คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 437 ล้วนปกป้องครอบครัวของตนเองกันทั้งนั้น

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 437 ล้วนปกป้องครอบครัวของตนเองกันทั้งนั้น

ฉินหลิวซีกำลังปรับใบสั่งยายาบำรุงรักษาใบสุดท้ายให้ตงหยางโหวที่ร้านค้า หลายเดือนมานี้ไม่ว่าจะฝนตกฟ้าร้องเพียงใดเขาก็จะไปทำสมาธิฝึกฝนในห้องบำเพ็ญของร้านเฟยฉางเต๋า บวกกับกินยาบำรุงไตที่ฉินหลิวซีปรุงขึ้นเพื่อรักษาขาเขาโดยเฉพาะ ขาทั้งสองข้างจึงฟื้นฟูดีขึ้นมาก ไม่รู้ว่าห้องฝึกบำเพ็ญนั้นวางค่ายกลเช่นใด หลังจากมาเต็มๆ หนึ่งเดือน อย่าว่าแต่ขาเลย แม้แต่บาดแผลที่สะสมตามร่างกายมาแรมปีก็พลอยหายดีไปด้วย

ตงหยางโหวในเวลานี้กล่าวได้ว่ากำลังวังชาเปี่ยมล้น ใบหน้าแดงมีเลือดฝาด อยากได้ห้องฝึกบำเพ็ญนั้นใจจะขาด กระทั่งถามฉินหลิวซีว่าช่วยไปวางค่ายกลให้เขาได้หรือไม่

แต่ฉินหลิวซีตอบกลับไปว่าระยะทางไกลเกินไป อากาศหนาวเกินไป ตอนนี้ยังไม่ไป รอวันหลังมีโอกาสค่อยตามไปดู

ถึงแม้ตงหยางโหวจะผิดหวัง ทว่าไม่ได้เซ้าซี้แต่อย่างใด ถามเพียงเรื่องขาของหลานชาย หากนางรับรักษา ก็วางแผนว่าหลังจากกลับไปจะให้หลานชายมา

ฉินหลิวซีพยักหน้าเอ่ย “ให้เขาลองมาดูก่อนได้ แต่หากรักษาได้ ค่าตอบแทน…”

“อย่าว่าแต่ค่าตอบแทนอะไรเลย ข้าให้ได้ทั้งนั้น แม้แต่เจ้าเด็กนั่นก็ให้ได้” ตงหยางโหวจับจ้องนางแล้วเอ่ยต่อว่า “หลานชายของข้าใบหน้าหล่อเหลา เพราะฝึกวิทยายุทธ์มาหลายปีจึงมีพละกำลังมาก ทางฝั่งตงไห่เองก็ทำการค้ากับคนอื่นๆ มากมาย ตระกูลเย่ว์ของเราร่ำรวยมั่งมี อีกอย่างหลานคนนั้นเองก็ไม่ได้มีพี่น้องคนอื่นมาแย่งชิงสมบัติด้วย เจ้าดูเถิด หน้าตาดี มีเงิน มาจากตระกูลใหญ่ คงเรียกว่าเขยสถานะสูงศักดิ์ได้กระมัง”

เขาชอบฉินหลิวซีมากจริงๆ ปราดเปรื่องว่องไว แถมมีฝีมือ หากได้มาเป็นลูกสะใภ้ นับว่าเป็นมงคลแก่ตระกูลเย่ว์ของเขาจริงๆ

หมึกดำบนปลายพู่กันในมือของฉินหลิวซีเกือบทำตำรับยาเปื้อนเปรอะ นางโยนพู่กันลงอ่างล้างพู่กัน เงยหน้าขึ้นเอ่ยด้วยท่าทีกระอักกระอ่วนใจ “ท่านแม่ทัพ ข้าเป็นนักบวชแห่งเต๋า”

“เจ้าบอกว่าลัทธิของเจ้าไม่บังคับเรื่องแต่งงานมิใช่หรือ” ตงหยางโหวกะพริบตาปริบๆ เอ่ย “หากเจ้าแต่งเข้ามา พวกเราเองก็ไม่ร้องขอให้เจ้าต้องสึก แต่แน่นอนถึงอย่างไรก็ต้องมีลูกสักคน ลูกหลานตระกูลเราน้อย มีลูกโทนสืบสกุลมาหลายชั่วอายุคนแล้ว”

ฉินหลิวซีหมดคำพูด “ท่านเพ้อไปไกลเรื่อยๆ แล้ว”

แต่ละคน หลังจากรู้ว่าตนเป็นหญิง สุดท้ายก็ต้องลากมาเรื่องแต่งงาน พระชายาผู้เฒ่าของฉีเชียนก็เป็นเช่นนี้ ตงหยางโหวก็ไม่ต่างกัน

ว่ากันว่าตระกูลสูงศักดิ์มักหาลูกสะใภ้โดยให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมกันของฐานะมิใช่หรือ

นี่ให้ความสำคัญตรงไหนกัน

ครั้นเห็นฉินหลิวซีทำหน้าไร้คำพูด พวกเฉินผีที่อยู่ด้านข้างต่างพากันปิดปากแอบหัวเราะ

“ข้าได้ยินมาว่าตงไห่เคยมีมังกรวารีผ่านด่านเคราะห์ มังกรวารีตัวนั้นฝึกบำเพ็ญมาห้าร้อยปี มีคนเคยได้มุกวารี ท่านแม่ทัพ ค่าตอบแทนที่ข้าต้องการก็คือมุกวารีเม็ดนี้” ฉินหลิวกล่าว “ส่วนเรื่องแต่งไม่แต่งอะไรนั่น ข้าไม่มีความคิดนั้น ท่านอย่าฝันไปเลย”

ตงหยางโหวเศร้าใจเล็กน้อย เอ่ย “ได้ มุกวารีที่เจ้าต้องการข้าจะช่วยหาให้เจ้า แต่รอวันหน้าหลานข้ามาถึง เจ้าต้องไตร่ตรองดูให้ดี ทำความรู้จักกันให้มากๆ ไม่แน่เจ้าอาจจะเปลี่ยนใจเพราะความหล่อเหลาของเขาก็ได้!”

ท่านแม่ทัพช่างมั่นใจในตัวเองเสียจริง

บ่าวผู้เฒ่าอดนึกถึงนายท่านที่อยู่ตงไห่ดินแดนอันแสนไกลไม่ได้ หากเขารู้ว่าตนถูกท่านผู้เฒ่าขายเช่นนี้จะมีความคิดเช่นใดบ้าง

ฉินหลิวซีกลบเกลื่อนไปสองประโยค จากนั้นก็ส่งใบสั่งยาไปให้สองแผ่น หนึ่งในนั้นเป็นขนานบำรุง ส่วนอีกแผ่นเป็นขนานใช้อาบเพื่อขับไอเย็นออกจากกระดูกและกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังเขียนอาหารต้องห้ามต่อร่างกายเขาไปให้ด้วยแผ่นหนึ่ง

“ข้าไม่ไปส่งแล้วกัน ขอให้ท่านแม่ทัพเดินทางปลอดภัย” ฉินหลิวซีส่งยันต์คุ้มครองสองสามใบไปให้

ตงหยางโหวรับมาพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม ถามไถ่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ให้บ่าวผู้เฒ่าทิ้งถุงหูรูดใส่ตำลึงหนักไว้เป็นค่าตอบแทน ก่อนพาคนกลับไป

หลังจากส่งตงหยางโหวกลับแล้ว ผีรับใช้ที่เฝ้าอยู่หน้าร้านผลไม้แช่อิ่มก็ลอยพุ่งมาหา ทว่าก็หยุดลงตรงหน้าประตูเพราะเห็นอักขระยันต์บนป้ายชื่อร้านจึงไม่กล้าเข้ามา

เมื่อฉินหลิวซีเห็นเขาจึงเดินออกมา “เจ้ามาได้อย่างไร”

“นายท่าน ตระกูลติงมีการเคลื่อนไหวแล้ว” ผีรับใช้เอ่ยเสียงร้อนใจ “พวกเขาใช้คนให้มาบอกว่าของในร้านไม่สะอาด ตอนนี้คนชั่วกำลังโวยวายอยู่หน้าประตูร้าน”

ฉินหลิวซีสีหน้าขรึมลง เอ่ย “เจ้ากลับไปก่อน อย่าให้ใครเข้าร้านไปก่อกวนทำร้ายคนได้”

ผีรับใช้ขานรับ ถอนหายใจแล้วเดินจากไป

เวลานี้ฉินหลิวซีถึงหันหน้าไปหยิบกระเป๋าเข็มของตน พลางล้วงหยิบมีดสั้นปลายแหลมคมด้ามหนึ่งออกมา

เฉินผีเห็นเช่นนั้นเปลือกตาก็กระตุก เอ่ย “นายท่าน ให้ข้าตามไปด้วยหรือไม่ขอรับ”

“ไม่ต้องหรอก แต่ก็เป็นพวกปราดเปรียวว่องไวสองสามคน” ฉินหลิวซีเอามีดสั้นเหน็บไว้ที่เอว

เถิงเจาเดินตามไปโดยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น รู้เพียงว่าท่านอาจารย์อารมณ์ไม่ดี จึงเดินตามไปด้วยท่าทีงงงันอยู่บ้าง

“พวกเจ้าอยู่ร้านไปเถิด ตั้งใจเรียนวาดยันต์กับอ่านตำราแพทย์ ข้าไปครู่เดียวเดี๋ยวกลับ” ฉินหลิวซีลูบศีรษะของศิษย์ทั้งสองก่อนสาวเท้าเดินออกจากประตูไป

เฉินผีมองนางเดินจากไปพลางขบคิด จากนั้นก็กำเศษตำลึงกำหนึ่งมาใส่ถุงหูรูดก่อนเดินมาที่ประตู เรียกขอทานที่นั่งยองอยู่ตรงมุมกำแพงในตรอกซอย

หัวหน้าของกลุ่มขอทานชื่อว่ากันต้า เขารีบวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เผยรอยยิ้มประจบเอาใจ เอ่ยถาม “พี่เฉิน มีเรื่องอะไรจะสั่งหรือขอรับ”

“ตระกูลติงมีกิจการใดในเมืองบ้าง ใครเป็นคนดูแล แล้วมีเรื่องผิดปกติใดบ้าง ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือใหญ่ต้องสืบมาให้ข้าทั้งหมด” เฉินผีโยนถุงหูรูดนั้นไปให้กันต้า “เงินตำลึงนี้เจ้าลองดูว่าจะใช้ตามสืบอย่างไร ข้าต้องการข้อมูล ถ้าไม่พอค่อยมาขอจากข้า”

กันต้ารับถุงหูรูดมาก่อนจะรีบส่งกลับคืนไป “ช่วยสืบข้อมูลแทนท่านต้องการเงินตำลึงเสียเมื่อไรกัน พวกเราฝากท้องกับทางร้านมาก็ไม่น้อย”

“เอาไปเถิด ถึงอย่างไรตระกูลติงก็มีเจ้าเมืองคอยหนุนหลังคุ้มกะลาหัวอยู่ บางเรื่องคงต้องขุดให้ลึกหน่อย จำเป็นต้องใช้คน รีบไป” เฉินผีโบกมือให้

กันต้าได้ยินเช่นนั้นก็สอดถุงเงินตำลึงเก็บเข้าไปตรงหน้าอก เอ่ย “งั้นข้าไปเดี๋ยวนี้เลย”

เฉินผีหมุนร่างไป จากนั้นก็เห็นเถิงเจาจับจ้องมองเขาอยู่ จึงเอ่ยอธิบายว่า “สืบข่าว พวกเร่ร่อนพเนจรนั้นง่ายที่สุดแล้ว ตระกูลติงกล้าหาเรื่อง นายท่านต้องไม่ชอบใจแน่นอน จำเป็นต้องสั่งสอนพวกเขาหน่อย พอถึงตอนนั้นข้อมูลเหล่านี้ก็หยิบยกมาใช้งานได้แล้ว”

เขาคลี่รอยยิ้มเย็นยะเยือก

เถิงเจาหลุบตาลง ท่านอาจารย์ปกป้องครอบครัว คนที่ติดตามนางก็เช่นกัน

อีกอย่างเฉินผีไม่จำเป็นต้องให้ท่านอาจารย์ออกคำสั่งก็จัดการเรื่องที่ควรทำก่อนล่วงหน้าแล้ว

นี่คือความสามัคคี

ณ ร้านหรูอี้ยามนี้ ตระกูลหวังมองอันธพาลที่แสดงละครอยู่ตรงหน้าร้านด้วยสีหน้าถมึงทึง พลางกำหมัดแน่น

แผนการและการแสดงที่เลวทรามเช่นนี้ แถมเกิดขึ้นหลังจากตระกูลติงกลับไป หากไม่ใช่คนที่ตระกูลติงส่งมาแล้วจะเป็นใคร

ตระกูลติงช่างหน้าไม่อายจริงๆ

สะใภ้หวังมองคนที่แห่มามุงรายล้อมมากขึ้นเรื่อยๆ ชี้นู่นชี้นี่ พลันอดกัดฟันกรอดไม่ได้ หันหน้าไปออกคำสั่งกับฉินเหมยเหนียง “เจ้ารีบไปหาซีเอ๋อร์ที่ร้านตรงถนนหงไป๋ตรอกโซ่วสี่”

ฉินเหมยเหนียงพยักหน้า เพิ่งออกจากประตูไป ทว่าฝีเท้าก็หยุดชะงัก

ครั้นสะใภ้หวังเห็นนางไม่ขยับ จึงอดไล่มองไปตามสายตาของนางไม่ได้ จากนั้นสีหน้าก็ชะงักไป

เพราะฉินหลิวซีมาแล้ว

สะใภ้หวังหัวใจเต้นแรง ก่อนขอบตาจะค่อยๆ แดงก่ำ

“ผลไม้แช่อิ่มของร้านหรูอี้อะไรนี่มีแต่ของเป็นพิษ โอ๊ย ทำเอาข้ากินเข้าไปแล้วปวดท้องเหลือเกิน ข้าจะตายแล้ว” เจ้าอันธพาลคนนั้นเกลือกกลิ้งไปมาบนพื้น

“มีพิษหรือไม่ ลองให้ข้าตรวจดูดีหรือไม่เล่า” ฉินหลิวซีเดินมาถึงหน้าร้าน พลางมองอันธพาลผู้นั้นด้วยสีหน้าเฉยเมย

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท