ตอนที่ 440 ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเข้าแล้ว
ยามที่ฉินหลิวซีไปถึงลานของนางผู้เฒ่าก็ได้ยินเสียงร่ำไห้ร้องโอดครวญดังมาเป็นระลอก หัวคิ้วก็มุ่นเข้าหากัน
“คุณหนูใหญ่มาแล้ว” จวี๋เอ๋อร์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตู พอเห็นนางก็ตะโกนเสียงสูงพร้อมแหวกยกม่านกันลมหนาหนักขึ้น
ฉินหลิวซีเดินเข้ามาภายในทันที จากนั้นก็เห็นทุกคนกำลังร้องไห้อยู่ในห้องนอนของนางผู้เฒ่า
“โอดครวญเศร้าสร้อยอะไรกัน นั่งอัดอยู่ในห้องเช่นนี้ อยากให้ห้องนี้มีอากาศหายใจไม่พอกันหรือไร” ฉินหลิวซีตวาดใส่ไปที
เสียงร้องไห้พลันหยุดชะงักลง
ทุกคนต่างจับจ้องมาทางนาง ครั้งเห็นนางสีหน้าขรึมลงก็อดตัวสั่นเทาขึ้นมาไม่ได้
สะใภ้กู้เดินเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ เอ่ยเสียงแหบพร่า “ซีเอ๋อร์ รีบดูอาการท่านย่าของเจ้าเร็วเข้า”
ฉินหลิวซีเห็นดวงตาของนางแดงเรื่อ สายตาก็เลื่อนไปมองข้อมือของนางที่ช้ำอมเขียวเป็นจ้ำ ดูทรงเหมือนหยิกตนเองมากกว่า
ดูท่าเรื่องที่ท่านอาสามพิการ นางก็คงรู้แล้วเช่นกัน เพียงแต่ตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน นางจึงไม่กล้าเป็นลม
ประจวบกับเวลานี้ก็มีกลิ่นเหม็นโชยมาจากเตียง ทุกคนสีหน้าเปลี่ยนก่อนจะหันไปมองนางผู้เฒ่าตามสัญชาตญาณ
ฉินหลิวซีเองก็สีหน้าขรึมลงเล็กน้อย เอ่ย “ออกไป”
พวกฉินหมิงจูรีบออกไปอย่างว่องไว เพราะกลิ่นเหม็นมากจริงๆ
สะใภ้เซี่ยเองก็อยากออกไปเช่นกัน ทว่านางเป็นสะใภ้ หากออกไปเกรงว่าฟ้ายังไม่ทันมืด นางก็คงถูกขับออกจากประตูจวนแล้ว
ฉินหลิวซีเดินเข้าไปก่อนเลิกผ้าห่มขึ้น กลิ่นเหม็นนั้นก็ยิ่งรุนแรงขึ้น ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นต่างทำหน้าพะอืดพะอม
นางมองไปทางส่วนล่างของนางผู้เฒ่า ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้แล้วจริงๆ จากนั้นก็มองใบหน้าซีดขาวของนางผู้เฒ่า ปากเบี้ยวตาเหล่ นี่ตกอยู่ในสภาวะสมองขาดเลือดแล้ว
“ฉีหวง ให้ป้าหลี่ไปเตรียมน้ำร้อน ติงหมัวหมัว พวกเจ้าช่วยกันเช็ดทำความสะอาดให้ท่านก่อน” ฉินหลิวซียกมือของนางผู้เฒ่ามาตรวจชีพจรพลางออกคำสั่ง
ฉีหวงขานรับก่อนเดินออกไป
ติงหมัวหมัวเดินมาตรงปลายเตียงพร้อมสะใภ้กู้แล้วช่วยกันถอดเสื้อผ้า
สะใภ้เซี่ยกลอกตาไปมา เอ่ย “ข้าไปเอาเสื้อผ้าสะอาดมาให้”
ฉินหลิวซีตรวจชีพจรก่อนขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็เปิดกล่องยาแล้วหยิบตลับยาเล็กๆ ตลับหนึ่งขึ้นมา ถึงแม้จะอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง แต่ก็ยัดยาอันกงเม็ดนั้นเข้าปากนางผู้เฒ่าไป
นางค่อยๆ ประคองร่างนางผู้เฒ่าขึ้นมา พอยัดยาเข้าไปก็ใช้เจิ่นชี่ขับเปลี่ยนแล้วก็วางร่างเป็นแนวราบ หยิบเข็มเงินขึ้นมาแล้วฝังเข้าไปในจุดหลักใหญ่ๆ ทีละเข็ม จากนั้นก็ใช้เข็มเงินฝังลงบนนิ้วทั้งสิบเพื่อปล่อยเลือดออก
ขณะที่นางลงมือ น้ำร้อนก็ถูกยกมาอย่างรวดเร็ว ติงหมัวหมัวและสะใภ้กู้ทำความสะอาดให้นางผู้เฒ่ายุ่งวุ่นวายมือพัลวัน
ฉีหวงเปิดแง้มช่องบานหน้าต่างเพื่อไล่กลิ่น อีกทั้งจุดธูปดอกหนึ่ง จากนั้นก็หยิบยันต์ขับภัยชั่วร้ายจากในกล่องยาออกมาใบหนึ่งแล้วจุดไฟเผา
ยามที่สะใภ้เซี่ยหยิบเสื้อผ้าออกมาด้วยท่าทีเนิบนาบก็เห็นฉากนี้เข้าพอดี อีกทั้งยังมีขวดเล็กขวดน้อยในกล่องยา รวมถึงตลับเล็กๆ ตลับหนึ่งด้วย
เหมือนว่านั่นจะเป็นยาอันกงของร้านยาตำหนักอายุวัฒนะเชียว
ตอนที่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้นางผู้เฒ่าใหม่ สะใภ้กู้กับติงหมัวหมัวเหงื่ออาบไหลเต็มร่าง ตอนขอออกไปล้างมือถึงสัมผัสได้ว่ากลิ่นภายในห้องหายไปแล้ว
เหมือนว่ากลิ่นเหม็นสกปรกเมื่อครู่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน ไม่นานก็หายไปอย่างรวดเร็ว
พวกสะใภ้กู้มองธูปที่จุดดอกนั้นก็ยิ่งประหลาดใจเป็นเท่าทวีคูณ
พอมองฉินหลิวซี นางยังคงกดเส้นชีพจรของนางผู้เฒ่า ทว่านางผู้เฒ่าไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองใดเลย ในใจก็อดร้อนรนขึ้นมาไม่ได้ แต่ก็ไม่กล้าถาม
สะใภ้เซี่ยเห็นสถานการณ์เช่นนั้นก็เอ่ย “ต้องเชิญท่านหมอมาดูอาการอีกคนหรือไม่”
ฉินหลิวซีไม่ปรายตามอง สะใภ้กู้กลับเอ่ย “ฝีมือการรักษาของซีเอ๋อร์ก็ดีมากแล้ว”
สะใภ้เซี่ยกลับไม่คิดเช่นนั้น นางเดินเส้นทางนักพรตเต๋า รู้เพียงศาสตร์รักษาจีนบ้าง แต่อย่างมากก็รู้เพียงงูๆ ปลาๆ เท่านั้น อายุเท่านี้จะสู้หมอแก่ๆ ที่อยู่ในเส้นทางแวดวงนี้มาหลายปีได้เช่นไร
เดี๋ยวก็รักษาจนตายหรอก
นางเพิ่งผุดความคิดนี้ขึ้นมา นางผู้เฒ่าที่อยู่บนเตียงก็เปล่งเสียงร้องสะอื้นออกมาจากลำคอ หนังตากระตุกไปมา
ฟื้นแล้วจริงๆ
เวลานี้สะใภ้หวังและฉินเหมยเหนียงก็กลับมาถึง เอ่ยถามเสียงสั่นเครือ “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
สะใภ้กู้ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอ่อนล้าเจือท่าทีที่ยังตกใจไม่หายชะงักนิ่งไป เรื่องเกิดขึ้นกะทันหันนัก เหมือนว่านางยังไม่ทันบอกพวกพี่สะใภ้ใหญ่ แค่เรียกให้ฉินหลิวซีล่วงหน้ามาก่อนเท่านั้น แต่นี่พวกพี่สะใภ้ใหญ่รู้เรื่องแล้วหรือ
นางผู้เฒ่าหนังตากระตุกก่อนจะลืมตาขึ้น ชั่ววินาทีนั้นนางยังไม่มีแรงตอบสนองใด กระทั่งสติค่อยๆ กลับมา นางถึงเบิกตากว้างในทันทีแล้วค่อยๆ หันหน้าไป พอเห็นคนที่รายล้อมรอบเตียง ปากเผยอขึ้น ในลำคอก็มีเสียงอู้อี้ราวกับเสียงในหีบลมเปล่งออกมา
ทุกคนสีหน้าต่างกันออกไป
นางผู้เฒ่าสีหน้าหวาดผวา อ้าปาก แล้วน้ำตาก็ทะลักไหลอาบหน้า
“อย่าขยับ และอย่าใจร้อน ตอนนี้ท่านเป็นโรคหลอดเลือดสมองถึงกลายเป็นเช่นนี้” ฉินหลิวซีคลำหาชีพจรของนางก็สัมผัสได้ถึงหัวใจที่เริ่มเต้นแรงขึ้น เอ่ยเสียงเย็นยะเยือก “ท่านกำลังฝังเข็มอยู่ หากอารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกจะยิ่งเป็นหนักกว่าเดิม พอถึงตอนนั้นแม้แต่ข้าก็รักษาไม่หาย”
มีประกายความหวาดกลัวพาดผ่านดวงตานางผู้เฒ่า
แต่พอพวกสะใภ้หวังได้ยินคำว่าโรคหลอดเลือดสมอง ในใจก็หนักอึ้งราวกับมีก้อนหินมาถ่วงไว้
นางผู้เฒ่าสุขภาพไม่แข็งแรง เนื่องจากมีเรื่องกลัดกลุ้มอัดอั้นในใจ อีกทั้งเป็นห่วงเหล่าคุณชายที่อยู่ซีเป่ย ตั้งแต่ตระกูลฉินเกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ก็กินยามาตลอด เห็นเหมือนจะกินจะดื่มได้ แต่ด้วยสภาพอารมณ์และอายุจึงอาการทรุดลงอย่างหนัก
พอตอนนี้ป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองขึ้นมา เกรงว่าร่างกายคงกลับมาปกติยากยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ฉับพลันทุกคนก็สีหน้านิ่งขรึมดั่งสายน้ำ
ฉินเหมยเหนียงกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพียงแต่ไม่กล้าเปล่งเสียงร่ำไห้ออกมา กลัวว่านางผู้เฒ่าจะพลอยรู้สึกเศร้าหมองไปด้วย
สะใภ้เซี่ยเอ่ย “โรคหลอดเลือดสมองหรือ แล้วนี่จะทำเช่นไร พี่สะใภ้ใหญ่ ต้องเชิญหมอมาอีกคนแล้วกระมัง”
“ดูว่าซีเอ๋อร์จะว่าอย่างไร”
นางผู้เฒ่าเองก็มองมาทางฉินหลิวซี พร้อมนิ้วมือที่สั่นเทา
“ข้ากลับมาได้ทันเวลาพอดี เวลายืดเยื้อไม่นาน อีกทั้งให้นางกินยาอันกง ฝังเข็ม อย่างน้อยคงไม่สาหัสมากนัก” ฉินหลิวซีเอ่ย “แต่ถึงอย่างไรก็อายุมากแล้ว ปากเบี้ยวตาเหล่คงช่วยไม่ได้ ข้าจะรักษาด้วยการฝังเข็มต่อไปแล้วค่อยเขียนใบสั่งยาให้ ถึงจะเอ่ยได้อย่างช้าๆ ช่วงนี้ท่านต้องรักษาตัวอยู่บนเตียงไปก่อนเจ้าค่ะ”
“ซีเอ๋อร์ ย่าของเจ้าจะเป็นอัมพาตหรือไม่”
ฉินหลิวซีส่ายศีรษะ “รักษาได้ทันเวลา คงไม่เป็นอัมพาต เพียงแต่ช่วงนี้ต้องรักษาตัวอยู่บนเตียง”
พวกสะใภ้หวังผ่อนลมหายใจ
“แต่โรคหลอดเลือดสมองนี้เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ได้รับแรงกระทบกระเทือน หากท่านย่าไม่ปรับอารมณ์ วันหน้าก็ต้องกลับมาเป็นใหม่อีก ทันทีที่เป็นอีก ก็จะเป็นอัมพาตสาหัสพูดจาไม่ได้ ถ้าหนักกว่านั้นก็คง…” นางไม่เอ่ยออกมาทั้งหมด แต่ใครๆ ก็เข้าใจดีว่าหมายความเช่นไร
นางผู้เฒ่าเองก็หัวใจเต้นรัวขึ้น
“ท่านต้องรักษาสภาพอารมณ์ที่ดีเอาไว้ หากหัวใจเต้นเร็วเกินไป คงไม่ใช่เรื่องดีสำหรับท่านนัก” ฉินหลิวซีมุ่นหัวคิ้วพลางเอ่ย
นางผู้เฒ่าปิดตาลง สูดหายใจเข้าลึก เตรียมปรับหัวใจตนให้เต้นช้าลง
เวลานี้สะใภ้หวังมีเรื่องมากมายอยากถามแต่ไม่กล้าถามแล้ว เกรงว่าจะสร้างแรงสะเทือนใจแก่นางผู้เฒ่าเอาได้
ฉินหลิวซีหยิบเข็มขึ้นมาพลางเอ่ย “ข้าไปเขียนใบสั่งยาใช้ต้มก่อน ติงหมัวหมัวเฝ้าท่านย่าเถิด” นางมองไปทางนางฉินผู้เฒ่าที่มองมาทางตนแล้วเอ่ย “เรื่องในบ้านมีท่านแม่ ท่านน้า ท่านอาทั้งสองและท่านป้าคอยจัดการ ท่านไม่ต้องสนใจ ส่วนฝั่งซีเป่ยย่อมจัดการได้เช่นกัน ไม่มีช่วงเวลาไหนที่แย่ไปกว่านี้แล้ว วางใจรักษาตัวเถิด หากท่านยังอยากเห็นพวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยละก็”
นางผู้เฒ่าเอ่ยเสียงอู้อี้ในลำคอพลางจับจ้องฉินหลิวซี น้ำตาใสๆ ก็ไหลรินออกมาจากหางตา ซึ่งขับให้นางดูแก่ลงและอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง