บทที่ 295 ทำไมสาวสวยคนนี้ถึงกล้าขนาดนี้!
บทที่ 295 ทำไมสาวสวยคนนี้ถึงกล้าขนาดนี้!
เมื่อพี่น้องเห็นสิ่งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล
ในใจของพวกเขา นี่เป็นครั้งแรกที่เซี่ยโยว่หมิงพูดคำพูดที่จริงจังแบบนี้กับหวังผิง
นับตั้งแต่เติบโตมา มันเป็นครั้งแรกที่พวกเขาไม่เชื่อฟังเธอ
เซี่ยโยว่หมิงโบกมือ “แม่ของพวกลูกไม่เป็นอะไรหรอก เมื่อไหร่ที่แม่คิดได้ แม่เขาจะดีขึ้นเองนั่นแหละ”
เขากับหวังผิงแต่งงานกันมาหลายสิบปีแล้ว เขาจะไม่เข้าใจเธอได้ยังไง?
แต่ถึงอย่างนั้น หลังจากเกิดอะไรขึ้นกับเซี่ยจิ่งเฉิน เขาก็เข้าใจความจริงข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรปล่อยปละละเลยอีกต่อไป
บางครั้งการตัดเรื่องยุ่ง ๆ ออกไปอย่างรวดเร็วจะดีกว่า
การรักษาความสามัคคีและความอบอุ่นภายในบ้านต้องไม่ใช่เกิดจากการบังคับกัน แต่ต้องอาศัยความเข้าใจและความเคารพซึ่งกันและกัน
เขาตบมือลูกชายทั้งสองคนและพูดจากใจจริง “พ่อไม่ได้มีข้อกำหนดอะไร พ่อแค่หวังว่าพวกลูกจะสามารถใช้ชีวิตของตัวเองได้ดี แต่ถ้าหากลูก ๆ ต้องการเรา เพียงบอกให้เรามาเท่านั้น ถ้ามันเป็นสิ่งที่แม่และพ่อทำได้ เราจะช่วยลูก ๆ อย่างแน่นอน แต่พ่อแค่หวังว่าลูกจะไม่ทะเลาะกับแม่เพราะเรื่องนี้นะ”
ดวงตาของเซี่ยจิ่งเยว่กับเซี่ยจิ่งเฉินแดงก่ำ และกงเหลียนซินก็เช็ดน้ำตาด้วย
พวกเขาทั้งหมดพูดพร้อมกัน “พ่อ ขอบคุณครับ/ค่ะ”
เซี่ยจิ่งเฉินมองดูผมที่ขาวของพ่อเขา และรู้สึกผิดมากขึ้นอีก
เขาจับมือชราอันหยาบกระด้างของเซี่ยโยว่หมิงไว้แน่นแล้วคุกเข่าลง “พ่อครับ ลูกชายคนนี้อกตัญญูจริง ๆ”
ความทุกข์ของทั้งครอบครัวดูเหมือนจะเริ่มต้นจากการแต่งงานของเขา
ถ้าไม่มีเขา ครอบครัวนี้คงไม่เป็นแบบนี้
คุณปู่คงจะสามารถใช้ชีวิตวัยชราได้อย่างสงบสุข น้องสาวของเขาคงจะได้เรียนจนจบมหาวิทยาลัยและมีอนาคตที่ดี พี่ชายกับพี่สะใภ้มีแต่ความรัก และครอบครัวมีความสามัคคี
เซี่ยโยว่หมิงอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา
เขาลูบศีรษะของเซี่ยจิ่งเฉิน และพบว่าผมสีขาวเริ่มงอกขึ้นบนขมับของลูกชาย ทำให้เขารู้สึกเศร้ามากยิ่งขึ้น
ตอนนี้เซี่ยจิ่งเฉินอายุเพียงยี่สิบเจ็ดเท่านั้นเอง!
เซี่ยโยว่หมิงยังคงจำวันที่เซี่ยจิ่งเฉินเรียกเขาว่าพ่อด้วยรอยยิ้มทุกครั้งที่กลับจากข้างนอกได้
เขาพูดว่า “มันจบแล้ว ตราบใดที่ลูกสบายดี พ่อแม่ก็โล่งใจ”
เขาหยุดชั่วคราวและคิดถึงลูกสาวตัวน้อยของเขาที่อยู่ห่างไกลในเมืองเตียนเฉิง “ในชีวิตนี้สิ่งที่พ่อเสียใจมากที่สุดก็คือชีวิตน้องสาวของลูกและตัวลูก ลูกต้องดูแลน้องให้ดีและปกป้องน้องไม่ให้ถูกรังแกนะ”
พอได้ยินแบบนั้น ทั้งเซี่ยจิ่งเยว่และเซี่ยจิ่งเฉินต่างพูดว่า “เราจะทำแบบนั้นแน่นอนครับ”
…
ต่อมา จางอวี้เอ๋อและเหอเส้าหยวนถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงจากการที่มีพยานพบเห็นมากมาย
แม้แต่สมาชิกในตระกูลจางและพี่น้องหลายคนก็มาด้วย
เหอเส้าหยวนถูกตัดสินประหารชีวิต เนื่องจากใช้อำนาจในทางที่ผิดและใช้ประโยชน์จากอำนาจของเขาในการคบชู้
จางอวี้เอ๋อมีความผิดฐานคบชู้กับชายที่แต่งงานแล้ว และใช้ความสัมพันธ์ในการไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจ ทำธุรกรรมเพื่อหากำไร กระทำการอันธพาล และยังเคยมีความสัมพันธ์กับชายหลายคนในคราวเดียวกันเมื่อในอดีต ศาลจึงตัดสินจำคุกเธอเป็นเวลายี่สิบปี
ทันทีที่มีการประกาศคำตัดสิน แม่เฒ่าจางและพี่น้องจางทั้งหลายก็หลั่งน้ำตาออกมา
ยี่สิบปี! เมื่อเธอออกมา โลกทั้งใบจะเปลี่ยนไปและชีวิตของเธอก็ไม่ต่างอะไรกับจบสิ้นชีวิต!
แต่กฎหมายนั้นไร้ความปรานี และทุกคนควรชดใช้สำหรับสิ่งที่พวกเขาได้กระทำลงไป
เติ้งซูอี้และลูกสาวของเธอกอดกัน มองดูเหอเส้าหยวนที่นั่งอยู่ที่นั่นด้วยความรู้สึกเศร้าเสียใจ
เหอเส้าหยวนยืนขึ้นเหมือนซอมบี้ แล้วเดินกลับไปที่ลานด้านหลัง
ลูกสาวของเขาอดไม่ได้ที่จะเรียกออกมา “พ่อ!”
เหอเส้าหยวนหยุดชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้หันกลับมามองเธออีกเลย
ลูกสาววิ่งเข้าไปในอ้อมแขนของเติ้งซูอี้ และร้องไห้เสียงดัง
เมื่อเทียบกับการยอมจำนนต่อชะตากรรมของเหอเส้าหยวนแล้ว จางอวี้เอ๋อนั้นดูน่าตื่นตากว่ามากบราวนี่ออนไลน์
เธอตะโกนว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม และบอกว่าผู้พิพากษาลงโทษเธอรุนแรงเกินไป
แต่ยังไงซะ หลักฐานเป็นที่แน่ชัดแล้ว แม้ว่าจะหาหนี่เจิ้งไม่เจอ แต่ก็ยังมีหลักฐานหลายอย่างจากในสมัยอดีตตอนที่จางอวี้เอ๋อเรียนอยู่ ซึ่งสามารถนำมาใช้ในการพิจารณาคดีได้
เมื่อเผชิญหน้ากับผลการตัดสินเช่นนี้ แม่เฒ่าจางก็สูญเสียการควบคุมทันที และพี่ใหญ่ตระกูลจางก็ทำได้เพียงปลอบประโลมเท่านั้น
“อย่างน้อยเธอก็ไม่ถูกประหารชีวิต เมื่ออยู่ในคุก เธอจะต้องกลับเนื้อกลับตัว และอาจจะถูกปล่อยตัวออกจากคุกในเวลาไม่ถึงยี่สิบปีก็ได้”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินเรื่องนี้ เธอก็ไม่มีสีหน้าใด ๆ
หญิงสาวเพียงถอนหายใจออกมา “ครอบครัวของพวกเขายังมีหนทางอีกยาวไกล”
แค่ถัดจากนี้มันจะเป็นความเจ็บปวดสำหรับเซี่ยซือถง
ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้สึกประหลาดใจที่พวกเขาต้องการเอาเซี่ยซือถงไปดูแล
ตามลักษณะนิสัยของคนตระกูลจาง พวกเขาน่าจะไม่จะต้องการเด็กทั้งสองคนไม่ใช่เหรอ?
หรือมีเรื่องอะไรอยู่เบื้องหลัง?
เซี่ยชิงหยวนพลางหวนคิดถึงเทคโนโลยีตรวจดีเอ็นเอขึ้นมา
เพียงแต่ว่าในเวลานี้ เทคโนโลยีตรวจดีเอ็นเอมีใช้แค่ในคดีอาญาของประเทศจีนเป็นหลักเท่านั้น และยังไม่มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในการตรวจพิสูจน์ความเป็นบิดามารดา
ดูเหมือนว่าสิ่งเดียวที่ต้องทำคือรอดูเท่านั้นสินะ
…
สองวันต่อมา เซี่ยจิ่งเฉินก็มาถึงเมืองเตียนเฉิง
เขาแบกกระเป๋าเดินทางธรรมดา ๆ เพื่อมาบอกลาเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจว
เขาพูดว่า “พี่วางแผนไปทำธุรกิจกับเพื่อน ๆ น่ะ คราวนี้พี่มาบอกลา”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกประหลาดใจและมีความสุขกับการตัดสินใจของเซี่ยจิ่งเฉิน เธอถามเขาว่า “พี่วางแผนจะไปทำอะไรเหรอ?”
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้า “พี่วางแผนจะไปเมืองเซินเจิ้นน่ะ พี่มีเพื่อนที่ทำอุปกรณ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์อยู่ที่นั่น ตลาดเซินเจิ้นเป็นแนวหน้าของการปฏิรูปและการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจ อีกทั้งตอนนี้อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์กำลังพัฒนาไปได้ดีด้วย”
หลายคนที่ฉวยโอกาสนี้ไปที่นั่นต่างก็ร่ำรวย
ถ้าเซี่ยชิงหยวนไม่คุ้นเคยกับพื้นที่นั้น เธอคงอยากจะมีส่วนร่วมด้วยแล้ว
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้พยายามรั้งเขาไว้ “พี่มีทุนทำธุรกิจหรือยัง ถ้ายัง ฉันมีเงินอยู่บ้าง พี่เอาไปก่อนไหม?”
“ไม่ต้องหรอก” เซี่ยจิ่งเฉินปฏิเสธทันที “หลายปีที่ผ่านมาพี่ประหยัดอดออมอยู่บ้าง แม้จะไม่ใช่เงินมากมาย แต่ก็น่าจะพอเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กได้”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่ได้ดึงดันอีกต่อไป “ถ้าอย่างนั้นฉันขอให้ในอนาคตพี่กลับบ้านมาอย่างรุ่งโรจน์เลยนะ”
หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวน และมองดูใบหน้าที่สงบสุขของเธอ ดวงตาของเซี่ยจิ่งเฉินพลันวูบวาบ
เขาจำสิ่งที่เซี่ยโยว่หมิงพูดส่งเขาก่อนออกเดินทางได้
เขาเสียใจจริง ๆ สำหรับน้องสาวคนนี้
แต่เธอมองผ่านเขาทันที โดยรู้ว่าคราวนี้เขาไปทำงานเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง
เธอจึงอวยพรให้เขากลับบ้านอย่างมีความสุข
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้า “แน่นอน”
แต่แล้วเซี่ยชิงหยวนก็ยืนขึ้น “เดี๋ยวก่อน”
หลังจากพูดจบ เธอก็เข้าไปที่ห้องแล้วหยิบของออกมา “เสื้อผ้าพวกนี้ฉันซื้อมาให้พี่เมื่อตอนที่ฉันไปเมืองกว่างโจวครั้งล่าสุด พี่ควรเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใส่ได้แล้วนะ”
ขณะที่พูด เธอก็ยิ้มออกมา “แต่ฉันซื้อมาตามขนาดตัวของพี่ก่อนหน้านี้ ตอนนี้น้ำหนักของพี่ดูลดลงมากมันอาจจะใหญ่ไปหน่อยนะ”
จากที่ได้ยินมาจากกงเหลียนซิน เสื้อผ้าที่เธอมอบให้เซี่ยจิ่งเฉินครั้งล่าสุดถูกจางอวี้เจียวนำกลับไปที่บ้านแม่ของเธออย่างเงียบ ๆ
เซี่ยจิ่งเฉินรับเสื้อผ้าไปราวกับว่าพวกมันหนักพันชั่ง
เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วร้องไห้ออกมา
เขาเช็ดน้ำตาอย่างรวดเร็วก่อนจะพูดว่า “ขอบคุณนะ”
เสิ่นอี้โจวยืนข้าง ๆ และพูดว่า “ในอนาคตเมื่อพี่รองกลับมา บางทีพี่รองอาจจะเป็นฝ่ายสนับสนุนชิงหยวนแทนแล้วก็ได้”
เซี่ยจิ่งเฉินพยักหน้าและมองดูสองคนตรงหน้าที่ไม่กล่าวโทษตนเองเลย เขาสัญญากับเซี่ยชิงหยวนว่า “พี่จะทำแบบนั้นแน่นอน”
ทั้งคู่กล่าวอำลาเซี่ยจิ่งเฉินและยืนอยู่ที่ประตูสักพัก
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันหวังว่าครั้งนี้พี่รองจะยืนหยัดได้จริง ๆ นะ”
เสิ่นอี้โจวกอดเธอ “ตอนนี้มันเห็นได้ชัดแล้วแหละว่าเขาตัดสินใจเปลี่ยนตัวเองแล้ว”
…
เมื่อเรื่องราวทุกอย่างถึงบทสรุปแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็กลับสู่ชีวิตเดิมที่เต็มไปด้วยการค้าขายและเงินทอง
ในที่สุดเธอก็ขายชุดชั้นในที่เคยถูกซื้อเก็บไว้ก่อนหน้านี้
ขณะเดียวกัน ในที่สุดอาจ้วงก็ได้รับการปลดปล่อย และกลับบ้านอย่างมีความสุขเพื่อช่วยทำไร่ทำสวน
เซี่ยชิงหยวนพาอาเซียงไปที่สี่แยกของศาลากลาง ซึ่งเธอไปขายอยู่บ่อย ๆ และนำเสื้อผ้าออกมา
แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ไม่กล้าทำให้มันดูโจ่งแจ้งเกินไป และแขวนชุดชั้นในสีสันสดใสไว้ข้างเสื้อผ้าปกติเพียงไม่กี่ชุดเท่านั้น
แต่นั่นก็เพียงพอที่จะดึงดูดสายตาแล้ว
หญิงสาวที่เดินผ่านมาต่างก็มีใบหน้าแดงระเรื่อชี้ไปที่ชุดชั้นในอย่างเขินอาย “ชุดชั้นในตัวนี้…คุณขายมันยังไงเหรอคะ?”
เซี่ยชิงหยวนเห็นหญิงสาวร่างเล็กร่างน้อยที่อยู่รอบ ๆ กำลังบดบังมุมมองรอบข้าง ดังนั้นเธอจึงยกชุดชั้นในขึ้นแล้วยื่นให้พวกเธอ “แบบครบชุดหกหยวน และห้าหยวนสำหรับชุดชั้นในชิ้นเดียวค่ะ”
หญิงสาวหยิบชุดชั้นในเหมือนมันฝรั่งร้อน แต่เธอก็ลังเลที่จะทิ้งมันไปเพราะว่ามันสวยมาก
มันมีทุกสี เนื้อผ้านุ่มนิ่ม หลายแบบติดดอกไม้และขลิบด้วยลูกไม้ หรือไม่ก็เป็นลูกไม้ทั้งตัว ซึ่งไม่ว่าจะเป็นแบบเต็มตัวหรือใส่แค่ชั้นในเพียงอย่างเดียวก็ดูดีเช่นกัน
หญิงสาวพูดอย่างกล้าหาญว่า “เถ้าแก่เนี้ย สินค้าของคุณแพงไม่เกินไปหน่อยเหรอคะ?”
เซี่ยชิงหยวนตอบทันที “คุณน่าจะเคยซื้อเสื้อผ้าจากฉันแล้วนะ น่าจะรู้ว่าสิ่งที่ฉันขายทั้งหมดล้วนเป็นราคาที่เหมาะสม คนอื่นอาจบอกราคาแปดหยวน และต่อรองกับคุณในราคาสี่หรือห้าหยวน เพราะงั้นผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมแหละค่ะ และมันจะทำให้เราเสียเวลากันทั้งคู่เปล่าๆ”
เธอหยิบชุดชั้นในสีแดงขึ้นมาแล้วชี้ให้พวกเธอดู “แม้ว่าราคานี้จะแพง แต่คุณภาพและรูปแบบต่างจากชุดชั้นในธรรมดามาก ของที่นี่สามารถรองรับหน้าอกของเราและป้องกันไม่ให้หย่อนคล้อยได้ ทั้งยังมีด้านที่สามารถเสริมหน้าอกได้ดีอีกด้วย”
“สายคาดที่ไหล่ก็สบายมากเช่นกัน ผ้าไม่รัดเลย เห็นไหมว่าใส่แบบนี้แล้วรูปร่างหน้าอกจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนพูด เธอก็สวมชุดชั้นในบนตัวแล้วแอ่นหน้าอก “นี่ เห็นไหม ใส่แบบนี้สวยกว่าเดิมเยอะเลย มาเถอะ ฉันจะสอนการใส่แบบถูกวิธีให้ดูเอง วิธีที่เราเคยแต่งตัวแบบสบาย ๆ นั้นมันผิดอย่างสิ้นเชิง”
เธอชี้ไปที่หน้าอกของตัวเอง “เนื้อนี่ต้องยกมันขึ้นแบบนี้”
จากนั้นก็ขยับไปที่รักแร้ “ตรงนี่ คุณต้องขยับมันไปแล้วบีบแบบนี้…แล้วมันจะดีขึ้น”
การกระทำของเซี่ยชิงหยวนน่าตกตะลึงมาก ด้วยท่าทางที่ห้าวหาญและไร้ขีดจำกัดนี้ เหล่าสาวน้อยบางคนที่หน้าบางมากถึงกลับต้องก้มศีรษะลงและไม่กล้ามอง
ช่วยด้วย ทำไมสาวสวยคนนี้ถึงกล้าขนาดนี้เนี่ย!
“นั่นเธอเหรอลูกศิษย์?” จู่ ๆ เซี่ยชิงหยวนก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกเธอ และหญิงสาวก็ตกตะลึงทันที
ครึ่งหนึ่งคือความสุข และครึ่งหนึ่งคือความหวาดกลัว
เธอเพิ่งพูดอะไรออกไป?
มือของเธอสัมผัสอะไร?
ตอนนี้ยังมีที่ว่างสำหรับใบหน้าของเธอให้หลบได้อีกไหม?
เธอรีบโยนชุดชั้นในในมือ และก่อนที่จะร้องอุทานออกมา สายตาของเธอก็สบไปที่มือของชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ ปี่เหลาซาน และเธอก็ไม่สามารถละสายตาออกไปได้อีกต่อไป
เซี่ยชิงหยวนตอบทันที “คุณน่าจะเคยซื้อเสื้อผ้าจากฉันแล้วนะ น่าจะรู้ว่าสิ่งที่ฉันขายทั้งหมดล้วนเป็นราคาที่เหมาะสม คนอื่นอาจบอกราคาแปดหยวน และต่อรองกับคุณในราคาสี่หรือห้าหยวน เพราะงั้นผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมแหละค่ะ และมันจะทำให้เราเสียเวลากันทั้งคู่เปล่าๆ”
เธอหยิบชุดชั้นในสีแดงขึ้นมาแล้วชี้ให้พวกเธอดู “แม้ว่าราคานี้จะแพง แต่คุณภาพและรูปแบบต่างจากชุดชั้นในธรรมดามาก ของที่นี่สามารถรองรับหน้าอกของเราและป้องกันไม่ให้หย่อนคล้อยได้ ทั้งยังมีด้านที่สามารถเสริมหน้าอกได้ดีอีกด้วย”
“สายคาดที่ไหล่ก็สบายมากเช่นกัน ผ้าไม่รัดเลย เห็นไหมว่าใส่แบบนี้แล้วรูปร่างหน้าอกจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง”
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนพูด เธอก็สวมชุดชั้นในบนตัวแล้วแอ่นหน้าอก “นี่ เห็นไหม ใส่แบบนี้สวยกว่าเดิมเยอะเลย มาเถอะ ฉันจะสอนการใส่แบบถูกวิธีให้ดูเอง วิธีที่เราเคยแต่งตัวแบบสบาย ๆ นั้นมันผิดอย่างสิ้นเชิง”
เธอชี้ไปที่หน้าอกของตัวเอง “เนื้อนี่ต้องยกมันขึ้นแบบนี้”
จากนั้นก็ขยับไปที่รักแร้ “ตรงนี่ คุณต้องขยับมันไปแล้วบีบแบบนี้…แล้วมันจะดีขึ้น”
การกระทำของเซี่ยชิงหยวนน่าตกตะลึงมาก ด้วยท่าทางที่ห้าวหาญและไร้ขีดจำกัดนี้ เหล่าสาวน้อยบางคนที่หน้าบางมากถึงกลับต้องก้มศีรษะลงและไม่กล้ามอง
ช่วยด้วย ทำไมสาวสวยคนนี้ถึงกล้าขนาดนี้เนี่ย!
“นั่นเธอเหรอลูกศิษย์?” จู่ ๆ เซี่ยชิงหยวนก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยเรียกเธอ และหญิงสาวก็ตกตะลึงทันที
ครึ่งหนึ่งคือความสุข และครึ่งหนึ่งคือความหวาดกลัว
เธอเพิ่งพูดอะไรออกไป?
มือของเธอสัมผัสอะไร?
ตอนนี้ยังมีที่ว่างสำหรับใบหน้าของเธอให้หลบได้อีกไหม?
เธอรีบโยนชุดชั้นในในมือ และก่อนที่จะร้องอุทานออกมา สายตาของเธอก็สบไปที่มือของชายหนุ่มที่อยู่ข้าง ๆ ปี่เหลาซาน และเธอก็ไม่สามารถละสายตาออกไปได้อีกต่อไป
มือนั้นที่เคยส่งเธอ และเคยเล่นเครื่องดนตรีจนสร้างเสียงเพลงอันไพเราะ ตอนนี้มันขาดหายไปสองนิ้วได้ยังไง!?
———————