ตอนที่ 321 อายุขนาดนี้แล้วยังคลั่งไคล้ดาราอยู่เหรอ?
ตอนที่ 321 อายุขนาดนี้แล้วยังคลั่งไคล้ดาราอยู่เหรอ?
หลินเซี่ยไม่เคยหลั่งน้ำตาให้ใครเห็นง่าย ๆ แต่ตอนนี้เมื่อเธอเห็นสภาพของเด็กชายร่างผอมบางที่นอนนิ่งอยู่ตรงนั้น ในที่สุดเธอก็ไม่สามารถกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลได้
เพราะกลัวใครเห็น จึงหันหลังกลับ
ทันทีที่เสิ่นเถี่ยจวินเดินกลับออกมา ก็เผอิญเห็นหลินเซี่ยรีบหันหลังให้เขา ทำให้เขาคิดว่าหลินเซี่ยตั้งใจทำเมินใส่
สีหน้าเคร่งเครียดยิ่งเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ
พอมองผ่านเธอไป เขาเห็นว่าในสนามมีทั้งนางเซี่ย เซี่ยอวี่ และคนอื่น ๆ
ทำให้ต้องหันมองไปทางประตูห้องรักษาของหมอแผนจีนเย่ที่ปิดอยู่ด้วยสายตาลึกล้ำ
เซี่ยหลานพูดกับเสิ่นเถี่ยจวิน “ถ้าคุณงานยุ่งมาก จะกลับไปก่อนก็ได้นะ ฉันจะรออยู่ที่นี่”
“ผมไม่ไป จะรออยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณ”
เหตุผลหลักเพราะเขาอยากรู้ว่าตอนนี้สภาพของเซี่ยเหลยผู้คลานออกมาจากกองศพทหารเป็นยังไง และอยากรู้ด้วยว่าเซี่ยหลานจะยังคงหมกมุ่นอยู่กับเขา และคลั่งไคล้ในตัวเขาอยู่เหมือนเดิมไหม
เมื่อนางเซี่ยเห็นว่าพวกเขาตั้งรกรากรอคิวรักษาของเสิ่นอวี้หลงแน่แล้ว จึงเดินไปหาเซี่ยหลาน
“หลานหลาน ยังจำฉันได้อยู่หรือเปล่าจ๊ะ?”
เซี่ยหลานมองไปที่หญิงชราผมหงอกตรงหน้าด้วยน้ำตาคลอเบ้า “คุณป้า ฉันต้องจำคุณได้อยู่แล้วค่ะ”
เธออธิบายว่า “ช่วงนี้งานของฉันยุ่งมาก ที่จริงได้ยินว่าคุณกับเสี่ยวอวี่มาถึงไห่เฉิงตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว แต่ฉันกลับไม่มีเวลาว่างมาเจอคุณเลย”
“คุณสบายดีไหมคะ?”
นางเซี่ยคลี่ยิ้มพลางพูดว่า “ไม่แย่ เรื่อย ๆ ไปตามประสา”
หญิงชรามองไปทางห้องรักษา ก่อนจะถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จับมือของเซี่ยหลานไว้เพื่อปลอบประโลมเธอ “ไม่ต้องกังวลนะ เด็กคนนั้นต้องกลับมาหายดี”
“ค่ะ คุณหมอเย่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ความหวังทั้งหมดของฉันในตอนนี้อยู่ที่การรักษาแบบแพทย์แผนจีนแล้ว”
หลังจากที่เซี่ยหลานทักทายนางเซี่ยสักระยะหนึ่งจนเสร็จ เสิ่นเถี่ยจวินก็เข้ามาแนะนำตัวเองด้วยรอยยิ้ม
“สวัสดีครับ คุณป้าเซี่ย ผมเป็นสามีของเซี่ยหลาน เสิ่นเถี่ยจวินครับ”
ใบหน้าที่ใจดีของนางเซี่ยแข็งกระด้างไปเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะส่งเสียงตอบรับในลำคอเพียงแผ่วเบา
หลานสาวของเธอถูกสลับตัวไปเพราะผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า
ถึงการกระทำของเขาจะเป็นความโชคดีสำหรับเธอ แต่พฤติกรรมของเขาก็ร้ายแรงเกินกว่าที่จะให้อภัยได้
เป็นไปได้เธอก็ไม่อยากยุ่งกับคนประเภทนี้
เพียงแต่ในสถานการณ์นี้ เธอยังไม่สามารถชำระบัญชีกับเขาได้ และยังไม่มีวิธีจัดการที่เด็ดขาดเช่นกัน
เสิ่นอวี้อิ๋งเข้ามาทักทายเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนหวานว่า “สวัสดีค่ะคุณย่าเซี่ย หนูเป็นลูกสาวของแม่เซี่ยหลานค่ะ เสิ่นอวี้อิ๋ง”
“จ้ะ” นางเซี่ยหันไปมองเธอด้วยรอยยิ้ม แต่รอยยิ้มนั้นกลับส่งไปไม่ถึงดวงตา
“เราไปนั่งรอกันเถอะ”
เซี่ยเหลยใช้เวลาในการรักษานานมากจริง ๆ หลังจากกระบวนการฝังเข็ม เขายังต้องถูกรมยาที่ขาต่ออีก
ผู้คนที่รออยู่ข้างนอกเต็มไปด้วยความสัมพันธ์ที่น่าอึดอัดใจ อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าควรพูดคุยอะไรกัน ส่งผลให้บรรยากาศก็ค่อนข้างอึมครึม
หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอทำได้เพียงรดน้ำแปลงดอกไม้ต่อไป เพื่อหลีกเลี่ยงบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจดังกล่าว เฉินเจียเหอเข้าไปในสวนเพื่อถอนพวกวัชพืชและพรวนดิน
เซี่ยอวี่และเซี่ยไห่ยืนอยู่ข้างสวนเพื่อชื่นชมดอกไม้ เซี่ยไห่เด็ดดอกผักบุ้งแล้วเอามาวางไว้บนหัวของเซี่ยอวี่ แต่เซี่ยอวี่ที่รู้ตัวก็รีบปัดมันทิ้งไป แถมยังยกขาถีบเขาอีกด้วย
พี่น้องสองคนนี้ คนหนึ่งสามสิบแปด อีกคนสี่สิบ แต่กลับเล่นกันเหมือนเป็นเด็กน้อยสองคนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
เย่ไป๋ยืนอยู่ที่ประตู มองภาพเหตุการณ์ในสวนด้านข้าง ทันใดนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏบนริมฝีปากของเขา
ขณะนั้นเอง เสียงเดินของใครหลายคนก็ตามเข้ามาสมทบจากข้างนอก
ผู้เฒ่าเฉินและเฉินเจิ้นเจียงมาที่นี่พร้อมกับเฉินเจียวั่ง
“เจียเหอ กำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”
เฉินเจียเหอได้ยินเสียงปู่ของเขาก็รีบลุกขึ้นยืน “คุณปู่ ผมพรวนดินกับถอนพวกวัชพืชในสวนฆ่าเวลาน่ะครับ”
“เซี่ยเซี่ยรดน้ำดอกไม้อยู่เหรอ?”
“ใช่ค่ะคุณปู่ พวกเราไม่มีอะไรทำพอดี เลยใช้เวลาว่างมาช่วยดูแลสวนดีกว่า”
“อ้อ เซี่ยไห่ก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ?”
ผู้เฒ่าเฉินไม่รู้จักเซี่ยอวี่ ดังนั้นเขาจึงเพิกเฉยต่อเธอและมองผ่านเข้าไปในสนาม “สหายเซี่ยเหลยล่ะอยู่ไหน?”
“เขากำลังรับการรักษาอยู่ข้างในครับ จนป่านนี้ยังไม่ออกมาเลย”
เฉินเจียเหอเห็นผู้เป็นพ่อมากับทุกคนด้วย จึงถามด้วยความประหลาดใจ “พ่อ ทำไมวันนี้ถึงว่างมากับพวกเราได้ล่ะครับ?”
เฉินเจิ้นเจียงอธิบาย “พ่อได้ยินมาว่าสหายเซี่ยเหลยกำลังเข้ารับการรักษาอยู่ที่นี่ ก็เลยแวะมาเยี่ยมเขาสักหน่อยน่ะ”
พวกเขาต้องการไปเยี่ยมครอบครัวเซี่ยอยู่แล้ว แต่เพราะอีกฝ่ายปฏิเสธ พวกเขาจึงมาที่นี่เพื่อพบปะกันข้างนอก
เฉินเจียวั่งเม้มริมฝีปากเมื่อเขาได้ยินคำพูดของพ่อ “ผมก็นึกว่าพ่อตั้งใจมาส่งผมซะอีก”
เมื่อเผชิญหน้ากับสายตาขุ่นเคืองของลูกชายคนสุดท้อง เฉินเจิ้นเจียงก็กระแอมไอเบา ๆ แล้วอธิบายว่า “การมาส่งลูกถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกอยู่แล้ว”
เฉินเจียเหอทำตัวกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าน้องชายของเขามีรอยยิ้มจาง ๆ แต้มบนใบหน้า
ดูเหมือนว่าอาการของเขาจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง
หลินเซี่ยรดดอกไม้ไปสักพักก็เขย่าฝักบัวรดน้ำ พบว่ามันไม่มีน้ำเหลืออยู่
สองเท้าเธอยืนอยู่ในสวน แต่ยื่นแขนส่งฝักบัวรดน้ำออกไปด้านนอก “เจียวั่ง น้ำในฝักบัวหมดพอดี ช่วยไปรองมาให้ฉันอีกรอบหนึ่งสิ”
“เธอไปรองน้ำเองสิ” เฉินเจียวั่งล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ บ่ายเบี่ยงเพราะขี้เกียจ
“ฉันเดินเข้ามากลางสวนเข้าไปแล้ว ออกไปลำบาก นายเป็นผู้ชายแท้ ๆ ทำไมไม่คิดจะช่วยเหลือสุภาพสตรีเลย? ไปรองน้ำให้หน่อยน่า”
หลินเซี่ยยกฝักบัวรดน้ำขึ้น ออกคำสั่งกับเขาอย่างดุเดือด ดังนั้นเฉินเจียวั่งจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรับฝักบัวไปรองน้ำเพิ่ม
ผู้เฒ่าเฉินยิ้มพลางพูดว่า “เซี่ยเซี่ย ฉันว่าบางทีเด็กคนนี้อาจจะต้องได้รับการบำบัดจากเธอนะ”
ปกติแล้วเวลาเขาอยู่บ้าน ต่อให้ถังน้ำมันล้มก็จะไม่เข้าไปช่วยยก
แน่นอนว่าพวกเขาเองก็ไม่กล้าพอที่จะใช้งานเขาเช่นกัน
หลินเซี่ยอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“คุณปู่ เจียวั่งมีความเป็นสุภาพบุรุษมาก เขาถึงยอมให้ผู้หญิงหรอกค่ะ ฉันก็เลยควบคุมเขาได้”
ทั้งครอบครัวต่างหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
เสิ่นอวี้อิ๋งยืนดูพวกเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเขาเดินเข้ามา
เมื่อเห็นว่าทุกคนในตระกูลเฉินมองหลินเซี่ยด้วยสายตาที่เปี่ยมความเอ็นดู แม้แต่น้องชายสามียังเชื่อฟังคำพูดของเธอโดยดี ยิ่งมองนานเข้า เสิ่นอวี้อิ๋งก็ลอบกัดริมฝีปาก
เรื่องมันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?
ความรักทั้งหมดที่หล่อนได้รับ มันควรจะเป็นของเธอไม่ใช่เหรอ?
ในที่สุดเธอก็สามารถพาตัวเองออกมาจากชนบทห่างไกลนั้นได้ ท่ามกลางความรู้สึกผิด ทุกคนในครอบครัวควรตามใจและปกป้องเธอสิ
แต่แล้วความเป็นจริงล่ะ?
คุณปู่พะเน้าพะพะนอเอาใจเธออยู่แค่สามวันครึ่งเท่านั้น ตอนนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอไปบ้านของปู่ ทัศนคติของเขาที่มีต่อเธอกลับไม่ชวนให้อุ่นใจเลย
ที่หนึ่งในใจของปู่มีแต่หลานสาวอย่างเสิ่นเสี่ยวเหมย
ยิ่งตอนที่พ่อแม่ของเธอกำลังจะหย่ากัน เสิ่นอวี้หลงจึงกลายมาเป็นที่หนึ่งในสายตาและหัวใจของพวกเขา
เธอเป็นลูกที่ถูกทุกคนทอดทิ้ง
หลิวจื้อหมิงที่เชื่อฟังคำพูดของเธอทุกอย่าง ตอนนี้ยังถูกควบคุมตัวไม่มีกำหนด
เสิ่นเถี่ยจวินไม่มีทางไล่สุนัขรับใช้อย่างเขาออกแน่
ทุกวันนี้ คนเดียวที่จงรักภักดีต่อเธออย่างไม่มีเงื่อนไข น่าจะเป็นไอ้บ้านนอกเจิ้งต้าเฉิงคนนั้น
แต่เขาก็เป็นแค่ปูนปลาสเตอร์ไร้ประโยชน์
เมื่อเปรียบเทียบกับเสิ่นอวี้อิ๋งแล้ว หลินเซี่ยที่เพิ่งทำงานของตัวเองเสร็จเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสบนใบหน้า พอเดินออกมาจากสวน ก็รีบพาผู้เฒ่าเฉินไปเจอผู้เป็นย่าทันที
“คุณย่า นี่คุณปู่ของเจียเหอค่ะ”
เมื่อนางเซี่ยได้ยินการแนะนำของหลินเซี่ย เธอก็หัวเราะและตำหนิว่า “เด็กโง่เอ๋ย มีใครเขาแนะนำญาติผู้ใหญ่ของสามีแบบนี้บ้าง? ปู่ของเจียเหอไม่ใช่ปู่ของเธอด้วยหรอกเหรอ?”
“ฮ่าๆ นี่ถือเป็นการพบกันครั้งแรกระหว่างพวกคุณ เลยอยากแนะนำแบบนี้ก่อนค่ะ”
“สวัสดี น้องสะใภ้”
นางเซี่ยลุกขึ้นยืนอย่างเร่งรีบ
“สวัสดีค่ะ คุณเฉิน”
“นั่งลงเถอะครับ อย่าลุก ๆ นั่ง ๆ เลย” ผู้เฒ่าเฉินมองนางเซี่ยด้วยความเคารพในสายตาของเขา
“ขอบคุณสำหรับการดูแลสหายเซี่ยเหลยมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาครับ”
“การดูแลลูกชายถือเป็นเรื่องที่แม่สมควรทำอยู่แล้วค่ะ ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย”
เนื่องจากมีบุคคลภายนอกอยู่ด้วย ทุกคนจึงฉลาดเกินกว่าจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างหลินเซี่ยและเซี่ยเหลย
“ตอนนั้นผมยังมีสถานะเป็นผู้บังคับบัญชาของเซี่ยเหลย แต่น่าเสียดายที่ไม่ได้เป็นหัวหน้าหน่วยโดยตรง เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ผมได้ยินเรื่องราววีรกรรมอันกล้าหาญของเขาก็ตอนที่พวกคุณย้ายไปอยู่ฮ่องกงแล้ว เราเลยไม่มีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียนเขา”
ผู้เฒ่าเฉินพูดต่อว่า “ผมได้ยินมาว่าพวกคุณกลับมาแล้ว ก่อนหน้านี้ก็เอาแต่กำชับกับเจียเหอหลายครั้งว่าผมอยากมาเยี่ยม”
นางเซี่ยรีบอธิบายว่า “ฉันเพิ่งมาถึงเมื่อไม่กี่วันก่อนเองค่ะ ยังปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมไม่ได้เท่าไหร่ เสี่ยวเหลยบอกว่าเขายินดีจะพบคุณในอีกไม่กี่วันนี้ คราวนี้คงไม่เลื่อนอีกแล้ว หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
“เข้าใจครับ พวกเราเข้าใจอยู่แล้ว”
ผู้อาวุโสสองคนกำลังคุยกัน สมาชิกรุ่นหลังจึงเดินเลี่ยงกันไปอีกทาง
เฉินเจียวั่งเดินกลับมาหลังจากรดน้ำแปลงดอกไม้เสร็จ เห็นพ่อของเขากำลังมองตรงไปในทิศทางหนึ่ง
เขาจึงจ้องมองไปตามทิศทางของสายตาอีกฝ่าย
ภาพตรงหน้าคือหญิงสาวหัวสมัยใหม่คนหนึ่งที่สวมต่างหูขนาดใหญ่ ดัดผมทรงสวยตามสมัยนิยม กำลังหมุนดอกผักบุ้งในมือเล่น
เฉินเจียวั่งเหลือบมองพ่อของเขาด้วยสายตาจับผิดอีกครั้ง ทันใดนั้นใบหน้าพลันกระตุกเล็กน้อย
จริงอยู่ที่คนเราไม่สามารถตัดสินกันจากรูปลักษณ์ภายนอกได้ เหล่าเฉินผู้วางตัวสง่างามน่าเชื่อถือมาโดยตลอด ตอนนี้เขาอายุมากแล้ว แต่ยังมีงานอดิเรกเป็นการติดตามดาราอยู่เหรอ?
เฉินเจียวั่งเห็นว่าดวงตาของพ่อเขานิ่งค้างแทบจะไม่กะพริบ จึงเดินไปใกล้ ๆ แล้วโบกมือไปมาต่อหน้าเขา
“พ่อ มองอะไรอยู่ครับ?”
เฉินเจิ้นเจียงถึงได้รู้สึกตัว
เฉินเจียวั่งมองหน้าเขา จากนั้นขู่ด้วยใบหน้าเรียบเฉย “ผมจะกลับบ้านไปฟ้องแม่”
เฉินเจิ้นเจียงกระแอมไอกลบความขัดเขินเล็กน้อย ดุลูกชายด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นกัน “เจ้าเด็กคนนี้ พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าใจ?”
เขากลัวว่าลูกชายจะพูดเรื่องไร้สาระเมื่อกลับไปถึงบ้าน จึงอธิบายอย่างไม่สบายใจว่า “ผู้หญิงคนนั้นเป็นดาราดัง เธอเล่นเป็นนางเอกในหนังที่พ่อเคยดู พ่อมีโอกาสได้เห็นตัวจริงเธอก็เลยมองเพลินไปหน่อย”
มุมปากของเฉินเจียว่างกระตุก “ไม่ยักรู้ว่าพ่อคลั่งไคล้ดาราผู้หญิงด้วย?”
เฉินเจิ้นเจียงหน้าแดงก่ำ ผลักเฉินเจียวั่งให้เดินไปข้างหน้า “ไป เดินนำไปเลย”