คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 438 หลิวซีเปิดโปงความจริง

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 438 หลิวซีเปิดโปงความจริง

การลงมือกับร้านอาหารหรือร้านของกินโดยส่งคนมาแสดงละครก่อกวนว่าอาหารมีพิษเช่นนี้ ความจริงเป็นลูกไม้เก่าๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกไม้นี้ใช้ได้ผลที่สุดแล้ว โดยเฉพาะกับเจ้าของร้านค้าที่ไร้อำนาจและอิทธิพลใดๆ

หากหยิบยกสถานการณ์ตอนนี้มาพูดกัน พอคนหนึ่งบอกว่าอาหารเป็นพิษ ก็ยังอาจบอกได้ว่าอีกฝ่ายคิดหลอกเอาเงิน แต่ถ้าวันพรุ่งวันมะรืนโผล่มาอีกคนเล่า กิจการทางร้านย่อมได้รับผลกระทบแน่นอน จากนั้นลูกค้าก็จะค่อยๆ ทยอยหายไปจนสุดท้ายเปิดต่อไปไม่ได้ และทำได้แค่เปลี่ยนมืออย่างน่าเศร้า

ตระกูลฉินในสายตาของตระกูลติงในเวลานี้ก็คือตระกูลตกอับที่ไร้อำนาจไร้อิทธิพล กระทั่งมีความผิดติดตัว ลำพังอาศัยเพียงสตรี เด็กเล็ก และคนแก่คงรักษาร้านนี้ไว้ไม่ได้ ดังนั้นใช้การแสดงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ทุกคนต่างกำลังดูละครที่ปรากฏให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง สุดท้ายจะเป็นเช่นไร แค่มีคนออกมาบอกว่าช่วยดูอาการให้เท่านั้นหรือ

ทุกคนหันขวับไปมอง จากนั้นก็เห็นเพียงสาวน้อยสวมชุดสีเขียวพร้อมเกล้าผมปักปิ่นไม้กำลังใช้สายตาเย็นยะเยือกจับจ้องเจ้าอันธพาลที่นั่งกุมท้องอยู่บนพื้น

อันธพาลผู้นั้นเองก็นิ่งไป สบถด่าพลางมองไปทางฉินหลิวซี “เด็กน้อยอย่างเจ้าเป็นใคร ก็เพียงเด็กน้อยที่ขนยังขึ้นไม่ครบเต็มตัวด้วยซ้ำ ไปโน่นเลยไป”

เหล่าคนที่มุงดูเองก็มองไปทางฉินหลิวซี บางคนเอียงศีรษะเล็กน้อย ดวงหน้านี้เคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ คุ้นหน้าเหลือเกิน

ฉินหลิวซีส่งสายตาปลอบประโลมไปให้สะใภ้หวังก่อนหันไปมองอันธพาลผู้นั้น “เจ้าบอกว่ากินผลไม้แช่อิ่มของร้านหรูอี้แล้วปวดท้องมิใช่หรือ ข้าเป็นหมอ มา ข้าช่วยรักษาให้”

อันธพาลถลึงตามองนาง “ทำตัวเป็นวีรสตรีให้มันน้อยๆ หน่อย ไสหัวไปซะ”

“เอ๊ะ กำลังวังชาเต็มเปี่ยมดี เหมือนคนป่วยปวดท้องที่ไหนกัน” ฉินหลิวซียิ้มเย็นชา

อันธพาลกลอกตาไปมา ก่อนเริ่มร้องโอดโอยพลางกุมท้องไปด้วย

“ข้ากินบ๊วยแช่อิ่มของร้านนางไปแล้วปวดท้อง โอ๊ย”

ฉินหลิวซีหยิบมีดสั้นด้ามหนึ่งมาจากช่วงเอว รุดหน้าเข้ามาแล้วเอ่ย “อย่างนั้นหรือ ข้าเคยฟังมาเรื่องหนึ่งว่ามีคนถูกใส่ความว่ากินอะไรบางอย่างเข้าไป แต่เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ เขาจึงผ่าท้องของตนเองเพื่อยืนยันว่าเขาถูกใส่ความ และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนั้น เจ้าก็ควรพิสูจน์ว่าเจ้ามิได้ใส่ร้ายร้านหรูอี้บ้างมิใช่หรือ มาๆ เจ้าไม่ต้องผ่าเองหรอก ข้าช่วยผ่าให้ ข้าเป็นหมอฝีมือดี ผ่าออกแล้วยังช่วยเจ้าเย็บกลับได้ด้วย ไม่มีทางตายแน่นอน”

อันธพาลหน้าซีด “?”

คนบ้าที่ไหนโผล่มากัน

เขามองฉินหลิวซีเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าประดับรอยยิ้มน่ากลัว เขาอดเซถอยหลังอย่างลนลานไม่ได้ “เจ้าอย่าเข้ามานะ!”

“วางใจเถิด ข้ามือไม้ว่องไว”

“ข้านึกออกแล้ว” เวลานี้มีคนตบหน้าตักทักขึ้นมา “นี่เป็นเจ้าอาวาสน้อยของอารามชิงผิง ปรมาจารย์ชั้นยอดเชียว ก่อนหน้านี้นางยังรักษาคนอยู่ในอารามชิงผิงอยู่เลย ฝีมือการรักษาเยี่ยมมาก”

“พอเจ้าพูเอ่ยเช่นนี้ ข้าเองก็นึกขึ้นได้เช่นกัน เป็นนาง เป็นนาง เป็นนางจริงๆ” อีกคนหนึ่งเสริมขึ้น เอ่ยต่ออันธพาลผู้นั้นว่า “เจ้าน่ะ หากเป็นคนอื่นอาจไม่กล้ารับประกัน แต่เจ้าอาวาสน้อยผู้นี้ ฝีมือการรักษาดีมากจริงๆ เจ้าให้นางตรวจชีพจรดูก็รู้ว่าเป็นโรคอะไรแล้ว”

“ใช่ ถ้ายังไม่พอก็ผ่าท้องเลย ถึงอย่างไรเจ้าอาวาสน้อยก็สามารถเย็บแผลกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ ข้าเคยเห็นนางรักษาให้นักปราชญ์ผู้หนึ่ง เหมือนว่าล้มจนมือหักหรืออะไรสักอย่าง นางใช้ด้ายเย็บแผลโต้งๆ เลย ช่ำชองนัก!”

อันธพาล “…”

ผ่าออกแล้วใช้ด้ายเย็บติดเข้าหากัน พวกเจ้ากำลังเล่าเรื่องสยองอะไรกันอยู่

สะใภ้หวังและฉินอิงเหนียงสบตากัน พลางลอบตกใจ ที่แท้คุณหนูใหญ่ของตระกูลเราชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลเพียงนี้เชียวหรือ

ช่างโหดเหี้ยมไม่เบา

ฉินหลิวซีฉีกยิ้มให้อันธพาลผู้นั้น “เจ้าได้ยินแล้วว่าทุกคนต่างชื่นชมข้า ข้ารักษาเจ้าหายได้แน่นอน”

นางย่อตัวลงก่อนหยิบมีดสั้นขึ้นมา มีดสั้นด้ามนั้นส่องประกายเย็นยะเยือก ไอเย็นหนาวสะท้านกว่าหิมะน้ำแข็งเสียอีก

“เจ้า เจ้าอย่าเข้ามานะ” อันธพาลตกใจจนฉี่แทบราด

ฉินหลิวซีสีหน้าขรึมลง “ทำไมเล่า เจ้าอาวาสน้อยชั้นยอดอย่างข้าเป็นฝ่ายเอ่ยปากช่วยรักษาให้เจ้า แต่เจ้ากลับบ่ายเบี่ยง อย่างน้อยก็ไม่รู้กาลเทศะบ้างเลย หรือจะบอกว่าความจริงเจ้าไม่ได้เป็นอะไรเลย แต่หลอกลวงสร้างความเท็จ หรือเจ้าได้รับคำสั่งมาจากใครมากันแน่”

ขณะที่เอ่ย นางก็มองไปท่ามกลางฝูงชน

ผู้ดูแลหลิวที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนถูกจับไต๋ได้ ดวงตาหดลง รีบร้อนรนก้มหน้า พลันหัวใจเต้นแรงขึ้น

แววตาของอันธพาลเลิ่กลั่ก แต่ยังแหวเสียงสูงกลบเกลื่อนความกลัว “เหลวไหล ข้ากินของร้านนางจนปวดท้อง…”

“คิดดีๆ แล้วค่อยเอ่ย ถ้าจงใจโกหกจะเป็นการพูดปด วันหน้าตายไปต้องถูกดึงลิ้นปักตะปูในขุมนรกเชียว” ฉินหลิวซีชี้ไปทางหน้าผากเขา “พูดความจริงมา”

อันธพาลมึนงงไปชั่วขณะ “ใช่ ข้าไม่ได้ป่วย แต่มีคนจ้างด้วยเงินห้าร้อยตำลึงให้มาก่อกวนที่นี่”

ชาวบ้านที่มุงอยู่รอบด้านร้องเสียงเซ็งแซ่ขึ้นมาชั่วขณะ

ถึงแม้พวกเขาจะรู้ว่าดูท่าทางอันธพาลผู้นี้ไม่เหมือนคนดี ออกจะมาก่อกวนมากกว่าด้วยซ้ำ แต่พอได้ฟังเขายอมรับจากปากก็พานรู้สึกตกใจขึ้นมาไม่ได้

เมื่อครู่เขายังยืนกรานว่าตนกินของเสียเต็มปากเต็มคำ ทว่าพริบตาเดียวกลับเอ่ยความจริงแล้ว

ผู้ดูแลหลิวเคืองแค้นในใจ สบถด่าว่าอันธพาลผู้นั้นเลวทรามไปที นอกจากจะไม่สำเร็จแล้วยังล้มเหลวอีกต่างหาก

เขาหมุนตัวหมายเดินจากไป แต่มีหรือที่ฉินหลิวซีจะปล่อยเขาไป นางดีดนิ้วที ผู้ดูแลหลิวก็ล้มก้นจ้ำเบ้าลงกับพื้น สร้างความแตกตื่นให้คนรอบข้างจนพากันแยกย้าย

ฉินหลิวซีเดินเข้าไปหาก่อนใช้เท้าพลิกร่างเขาขึ้นมา “ดูละครจบแล้วก็ไป แต่จุดจบไม่ใช่อย่างที่เจ้าต้องการ แล้วจะกลับไปรายงานเจ้านายตระกูลเจ้าอย่างไรเล่า”

ผู้ดูแลหลิวตกใจยกใหญ่ “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเอ่ยเรื่องใดอยู่ หิมะตกถนนลื่น ข้าลื่นล้มลงพื้นก็เท่านั้น”

“หิมะตกถนนลื่นหรือ คนอื่นก็ปกติดี แต่เจ้าดันล้มในทางราบ คงทำเรื่องไม่ดีไว้มากกระมัง” ฉินหลิวซีมองหน้าเขา “เห็นคางเจ้าแหลม ขอบตาคว่ำลง คนอย่างเจ้าโลภในทรัพย์ หื่นกระหายและชอบเอาเปรียบคนอื่น ปกติมักหยิ่งจองหองและทระนงตน นิสัยปลิ้นปล้อนกลับกลอก จิ๊ๆ ใบหน้าซูบตอบเช่นนี้ เอ๊ะ มีไอดำปรากฏ กลางหน้าผากขาดเลือดฝาด ดูท่าทางจะเจอเรื่องร้ายเลือดตกยางออกแล้ว”

ผู้ดูแลหลิวได้ยินเช่นนั้นก็ตะเกียกตะกายร่างขึ้นมาจากพื้น ชี้ไปทางนาง “เจ้าใส่ความให้ร้าย”

ฉินหลิวซีตวัดมีดสั้น “ถ้าชี้อีก เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะตัดนิ้วโป้งของเจ้าเสีย”

เรียวนิ้วของผู้ดูแลหลิวหดกลับทันที

“ข้าจำเป็นต้องใส่ความให้ร้ายด้วยหรือ ไม่ได้ยินที่พวกเขาเอ่ยหรือไรว่าข้าเป็นเจ้าอาวาสน้อยของอารามชิงผิง นอกจากฝีมือการรักษา ข้ายังรู้เรื่องโหงวเฮ้ง ข้าบอกว่าเจ้าจะดวงซวย เจ้าก็ต้องเจอเรื่องซวย วันนี้ต้องเจอแน่” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม

ผู้ดูแลหลิวเซถอยหลังไปหลายก้าว

“คนที่จ้างวานเจ้าก็คือเขากระมัง” ฉินหลิวซีเอ่ยถามอันธพาล

อันธพาลรีบพยักหน้ารับ “เขานั่นแหละ”

“ผู้ดูแลของตระกูลติง วางอำนาจบาตรใหญ่เสียจริง พอตระกูลติงอยากได้ร้านหรูอี้มาครอบครองแต่ไม่สำเร็จก็ใช้วิธีการสกปรกเช่นนี้มาใส่ความกัน เพื่อเลี่ยงไม่ให้ตอนรวบผลประโยชน์มาดูแย่เกินไป นี่เป็นคำสั่งของใต้เท้าติงอย่างนั้นหรือ” ฉินหลิวซีต้อนผู้ดูแลหลิวจนมุม

ชาวบ้านพากันกระซิบกระซาบ ผู้ว่าการติงผู้นั้นคิดจะแย่งร้านของคนอื่นเลยหรือ

ผู้ดูแลหลิวคิดไม่ถึงว่าฉินหลิวซีจะเปิดโปงเจ้านายตนเช่นนี้ ในใจก็ร้อนรน กล่าว “ไม่มีเรื่องเช่นนี้สักหน่อย เจ้าเชื่อถือไม่ได้ แถมใส่ความให้ร้ายกัน ข้าไม่เอาพิมเสนไปแลกกับเกลือหรอก”

เขาหมายจะเดินจากไปด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวเท้าก็ลื่นไถลไปด้านหน้า ประจวบกับหน้าผากกระแทกกับก้อนหินเข้าพอดี

หัวแตกเลือดอาบ!

เลือดตกยางออก ได้รับการยืนยันแล้ว!

ฝูงชนพลันตกอยู่ในความเงียบงัน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท