วยเรื่องความเจ็บปวดจากอาการป่วยบางโรค กินแล้วทำให้ร่างกายสบายขึ้นไม่น้อย

นายหญิงสามติงเองก็เคยกินผลไม้แช่อิ่มของร้านนี้ พอกินก็จดจำไม่ลืม โดยเฉพาะขนมแป้งนุ่มที่ออกมาใหม่ ละลายในปากเลยจริงๆ นางประหลาดใจมาก ในเมื่อตระกูลฉินตกอับแล้ว มิใช่ว่าต้องหมดตัวจนมีกินไม่ครบสามมื้อหรอกหรือ ไยถึงเปิดร้านค้าได้ แถมทำได้ไม่เลวอีกต่างหาก

นางยังนึกถึงนายหญิงใหญ่แห่งตระกูลฉิน นั่นคือสะใภ้หวังที่เกิดมาจากตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงมายาวนานหลายชั่วอายุคน ไม่แน่อาจจะมีสูตรลับบางอย่างซ่อนไว้ หากมีคนของตระกูลหวังร่วมด้วยย่อมยืนหยัดลุกขึ้นได้แน่นอน

นายหญิงสามติงยิ่งอยากได้มาครอบครอง พอส่งคนไปเจรจาซื้อขาย กลับคิดไม่ถึงว่าสะใภ้หวังจะดื้อรั้นเพียงนี้

ถุย ตระกูลตกอับที่มาขอความช่วยเหลือจากตระกูลนางกลับไม่รู้ความเอาเสียเลย จะฝืนรั้นไปทำไมกัน

นายหญิงสามติงขัดเคืองในใจ พอได้ยินว่าตระกูลตกอับไปมาหาสู่กับตระกูลอวี๋ พลันก็เข้าใจขึ้นบ้างแล้ว

มิน่า ที่แท้ก็สร้างสายสัมพันธ์กับตระกูลอวี๋นี่เอง

ฮูหยินอวี๋ช่างน่าชังนัก ตอนอยู่ในงานเลี้ยงหนึ่ง ทำทีเสแสร้งเล่าเรื่องหมาจิ้งจอกเนรคุณ คนชั่วในเรื่องนั้นไม่สำนึกบุญคุณ แถมยังชอบเหยียบซ้ำคนอื่น ทำตัวน่ารังเกียจ บอกว่าทำอะไรเบื้องบนย่อมมองเห็น หากทำเช่นนี้ช่างเป็นการสร้างบาปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ฮูหยินอวี๋สื่อเป็นนัยๆ ว่าตระกูลติงทำอะไรไม่โปร่งใส ละโมบโลภมาก ทำเอามารดาของสามีโมโหจนอาการกำเริบ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีม่วงทั้งหน้า

แต่แล้วอย่างไรเล่า หากอีกคนยินดีซื้อ ส่วนอีกคนยินดีขาย ตระกูลอวี๋ก็พูดอะไรไม่ได้

นายหญิงสามติงและมารดาของสามีเอ่ยกันว่าร้านค้าของตระกูลฉินจะขายก็ไม่ยาก หากทำต่อไปไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้แค่ขายทิ้ง

ฮูหยินติงผู้เฒ่าเองก็มาจากตระกูลเล็กๆ ถึงแม้บุตรชายจะขึ้นเป็นเจ้าเมือง เสพสุขกับบุญบารมีนับไม่ถ้วน ได้รับพระราชทานแต่งตั้งยศ แต่ในกระดูกส่วนลึกของนางยังติดนิสัยทั้งชอบเอารัดเอาเปรียบและคิดเล็กคิดน้อยไม่มีเปลี่ยน

“ข้าจำได้ว่า ตอนที่เหลียงควน คนติดตามนายท่านกลับมาส่งวัตถุดิบยาก่อนหน้านี้เคยเปรยขึ้นว่าเหล่าคนที่อยู่ซีเป่ยใช้ชีวิตลำบาก” ฮูหยินติงผู้เฒ่ากลิ้งลูกประคำในมือ เอ่ยต่อ “ตระกูลๆ หนึ่ง สิ่งที่สำคัญมากที่สุดก็คือเหล่าบุรุษ ต้องใช้เงินตำลึงในการจับจ่าย อย่างไรพวกเขาก็ต้องขาย”

นายหญิงสามติงนึกประหลาดใจอยู่บ้าง “ท่านแม่ ท่านคิดจะทำเช่นไร”

“ย่อมต้องไปเยี่ยมเยียนตระกูลฉินก่อน เลี่ยงมิให้คนอื่นประณามได้ว่าเป็นจิ้งจอกขาวเนรคุณ เจ้าไปเตรียมของกำนัลสักสองสามอย่างเถิด” ฮูหยินติงผู้เฒ่าไม่สนใจคำพูดของฮูหยินอวี๋เลยสักนิด

“ท่านแม่ ร้านค้านั้นจะเอาตามนี้ก่อนหรือ” นายหญิงสามติงร้อนใจขึ้นมา “ลูกลองคำนวณอย่างละเอียดแล้ว หากร้านของพวกเขาเป็นที่รู้จักจริงๆ แบ่งแยกสาขาขึ้นมา กำไรนั้นทำรายได้มากกว่าร้านทอผ้าของเราเสียอีก ท่านลุงอยากก้าวหน้ากว่าเดิมมิใช่หรือ ไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องใช้เงินทอง ท่านแม่ นี่…”

ครั้นเอ่ยถึงตำแหน่งของบุตรชายคนโต ฮูหยินติงผู้เฒ่าก็ใจเต้นระรัว ทว่าก็สงบลงได้ เอ่ย “จะใจร้อนไปไย เอาอย่างนี้ เจ้าไปจัดการคนก่อน…”

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท