ตอนที่ 441 ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ
หลังจากปลอบประโลมนางผู้เฒ่าไปรอบหนึ่งก็ทิ้งให้ติงหมัวหมัวคอยเฝ้าดูแล พวกฉินหลิวซีก็ทยอยพากันออกมาจากห้องนอน พอพวกเด็กๆ ด้านนอกเห็นคนเดินออกมาก็รีบเดินเข้าไปรายล้อม เอ่ยถามอาการของนางผู้เฒ่ากันยกใหญ่
ฉินหลิวซีไม่เอ่ยตอบอะไร ทว่านั่งลงอีกฝั่งเพื่อเขียนใบสั่งยา จากนั้นก็ให้ฉีหวงนำไปมอบให้ผู้ดูแลหลี่เพื่อรวบรวมวัตถุดิบยามาต้ม
ครั้นได้ยินว่านางผู้เฒ่าป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมอง พวกฉินหมิงจูก็ร่ำไห้กระซิกๆ ฉินหมิงซินยิ่งระเบิดเสียงร้องไห้พูดว่าฮูหยินติงผู้เฒ่าแวะมา บอกว่านางดูเสแสร้ง แถมจงใจพูดเรื่องของท่านอาสามขึ้นมา ทำเอานางผู้เฒ่าตกใจจนล้มป่วย
สะใภ้หวังรีบเอ่ยถามว่าฮูหยินติงผู้เฒ่ามาที่จวนแล้วเอ่ยอะไรบ้าง
สะใภ้กู้สภาพจิตใจผ่อนลงแล้ว ทว่าพ่อนึกถึงข่าวคราวที่ฮูหยินติงผู้เฒ่านำมา นางก็ปวดใจราวกับมีคนถือมีดมากรีดทีละนิด น้ำตาเอ่อล้นขอบตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะไหลรินเสียงดังเผลาะๆ
สามีนางแขนขาด ซึ่งบ่งบอกว่าวันหน้าเขาจะมีร่างพิการ อนาคตใดๆ เลิกคิดไปได้เลย ไม่แน่อาการอาจจะทรุดลงอีก ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง
เวลานี้สะใภ้เซี่ยเองก็เอ่ยเรื่องที่ฮูหยินติงผู้เฒ่าแวะมาหาด้วยสีหน้าโกรธขึ้ง
เมื่อก่อนพวกเขาคิดอยากแวะไปเยี่ยมเยียนตระกูลติงเพื่อสานสายสัมพันธ์ใช้เส้นสาย ทว่าส่งเทียบไปสองสามครั้งกลับหลบเลี่ยงไม่ยอมเจอเลยล้มเลิกความคิดนี้ไป
แต่บัดนี้ฮูหยินติงกลับมาหาถึงที่ พร้อมนำวัตถุดิบยาราคาไม่กี่ตำลึงมาสองสามอย่าง หากว่าตามคำพูดของสะใภ้เซี่ยแล้ว อีกฝ่ายก็เหมือนปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ เสแสร้งทั้งเพ
และเป็นเช่นนั้นจริงๆ พอฮูหยินติงผู้เฒ่านั่งลงก็บอกว่าก่อนหน้านี้ตนไปพักที่จวนของบุตรชายคนโต หลังจากกลับมาก็ป่วยไประยะหนึ่ง เกรงว่าจะเอาโรคมาให้ถึงหลีกเลี่ยงไม่ยอมเจอมาตลอด
“ยายแก่ร้ายกาจนี่ก็นะ ไยถึงไม่สาปแช่งตัวเองจนขี้แตกแตนไปเสีย” สะใภ้เซี่ยเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ขากถุยไปทีแล้วสาธยายต่อไป
ฮูหยินติงผู้เฒ่าชวนคุยสัพเพเหระ จากนั้นก็เอ่ยถึงเรื่องที่ซีเป่ย เกริ่นว่าตนบอกผู้ว่าการติงไปแล้วว่าให้หาเส้นสายสหายรุ่นเดียวกันทางฝั่งนั้น จากนั้นก็ลากเข้าหัวข้อสนทนาเรื่องที่คุณชายสามตระกูลฉินแขนขาดได้อย่างสะอาดหมดจด บอกว่านำวัตถุดิบยามาให้ ซึ่งแสดงถึงเจตนาดี
เรื่องที่คุณชายสามพิการ ในบ้านไม่มีใครรู้เรื่องนี้สักคน นางฉินผู้เฒ่าได้ยินข่าวนี้ขึ้นมาก็ตกใจจนทำแก้วชาแตกไปใบหนึ่ง
ฮูหยินติงผู้เฒ่าเสแสร้งบอกว่าเหล่าบุรุษสำคัญที่สุด ทำอะไรก็ต้องใช้เงินตำลึง จากนั้นก็เอ่ยถึงร้านนั้นบอกว่านางสามารถเป็นคนกลางช่วยขายให้ได้ในราคาสูง
ฉินหลิวซีเลิกคิ้ว สะใภ้หวังมีคิดจะทำอะไรอย่างนั้นหรือ
พอสะใภ้หวังเห็นฉินเหมยเหนียงเดินจากไปแล้ว เวลานี้ถึงมองไปทางฉินหลิวซี เอ่ยถาม “ร่างกายของท่านแม่แค่บำรุงรักษาตัวไปก็พอแล้วหรือ”
ฉินหลิวซีพยักหน้า “ต้องดูแลบำรุง และห้ามมีเรื่องกลัดกลุ้มใจ ตอนนี้อาการนางป่วยเพราะอารมณ์ล้วนๆ ลมปราณและเลือดไหลเวียนติดขัด ภาวะหยินขาดพร่อง ความร้อนพุ่งสูง ไร้กำลังวังชาถึงเป็นผลให้สมองตีบลงกะทันหัน ถ้าไม่ใช่เพราะใช้ยาและฝังเข็มได้ทันท่วงที เกรงว่านางฟื้นขึ้นมาคงอัมพาตไปครึ่งหนึ่งแล้ว”
ถึงแม้ฉินหลิวซีจะบอกในห้องแล้ว แต่พอตอนนี้ได้ฟังนางเอ่ยอีกครั้ง ทุกคนก็ยังรู้สึกหวาดกลัวไม่หาย
เด็กๆ กลับมองฉินหลิวซีด้วยท่าทีตะลึงงัน เห็นนางพูดจามีหลักการไม่ต่างจากหมอเก่งๆ พลันก็อดรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาไม่ได้
พี่หญิงใหญ่รู้เรื่องหมอจริงๆ ด้วย!
นางช่ำชองเรื่องขับไล่สิ่งชั่วร้ายกับจับผีสางนางไม้มากกว่ามิใช่หรือ
“เช่นนั้นก็ทำได้แค่ดูแลรักษากันต่อไป” สะใภ้หวังเอ่ย “บัดนี้ติงหมัวหมัวเองก็อายุมากแล้ว เรี่ยวแรงดูแลคงไม่ไหว…”
สะใภ้เซี่ยหัวใจหล่นวูบ คงไม่ได้ให้พวกนางจัดการหรอกกระมัง
“ท่านแม่พูดถูก สุขภาพของติงหมัวหมัวเองก็ใช่จะดีนัก นอกจากจวี๋เอ๋อร์ ต้องให้คนข้างๆ ช่วยกันด้วย” ฉินหลิวซีเอ่ยเสริม มองมาทางพวกสะใภ้เซี่ยและฉินหมิงจูแล้วเอ่ย “ให้ท่านอาสะใภ้รองกับน้องๆ คอยเฝ้าดูแลด้วยความกตัญญูเถิด”
ฉินหมิงจูแทบหน้ามืด
ทำไมต้องให้นางมาคอยเฝ้าดูแลด้วย
สะใภ้เซี่ยนึกได้ว่านางผู้เฒ่าควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ จึงเอ่ยด้วยใจที่ไม่ยินดีนัก “พวกเราเองก็รับใช้ดูแลใครไม่เป็น พี่สะใภ้ใหญ่ ซื้อตัวเด็กสาวรับใช้มาสักคนไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ”
ฉินหลิวซีตบโต๊ะ “ตอนที่พวกเจ้ากลับมาไม่มีอะไรสักอย่าง ตอนนี้ในจวนมีบ่าวคอยรับใช้สองสามคน พวกเจ้าไม่ต้องหาบน้ำ ซักผ้า ทำกับข้าว คิดจะเอาอย่างไรอีก ท่านแม่กับท่านอาทำงานวุ่นวายอยู่ในร้าน ส่วนพวกเจ้ากลับอยู่ว่างๆ กัน แค่ให้พวกเจ้าคอยเฝ้าดูแล ท่านอาสะใภ้รองก็ร้องขอให้ซื้อบ่าวเพิ่มแล้ว เห็นว่ากิจการร้านค้าไปได้ดี ในจวนไม่ขัดสนเรื่องตำลึงแล้วหรือไร”
“ข้าคิดอย่างนั้นเสียเมื่อไร”
“ท่านอาสะใภ้รอง ค่าครูของน้องสี่ก็ต้องจ่าย ค่ากินค่าใช้จ่ายในจวนก็ต้องจ่าย ทางซีเป่ยยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง นั่นคือเงินก้อนใหญ่เลยทีเดียว หรือท่านอารองต้องแขนขาดอีกคนถึงจะพอใจหรือ” ฉินหลิวซีเหลือบไปมองนาง “หรือจะบอกว่าท่านอาสะใภ้รองไร้ซึ่งความกตัญญู ไม่อยากคอยเฝ้าดูแลอย่างนั้นหรือ”
“เจ้าอย่าใส่ความผู้อื่น” สะใภ้เซี่ยลุกขึ้นพรวด แหวเสียงสูงกลบความขี้ขลาด “ข้าก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ดูแล เรื่องความไม่กตัญญูเช่นนี้ เจ้าอย่าคิดมาโบ้ยใส่ข้าเชียว”
“งั้นก็ตามนี้” ฉินหลิวซีเหลือบมองไปทางพวกฉินหมิงจู “ปกติท่านย่าก็รักพวกเจ้าไม่น้อย เรื่องดูแลกตัญญูต่อท่าน คิดว่าพวกเจ้าคงไม่ปฏิเสธกระมัง”
ซ่งอวี่เยียนรีบลากน้องสาวมาแล้วเอ่ยว่าย่อมรู้คุณอยู่แล้ว ฉินหมิงจูฝืนยิ้มพลางเอ่ยว่าไม่มีทางปฏิเสธแน่นอน
ฉินหลิวซีเผยท่าทีพึงพอใจก่อนจะเอ่ยกับสะใภ้หวัง “ท่านแม่จะออกไปเมื่อไรเรียกข้าด้วย”
สะใภ้เซี่ยมองนางที่ไร้ซึ่งหน้าที่ใดเดินจากไปตัวปลิวก็โมโหแทบระเบิด พวกนางต้องคอยดูแลเฝ้าไข้ แล้วนางเล่า นางไม่ใช่หลานสาวหรืออย่างไรกัน