คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า – ตอนที่ 439 ถ้าจะฆ่า สู้เปิดโปงความชั่วยังดีกว่า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 439 ถ้าจะฆ่า สู้เปิดโปงความชั่วยังดีกว่า

ฉินหลิวซีลางสังหรณ์แม่นยำ ชาวบ้านที่มุงรายล้อมต่างฮึกเหิมพากันถาโถมพุ่งเข้ามาหา

“เจ้าอาวาสน้อยดั่งเทพเซียนมาจุติ ช่วยดูโหงวเฮ้งทำนายดวงให้ข้าได้หรือไม่”

“เจ้าอาวาสน้อย ร่างกายข้าไม่ค่อยดีนัก ช่วยจับชีพจรให้ข้าได้หรือไม่”

“เจ้าอาวาสน้อย…”

อันธพาลผู้นั้นตกใจยกใหญ่ เขาฉวยโอกาสตอนโกลาหลตะเกียกตะกายหนีไป

น่ากลัวเกินไปแล้ว นางบอกว่าผู้ดูแลคนนั้นจะเลือดตกยางออกก็เป็นจริงทันที ฝีมือการรักษาก็ดีเยี่ยม คงไม่ได้โอ้อวดแล้วกระมัง

เขาไม่อยากถูกผ่าท้องแล้วเย็บหรอกนะ คิดๆ แล้วยังหวาดกลัว

ฉินหลิวซีเห็นอันธพาลผู้นั้นหนีไปก็ไม่สนใจ เพียงแค่ใช้นิ้วโป้ง นิ้วชี้และนิ้วก้อยทั้งซ้ายขวาแตะประสานกัน ปะทุรังสีชั่วร้ายก่อนดีดออกไป

มาก่อกวนแต่คิดหนีตัวปลิวง่ายดายเช่นนี้ เป็นไปไม่ได้แน่นอน ความชั่วร้ายนี้ก็คือการสั่งสอน ทำให้เขาโชคร้ายไปชั่วขณะหนึ่ง

ฉินเหมยเหนียงเบิกตาอ้าปากค้างนานแล้ว ครั้นเห็นหลานสาวตนถูกคนรายล้อมขอให้ทำนายดวงเช่นนั้น นางก็อดตกตะลึงไม่ได้ เอ่ย “พี่สะใภ้ใหญ่ ซีเอ๋อร์เก่งเกินไปแล้ว!”

เพียงสถานการณ์เดียวที่เกิดขึ้นแต่กลับถูกนางเปิดโปงโดยไม่กี่ประโยค ซ้ำทำให้ผู้คนต่างเลื่อมใสนาง

สะใภ้หวังมีประกายความภาคภูมิใจในแววตา แต่กลับปวดใจอยู่บ้าง เอ่ย “อายุยังน้อยแต่มีความสามารถเพียงนี้ นางเข้าสู่ทางเต๋า เกรงว่าคงลำบากตรากตรำมาไม่น้อย”

ฉินเหมยเหนียงเงียบไปชั่วครู่

ความสามารถใช่ว่าอาศัยความว่างเปล่าแล้วจะได้มา เรียนรู้ความชำนาญย่อมต้องผ่านความลำบากมามากมาย ทว่าฉินหลิวซีออกจากเรือนไปตั้งแต่ห้าขวบแล้ว

ฉินหลิวซีถูกล้อมหน้าล้อมหลังจนเดินไม่ได้ นางจึงต้องดูโหงวเฮ้งให้บ้าง แต่หากดูสีหน้าแล้วไม่ค่อยสู้ดีนักถึงจะตรวจดูชีพจรให้ จากนั้นก็ให้สะใภ้หวังไปหยิบกระดาษพู่กันมาเขียนใบสั่งยา

“ทุกท่าน หากใครอยากดูโหงวเฮ้งขอยันต์ รวมถึงร่วมพิธีกรรมทางศาสนา ให้ขึ้นไปกราบไหว้ที่อารามชิงผิง นักพรตแห่งอารามชิงผิงของพวกเราเก่งๆ มีความสามารถกันทั้งนั้น ส่วนทางตรอกโซ่วสี่ถนนหงไป๋มีอีกร้านชื่อว่าร้านเฟยฉางเต๋า ที่นั่นสามารถซื้อยันต์คุ้มครองได้เช่นกัน วันนี้ข้ามาเพราะมีธุระ เห็นว่าใกล้หิมะตกแล้ว ทุกท่านแยกย้ายกลับบ้านกันเถิด” ฉินหลิวซีฉีกยิ้มก่อนให้ทุกคนแยกย้าย

หิมะจะตกหรือ

เหล่าชาวบ้านแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า แต่กลับไม่เห็นท่าทีจะมีหิมะตก แต่ในเมื่อปรมาจารย์เกริ่นขึ้นมาแล้ว ย่อมหิมะตกแน่นอน

เวลานี้ทุกคนต่างพากันแยกย้าย คนมีไหวพริบดี เดินไปได้ไม่ไกลนักก็เห็นฉินหลิวซีเดินไปทางร้านหรูอี้ เจ้าของร้านยังดึงมือนางไปถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ดูท่าทางสนิทสนมกันไม่น้อย พลันก็อดขบคิดไม่ได้

เจ้าของร้านหรูอี้เป็นญาติของเจ้าอาวาสอย่างนั้นหรือ

ตระกูลติงโง่เขลาไปแล้วหรือไร

กล้าล่วงเกินคนที่มีญาติเป็นดั่งเทพเซียนมาจุติเช่นนี้ แถมกล้าคิดครอบครองร้านของพวกเขา เกรงว่าจะโชคร้ายเข้าแล้ว

สะใภ้หวังดึงมือของฉินหลิวซีเข้าไปในร้าน เอ่ย “เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงมาร้านหรือ”

“ย่อมเป็นเพราะมีคนไปรายงาน” ฉินหลิวซีเอ่ยอย่างคลุมเครือ

สะใภ้หวังคิดทึกทักเอาว่าองครักษ์ตรวจลาดตระเวนคนใดเห็นเข้าคงไปบอกนาง เอ่ย “แต่เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคนนั้นเป็นผู้ดูแลของตระกูลติง”

ความโชคร้ายของผู้ดูแลหลิวเมื่อครู่ นางเองก็ย่อมเห็นเช่นกัน พลันแปลกใจที่ฉินหลิวซีมองตัวตนของอีกฝ่ายออกตั้งแต่แวบแรก

ฉินหลิวซีเอ่ยยิ้มๆ “แม่ ท่านลืมสถานะของข้าไปแล้วหรือ เจ้าอาวาสแห่งอารามชิงผิง นับนิ้วทำนายถือว่าเป็นหลักพื้นฐานที่สุดแล้ว”

สะใภ้หวังนิ่งไป

ข้านึกว่าเจ้าเป็นแค่ผิวเผินเท่านั้น ใครจะรู้ว่าเจ้าเป็นถึงปรมาจารย์นักทำนายเช่นนี้

“เรื่องที่ตระกูลติงคิดอยากครอบครองร้านนี้ ท่านน่าจะบอกข้าแต่เนิ่นๆ” ฉินหลิวซีเอ่ยพลางถอดถอนหายใจ

สะใภ้หวังเผยรอยยิ้มขมขื่น “จะรบกวนเจ้าทุกเรื่องได้อย่างไร ข้าอาศัยจังหวะตอนที่ให้ของกำนัล สื่อเป็นนัยๆ กับใต้เท้าอวี๋ไป ได้ยินมาว่าฮูหยินอวี๋ก็ตำหนิตระกูลติงนั่นไปรอบ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าตระกูลติงจะไม่เห็นอยู่ในสายตา”

ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงราบเรียบ “ตระกูลติงเห็นว่าตระกูลฉินถูกคนเบื้องบนย่ำยี ในตระกูลมีเพียงสตรีและเด็กเล็กไร้ความก้าวหน้าก็เท่านั้น ใต้เท้าอวี๋เป็นผู้ปกป้องเมืองที่มีอำนาจก็จริง ทว่าพวกเขาก็มีผู้ว่าการติงเช่นกัน เมืองหลีเองก็เป็นบ้านเกิดของพวกเขา แต่ใต้เท้าอวี๋สักวันก็ต้องจากไป”

สะใภ้หวังเม้มริมฝีปาก หัวคิ้วขมวดเข้าหากัน

ฉินเหมยเหนียงกังวลใจอยู่บ้าง เอ่ย “ซีเอ๋อร์ พวกเขาอาศัยอำนาจของตระกูลหนุนหลัง พวกเขาถูกเจ้าเปิดโปงเช่นนี้ คงกลับมาเอาคืนอีกกระมัง”

ฉินหลิวซีเอ่ยปลอบประโลม “วางใจเถิด อีกไม่นานพวกเขาก็แทบเอาตัวเองไม่รอดแล้ว”

สะใภ้หวังใจเต้นแรง

นางพลันนึกถึงเรื่องรองนายอำเภอจ้าวขึ้นมา ตอนนั้นฉินหลิวซีกล่าวว่าตำแหน่งรองนายอำเภอจะเปลี่ยนคนในเร็ววันนี้ ไม่กี่วันก่อนหน้านี้นางเองก็ได้ยินมาว่าตระกูลจ้าวจากไปแล้ว ตำแหน่งรองนายอำเภอจึงต้องมีคนเบื้องล่างคอยรักษาการณ์แทน รอฤดูใบไม้ผลิปีหน้าถึงจะมีคนขึ้นมารับตำแหน่ง

พอตอนนี้นังหนูบอกว่าอีกไม่นานตระกูลติงอาจเอาตัวเองไม่รอด เช่นนั้นก็หมายความว่าตระกูลติงคงจะโชคร้าย

เมื่อสะใภ้หวังหมายจะเอ่ยอะไรบางอย่าง ฉับพลันฉินหลิวซีก็หันหน้าไปมองความว่างเปล่าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “มีอะไรหรือ”

สะใภ้หวังและฉินเหมยเหนียงนึกว่านางเอ่ยกับพวกนาง ทว่าทิศทางที่หันไปกลับไม่ใช่ทางพวกนาง พวกนางสองคนก็เข้าใจขึ้นมาทันที ใบหน้าซีดขาวก็มองตามสายตาของฉินหลิวซีไป

ฟิ้ว

ลมเย็นพัดเข้ามาระลอกหนึ่ง

แขนของพวกนางทั้งสองขนลุกซู่

พวกนางมองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ว่าในร้านมีบางอย่างเพิ่มขึ้นมา ร่างก็อดสั่นสะท้านเฮือกไม่ได้

ฉินหลิวซีขวางอยู่ตรงหน้าพวกนาง ครั้นเห็นสีหน้าร้อนใจของผีรับใช้ หัวคิ้วก็ขมวดเข้าหากัน

ผีรับใช้เอ่ย “ใต้เท้า รีบกลับเรือนเถิด นางผู้เฒ่าหมดสติไปแล้ว คนของจวนนั้นมาหาฉีหวงอยากให้ท่านไปตรวจอาการเพื่อรักษา ฉีหวงให้ข้ามาตามท่านกลับไป”

ฉินหลิวซีเผยใบหน้าถมึงทึง “เหตุใดจู่ๆ ถึงหมดสติไปได้”

“มีคนมาเยี่ยมเยียนถึงจวน เหมือนว่าจะเป็นคนในตระกูลติง”

ฉินหลิวซีประกายแววตาคมปลาบ แฝงไปด้วยแววตากระหายฆ่าคนก็มิปาน ทำเอาผีรับใช้ตกใจจนเซถอยหลังไปสองก้าว

ทำเอาผีตกอดตกใจหมด!

สะใภ้หวังกลืนน้ำลาย เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “ซี…ซีเอ๋อร์ เจ้าพูดกับใครอยู่หรือ”

ฉินหลิวซีหันหน้ามา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “คนในตระกูลติงแวะไปเยี่ยมเยียนนางผู้เฒ่าที่เรือน ยามนี้นางผู้เฒ่าหมดสติไปแล้ว ข้ากลับไปดูก่อน พวกท่านนั่งรถกลับไปแล้วกัน”

พวกนางได้ยินเช่นนั้นก็เปลี่ยนสีหน้ายกใหญ่

ฉินหลิวซีสับเท้าเดินออกจากประตูไป ปลายเท้าเตะเพียงเล็กน้อย ร่างบางก็เหยียบลงบนหลังคาก่อนมุ่งหน้าไปทางบ้านฉิน

ขณะที่เหล่าสะใภ้หวังไล่ตามออกไปกลับเห็นเพียงเงาร่างของฉินหลิวซีแล้ว

“ให้เหนียงซิ่วออกมาดูร้าน พวกเรารีบกลับไป” สะใภ้หวังรีบจากไป

ตระกูลติงรังแกกันมากเกินไปแล้ว!

ขณะฉินหลิวซีกระโดดข้ามมาข้างลาน ฉีหวงก็ถือกล่องยาเล็กๆ ของนางไว้แล้ว พอเห็นนางกลับมาก็รีบเดินตามไป เอ่ย “ฮูหยินผู้เฒ่าของตระกูลติงแวะมาเยี่ยมเยียนนางผู้เฒ่า แต่นั่งไม่นานเพียงสามสิบนาทีก็กลับ เท้านางยังไม่ทันก้าวออกจากประตูจวน นางผู้เฒ่าก็หมดสติไปแล้ว”

“นางเอ่ยอะไร” ฉินหลิวซีเอ่ยถาม

ฉีหวงเอ่ยเสียงขรึม “ได้ยินจวี๋เอ๋อร์บอกว่า ฮูหยินติงผู้เฒ่าเอ่ยถึงเรื่องของพวกนายท่าน บอกว่าคุณชายสามแขนขาด พิการไปแล้ว”

ฉินหลิวซีชะงักฝีเท้า

ยามที่คนในตระกูลฉินกลับมาเรือนเก่าก่อนหน้านี้ นางเคยดูโหงวเฮ้งให้นางผู้เฒ่าก็เห็นว่าลูกจะมีร่างกายพิการ ก่อนหน้านี้กงปั๋วเฉิงส่งจดหมายเร็วมาบอกว่าอาสามของนางแขนขาด นางไม่ได้บอกเรื่องนี้แก่คนในตระกูลฉิน เพราะบอกแล้วก็ทำให้เสียสุขภาพจิต แถมไม่ช่วยอะไรอีกต่างหาก

บัดนี้เรื่องที่นางปิดบังไว้ นายหญิงผู้เฒ่าตระกูลติงกลับบอกออกมาหมดเปลือก

นางผู้เฒ่าที่เป็นห่วงเป็นใยเหล่าคุณชายทั้งหลายในเดิมทีจะรับไหวได้เช่นไร นี่เลยเป็นผลให้หมดสติไป

นี่มันเจตนาฆ่าคนชัดๆ!

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

Status: Ongoing
คุณหนููใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้านางคือปรมาจารย์ปู้ฉิว แพทย์ผู้ช่วยชีวิตคนและนักพรตผู้เก่งเกาจด้านการทำนายชะตา ไม่ว่าทางโลกหรือจิตวิญญาณนางรักษาได้ทั้งสิ้น!รายละเอียด นิยายโรแมนติก-แฟนตาซีของคุณหนูใหญ่ผู้เป็นเลิศด้านการแพทย์และการทำนายชะตาแต่แสนเกียจคร้านไม่อยากก้าวหน้าผู้หนึ่งฉินหลิวซี คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉิน นางเติบโตที่ชนบท ได้รับการเลี้ยงดูจากเจ้าอารามของลัทธิเต๋าเพื่อปลูกฝังให้นางขึ้นเป็นเจ้าอารามต่อไปเบื้องหน้านางอาจเป็นเพียงคุณหนูที่ถูกผลักไสแต่เบื้องหลังนางคือปรมาจารย์ปู้ฉิวผู้ที่สามารถรักษาคนเป็นช่วยเหลือคนตายได้เพียงใช้ยันต์กระดาษและเข็มเงินปรมาจารย์จะรักษาโรคและช่วยชีวิตใครนั้นล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ โชคชะตา และเวรกรรม หากอีกฝ่ายเป็นคนชั่วร้าย ต่อให้มอบทองสักหมื่นตำลึงนางก็ไม่เหลือบแลแม้เพียงนิดเมื่อโชคชะตาที่ตนเคยทำนายให้ตระกูลกลายเป็นจริง ท่านปู่ถูกปลดจากตำแหน่ง บ้านโดนยึดทรัพย์ผู้หญิงและเด็กในตระกูลต้องระเหเร่ร่อนมาอาศัยที่บ้านบรรพบุรุษแห่งนี้เมื่อมีปากที่ต้องกินข้าวเพิ่มขึ้น เงินออมเริ่มร่อยหรอ ตัวขี้เกียจเช่นนางก็จำต้องคลานลงจากเตียงเพื่อรับงานหาเงินมาเลี้ยงคนในครอบครัวเฮ้อ แม้ไม่หวังการก้าวหน้าใดๆ แต่สวรรค์กลับไม่ยอมให้ทำเช่นนั้นเพราะเมื่อความโด่งดังของนางไปเข้าหูของ ฉีเชียน จวิ้นอ๋องจากเมืองหลวงเข้าเขาก็ดั้นด้นเดินทางมาเชิญนางไปรักษาคน เอาเถอะ ช่วยเหลือคนนั้นย่อมเพิ่มบุญกุศลที่สำคัญคือเพิ่มเงินในกระเป๋า!“เอ๊ะ คุณชายฉีมีเรื่องให้ครุ่นคิดเมื่อคืนจึงนอนหลับไม่สบายหรือ”“ฝันร้ายตลอดทั้งคืนน่ะ”“ไม่เป็นไร คุณชายฉีแค่มีเรื่องให้คิดมากในยามกลางวัน ท่องคาถาชำระจิตสักสองรอบก็จะดีขึ้นเอง”“ข้าคิดว่า ถ้าท่านหมอฉินให้ยันต์คุ้มครองแก่ข้าสักสองชิ้นน่าจะได้ผลดีกว่า” ฉีเชียนเอ่ย“ยันต์คุ้มครองมีเงื่อนไข ผู้มีวาสนาจึงจะได้ไป…”ฉีเชียนยื่นตั๋วเงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงไปให้อย่างรู้ความ“เดิมทีท่านกับข้าไม่มีวาสนาต่อกัน ทั้งหมดเป็นเพราะท่านทุ่มเงิน ผู้ใจบุญมีเมตตา เทียนจวินคุ้มครองให้พรนับไม่ถ้วน”“….”

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท