บทที่ 239 สองทางเลือกที่แสนยาก
บทที่ 239 สองทางเลือกที่แสนยาก
เซี่ยชิงหยวนจำได้ว่าคนที่รักษาเสิ่นอี้โจวในเมืองหลวงของมณฑลนั้นเป็นหมอชราที่เก่งมาก
ตอนนี้เมื่อหมอคนนั้นได้พูดออกมาอย่างนั้นแล้ว แม้ว่าจะมีความหวังเพียง 1% เธอก็ไม่ต้องการที่จะยอมแพ้
ในชาติที่แล้วเธอพลาดกับเสิ่นอี้โจวตลอดชีวิตเพราะความเข้าใจผิด
เธอไม่อยากให้ชาตินี้เธอต้องพรากจากเขาอีก
ฉู่ซิงอวี่รู้สึกประหลาดใจที่เซี่ยชิงหยวนตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้
ร่างกายของเธอหอบหายใจออกมาอย่างชัดเจน แต่ดวงตาของเธอสดใสและมั่นคง
ทันใดนั้นฉู่ซิงอวี่ก็เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้ แม้ว่าจะไม่มีเสิ่นอี้โจวในภายหลัง เธอก็คงจะไม่แต่งงานกับตัวเขาอย่างแน่นอน
ไม่สิ เธอจะไม่อยู่กับใครอีกนอกจากเสิ่นอี้โจว
เขาตั้งสติอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ตกลงครับ ผมจะจัดการให้ทันที”
เซี่ยชิงหยวนยังใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาว่างนี้ เพื่ออธิบายเรื่องครอบครัวให้ฟางเยว่ฟัง
ตอนนี้เธอออกมาข้างนอกแล้ว เรื่องนี้ไม่สามารถปิดบังจากหลินตงซิ่วได้อีกต่อไป
ดังนั้นเธอจึงขอฟางเยว่ ว่าถ้าหลินตงซิ่วต้องการมาด้วยก็ช่วยดูแลเสิ่นอี้หลินแทนให้ในช่วงเวลานี้ที
เมื่อรถพยาบาลจากโรงพยาบาลเตียนเฉิงพาตัวเสิ่นอี้โจวไปยังเมืองหลวงของมณฑล ผู้คนจำนวนมากต่างพากันมารอพบเขา
พวกเขารู้ว่าเลขาธิการเสิ่นยอมแลกสุขภาพของเขาเพื่อความปลอดภัยของฝูเถียน
ทั้งสองฟากของถนนมีผู้คนมากมายยืนอยู่ และพวกเขายังชูป้ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นคำที่ขอให้เสิ่นอี้โจวเอาชนะความเจ็บป่วยและฟื้นตัวโดยเร็วที่สุด
เซี่ยชิงหยวนนั่งอยู่ในรถ มองผู้คนนอกหน้าต่างรถพลางยิ้มและพูดกับเสิ่นอี้โจวที่ยังอยู่ในอาการโคม่า “อี้โจวดูสิ ผู้คนที่คุณช่วยไว้ พวกเขาทั้งหมดมาที่นี่เพื่อรับคุณเลยนะ”
พูดแล้วเธอก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้
เธอหันหน้าหนีและรีบเช็ดน้ำตาออกไป
คนที่เธอรักจะต้องสบายดี เธอต้องไม่ร้องไห้
ทันทีที่ไปถึงโรงพยาบาลประจำมณฑล หมอหมิ่นมารออยู่แล้วพร้อมกับหมอผู้เก่งกาจหลายคนในแผนกระบบทางเดินอาหาร
ทันทีที่รถหยุด เจ้าหน้าที่หลายคนก็เข้ามาช่วยเข็นเตียงคนไข้เข้าไปในห้องตรวจอย่างรวดเร็ว
บรรยากาศที่ตึงเครียดทำให้ทุกคนเงียบไป
ฉู่ซิงอวี่มาพร้อมกับเซี่ยชิงหยวน
ในฐานะเลขาพิเศษของเสิ่นอี้โจว สมควรอย่างยิ่งที่เขาจะมาด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น เขาต้องการช่วยเหลือเซี่ยชิงหยวนในยามที่เธอเหงาและหมดหนทาง
การได้เห็นเธอร้องไห้แค่ครั้งเดียวก็แทบจะรับไม่ไหวแล้ว
หลิงเยี่ยก็อยากติดตามมาเช่นกัน
แต่เขามีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอยู่ เขาจึงปลีกตัวจากมาไม่ได้
หลิงเยี่ยสามารถพูดกับฉู่ซิงอวี่ได้เท่านั้น “ดูแลเลขาธิการและภรรยาของเขาให้ดีนะ”
พวกเขาไม่ได้พูดอะไรกันไปมากกว่านั้น แต่ทั้งคู่ก็เห็นความรู้สึกที่คล้ายกันในดวงตาของอีกฝ่าย
ไม่เกี่ยวกับความปรารถนาที่เห็นแก่ตัว พวกเขาแค่ต้องการให้คู่รักตรงหน้าสบายดี
ฉู่ซิงอวี่และเซี่ยชิงหยวนนั่งรออยู่ข้างนอกประตูอย่างเงียบ ๆ
จนกระทั่งไฟของป้ายห้องผ่าตรวจดับลง หมอหมิ่นจึงเดินนำออกมา
สายตาของเขาจับจ้องที่เซี่ยชิงหยวน “คุณคือภรรยาของคุณเสิ่นใช่ไหมครับ?’
เซี่ยชิงหยวนเดินเข้าไปหาอีกฝ่าย “ใช่ค่ะ”
หมอหมิ่นถอนหายใจ “เมื่อเขามาครั้งล่าสุด ผมพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการเผื่อมีอะไรเกิดขึ้น เราจะได้สามารถรักษาได้ทันเวลา แต่เขาไม่ฟังและบอกว่าเขามีธุระต้องทำ ซึ่งทำให้เขาพลาดโอกาสที่ดีไป”
เมื่อพูดถึงเสิ่นอี้โจว หมอหมิ่นก็เหมือนกับเผชิญหน้ากับคนไข้ที่ไม่เชื่อฟัง เขาเต็มไปด้วยความโกรธจริง ๆ
เมื่อเห็นใบหน้าที่ซีดเซียวของเซี่ยชิงหยวน ฉู่ซิงอวี่ก็พูดว่า “หมอหมิ่น เลขาธิการเสิ่นเป็นยังไงบ้างครับ?”
หมอหมิ่นพูดอย่างจริงจัง “ตอนนี้มีเพียงสองทางเลือก ทางเลือกแรกคือผ่าตัดเอาส่วนที่กลายเป็นมะเร็งออกและรอดูการเปลี่ยนแปลงอย่างใกล้ชิดในอนาคต เพียงแต่ว่าเทคโนโลยีการผ่าตัดนี้ในประเทศของเรายังไม่พัฒนาเต็มที่ และผู้ป่วยก็อยู่ในอาการที่แย่อยู่แล้ว ไม่รู้ว่าเขาจะฟื้นตัวดีได้หรือไม่ ส่วนทางเลือกที่สอง…”
เขาหยุดชั่วคราว “นั่นคือการพาผู้ป่วยกลับบ้าน ดูแลเขาให้มีความสุขที่สุดในช่วงเวลาต่อจากนี้ครับ”
ทุกคนเข้าใจว่าคำพูดของหมอหมิ่นหมายถึงอะไร
นี่เท่ากับโดนหมอตัดสินประหารชีวิต
เซี่ยชิงหยวนร่างกายสั่นเทาจนแทบล้มทั้งยืน
ฉู่ซิงอวี่ก้าวไปข้างหน้าเพื่อจับแขนของเธอ และพยายามทำให้เธอมั่นคง
เธออธิษฐานตลอดทางโดยหวังว่าจะได้ยินข่าวดีบ้างจากหมอหมิ่น แต่โดยไม่คาดคิดเลย…
สำหรับเธอ มันเหมือนสายฟ้าฟาดจากฟ้า
เธออยากจะพูด แต่ริมฝีปากของเธอสั่นเพราะความกลัว
ในใจของเธอกำลังถามตัวเองว่าจะทำยังไงต่อ
ฉู่ซิงอวี่ทนไม่ได้และถาม “หมอหมิ่น ไม่มีวิธีอื่นแล้วเหรอครับ?”
หมอหมิ่นส่ายหัวอย่างเสียใจ ‘ถ้าเป็นครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ยังมีโอกาสหกสิบถึงเจ็ดสิบ แต่ตอนนี้ไม่เกินยี่สิบแล้วครับ”
เสิ่นอี้โจวเป็นบุคคลที่น่าประทับใจและโดดเด่นที่สุดเท่าที่เขาเคยพบมา
เมื่อข่าวฝนตกในฝูเถียนมาถึง เขารู้สึกเสียใจกับเลขาธิการหนุ่มคนนี้จริง ๆ
เซี่ยชิงหยวนฟังจากด้านข้าง กำมือแน่นจนเล็บนิ้วเจาะผิวหนังฝ่ามือของเธอ แต่หญิงสาวไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำ
เธอต้องการพูดคุยเกี่ยวกับการดำเนินการนี้
แต่เธอกลัวมากว่าเมื่อเสิ่นอี้โจวขึ้นเตียงผ่าตัดแล้ว เขาจะไม่สามารถลงมาได้อีกเลย
แต่ถ้าหากเธอไม่ทำ เธอจะเห็นชีวิตของเสิ่นอี้โจวตายไปทีละน้อย
ไม่ว่าทางไหนเธอก็ทนไม่ได้
หูของเธออื้ออึง และเธอไม่สามารถคิดอะไรได้อีก
เธอถอยหลังไปสองสามก้าว ไม่สามารถพยุงตัวเองได้อีกต่อไป และเซไถลลงไปกับกำแพง
หญิงสาวเหมือนเด็กที่ทำอะไรไม่ถูก เธอซบหน้าลงที่เข่า แขนโอบรอบศีรษะและทั้งตัวสั่น
ในที่สุดฉู่ซิงอวี่ก็ทนไม่ได้อีกต่อไป และบอกกับหมอหมิ่นว่า “ลุงหมิ่น เราเข้าใจแล้วครับ โปรดให้เวลาครอบครัวของผู้ป่วยมากกว่านี้ก่อนที่เราจะให้คำตอบกับคุณนะครับ”
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนเป็นแบบนี้ หมอหมิ่นก็รู้ว่าเธอไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนและถอนหายใจอีกครั้ง “หากคุณมีคำถามอะไรเพิ่มเติม คุณสามารถมาถามผมได้ทุกเมื่อเลยนะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ส่ายหัวและจากไป
หลังจากมองดูหมอหมิ่นจากไป ดวงตาของฉู่ซิงอวี่ก็ตกลงไปที่ไหล่บาง ๆ ของเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง
ดวงตาที่อ่อนโยนตามปกติของเขาเจือไปด้วยความเจ็บปวด และมีอารมณ์บางอย่างที่เขาต้องการระงับอย่างสิ้นหวัง
เขาคิดว่าเขาควรจากไป
หรือยืนรอเงียบ ๆ ให้เธอสงบสติอารมณ์ก่อนจะยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เธอ?
แต่ถึงยังไง เมื่อเสียงร้องไห้ของหญิงสาวดังเข้ามาในหูของเขา ชายหนุ่มก็ไม่สามารถควบคุมเท้าของตัวเองได้อีกต่อไป และเดินเข้าไปหาเธอ
เขายืนอยู่ตรงหน้าเธอ เห็นเพียงยอดผมสีดำของอีกฝ่ายเท่านั้น
เขาหมอบลง
ยื่นมือไปหาเธออีกครั้ง กล้ามเนื้อแขนทั้งแขนเกร็งแน่นจนสั่น
เขาเห็นฝ่ามือขนาดใหญ่ของเขาแตะไหล่ของเธอ มันเบามากและเขาก็ถอนมือกลับด้วยการสัมผัสเพียงเท่านั้น
เขาผู้ที่เคยสามารถทำให้ผู้หญิงคนไหนก็ตามมีความสุขได้ตั้งแต่เด็ก จู่ ๆ ก็กลายเป็นใบ้ และหลังจากนั้นไม่นาน เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาอย่างแผ่วเบา “อย่าเศร้าไปเลย”
ในเวลานี้เองที่เซี่ยจื่ออี้มาที่โรงพยาบาล
เธอทราบข่าวจากพ่อของตัวเองจึงรีบมา
หลังจากถามว่าเสิ่นอี้โจวอยู่ในวอร์ดไหน เธอก็วิ่งเหยาะ ๆ มาทันที
แต่เธอเห็นอะไร?
เธอเห็นฉู่ซิงอวี่นั่งยอง ๆ ข้าง เซี่ยชิงหยวนปลอบโยนเธออย่างระมัดระวัง
เธอรู้จักเขามานานแล้ว แถมมีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอแกล้งทำให้ตัวเองเจ็บและร้องไห้เพื่อต้องการให้เขาปลอบโยน แต่เธอก็ยังไม่เคยเห็นเขาปลอบเธออย่างที่ทำกับเซี่ยชิงหยวนในตอนนี้เลย
ภาพตรงหน้ามันทิ่มแทงตาเธอมากเหลือเกิน
เธออดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาทันที “ซิงอวี่!”