บทที่ 298 ร่างกายของคุณ คุณตัดสินใจ
บทที่ 298 ร่างกายของคุณ คุณตัดสินใจ
นี่ดูเหมือนจะเป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคุยกันโดยตรงเกี่ยวกับการมีลูกแบบนี้
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนเขินอายในช่วงเวลาสั้น ๆ เธอก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา “ไม่รู้ว่าตอนนี้สภาพร่างกายฉันดีหรือเปล่าน่ะสิ”
ในระหว่างการนัดตรวจติดตามผลครั้งล่าสุดของเธอ หมอฮวงกล่าวว่าผลการรักษามีความก้าวหน้าเป็นอย่างดี
เสิ่นอี้โจววางมือไว้ข้างตัวเธอ “แน่นอนว่ามันจะดีขึ้นเรื่อย ๆ”
ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนกลายเป็นสีแดงก่ำจนมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
หญิงสาวพยักหน้าและกล่าวว่า “หมอฮวงบอกว่าถ้าเราอยากจะมีลูก เธอจะเปลี่ยนใบสั่งยาให้ฉัน”
หมอฮวงเพิ่งจะได้ยินเรื่องของเสิ่นอี้โจวในภายหลัง
ดังนั้นเรื่องที่พวกเขาจะมีลูกจึงไม่ถูกเร่งเร้าเหมือนเมื่อก่อน “ไม่เป็นไร คุณก็ถือโอกาสบำรุงร่างกายไปพลาง ๆ ดังคำที่ว่าพืชบนดินจะเจริญเติบโตได้ดีเมื่อดินอุดมสมบูรณ์ ในช่วงที่ยังไม่รีบร้อนแบบนี้เราก็ควรมุ่งความสนใจไปที่เรื่องการบำรุงตัวเอง ศึกษาเรื่องการคลอดบุตรและดูแลหลังคลอดไว้นะ”
ในปีนี้ประเทศได้ดำเนินนโยบายลูกคนเดียว ทั้งยังส่งเสริมการดูแลก่อนคลอดและหลังคลอด ดังนั้นสำหรับคู่รักที่มีลูกได้เพียงคนเดียว คุณภาพของเด็กจึงมีความสำคัญมาก
คนรุ่นเก่าต่อต้านนโยบายนี้มาก ท้ายที่สุดพวกเขาได้รับอิทธิพลจากความคิดแบบปิตาธิปไตยหรือระบบที่ว่าผู้ชายเป็นใหญ่มาหลายปีแล้ว ซึ่งพวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงและปรับตัวได้อยู่ระยะหนึ่ง
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แม่สามีจะบังคับให้ลูกชายและลูกสะใภ้หย่าร้างเพื่อที่จะมีลูกชาย
แม่สามีของเจียงเพ่ยหลานก็เป็นเหมือนกัน
เซี่ยชิงหยวนยังคงลังเล “แต่คุณยังกินยาอยู่หรือเปล่า?”
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “เมื่อสัปดาห์ก่อนผมกินครบแล้ว นอกจากนี้ ตั้งแต่เมื่อครั้งล่าสุดที่หมอหมิ่นจ่ายยาให้ เขาไม่ได้จ่ายยาที่มีผลข้างเคียงมากเกินไปให้ผมแล้วล่ะ”
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนแล้วหลังจากออกจากโรงพยาบาล เสิ่นอี้โจวใช้ยาต้านมะเร็งเพื่อป้องกันการเกิดซ้ำของโรค
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสภาพร่างกายที่ดีของเขาหรือเหตุผลอื่นใด แต่เดิมที่หมอวางแผนจะให้เขากินยาเป็นเวลาอย่างน้อยสามถึงห้าเดือนหรือครึ่งปี กลับกลายเป็นได้เปลี่ยนใบสั่งยาล่วงหน้าแทน
เขาก้มศีรษะลงแล้วใช้ปลายจมูกคลอเคลียเธอ “รออีกสองสามเดือนก็จะไม่ต้องกินยาแล้วล่ะ”
เขาหยุดชั่วคราว “เมื่อเด็กเกิดมา ตอนนั้นน่าจะเป็นช่วงตรุษจีน”
“หรืออยากจะคลอดลูกช่วงฤดูใบไม้ผลิดี? ฤดูใบไม้ผลิคือการฟื้นตัวของทุกสิ่งก็เหมาะกับการเติบโตของเด็กเหมือนกัน หากเป็นแบบนี้ เราจะเลื่อนออกไปอีกครึ่งปีก็ได้ แต่สรุปแล้วมันก็ขึ้นอยู่กับร่างกายคุณด้วย ดังนั้นในท้ายที่สุดผมจะให้คุณเป็นคนตัดสินใจนะ”
คำพูดของเสิ่นอี้โจวดูเหมือนจะทำให้เธอสับสนในทุกคำ
ทันใดนั้นเธอก็มีภาพลวงตาว่าเด็กคนนี้ได้เกิดมาแล้ว
จริง ๆ แล้วตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่จะมีลูกเท่าไหร่นัก
เมื่อถึงเวลาเข้าเมืองหลวงของมณฑล ทุกอย่างจะต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง การหาร้านและตกแต่งร้านจะต้องใช้พลังงานอย่างมาก นับประสาอะไรกับการสร้างแบรนด์ของตัวเอง
แต่อย่างที่เสิ่นอี้โจวพูด ปีนี้เขาอายุยี่สิบหกแล้ว
หลายคนที่อายุน้อยกว่าเขาได้กลายเป็นพ่อคนแล้ว
ชั่วครู่หนึ่งเธอก็ทนไม่ไหวที่จะปฏิเสธ
หลังจากลังเลไม่นาน เธอก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “งั้นรอสักสองหรือสามเดือนเถอะ เรามาลองมีลูกกันดีกว่า”
สองหรือสามเดือนก็น่าจะเพียงพอสำหรับเธอที่จะจัดการเรื่องร้านค้าได้
นอกจากนี้ท่อนำไข่ของเธอยังอุดตันอยู่ ดังนั้นมันจึงไม่น่าจะเกิดขึ้นพร้อมกัน
ด้วยวิธีนี้มันจะสามารถซื้อเวลาให้เธอเพิ่มได้
เมื่อได้ยินคำตอบของภรรยา เสิ่นอี้โจวก็ยิ้มแย้มด้วยความดีใจเช่นกัน
เขาจูบริมฝีปากของเธอ “งั้นเรามาฝึกซ้อมกันก่อนดีกว่า”
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธอต่อต้านเขาทันที “ฉันมีเรื่องสำคัญจะถามคุณหน่อย”
พอได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวจึงต้องอดทน “มีอะไรร้ายแรงเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนพูดคุยเกี่ยวกับแผนการของเธอ “คุณรู้ไหมว่าบ้านที่จัดโดยหน่วยงานในเมืองหลวงของมณฑลเป็นยังไง? ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากจะเช่าบ้านเดี่ยวหลังเล็กสักหลัง”
เสิ่นอี้หลินเติบโตขึ้นอย่างช้า ๆ และในไม่ช้าก็จะไม่เหมาะที่จะให้อยู่ห้องเดียวกับหลินตงซิ่ว
เงินของเธอยังต้องเอาไปทำอย่างอื่น ดังนั้นตอนนี้เธอยังไม่สามารถซื้อบ้านได้ชั่วคราว เลยต้องเช่าไปก่อน
เสิ่นอี้โจวนอนลงพลางกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา “สำหรับเรื่องที่อยู่ เราจะไปอาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็กสไตล์ตะวันตกต่างหาก”
เซี่ยชิงหยวนอุทานด้วยความประหลาดใจ “เราสามารถอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็กได้เลยเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวเกยคางของเขาไว้บนศีรษะของเธอ “ชิงหยวน ผู้ชายของคุณตอนนี้เป็นฝ่ายเสนาธิการของมณฑลเชียวนะ คุณกำลังดูถูกผมเหรอ?”
อันที่จริงวันนี้ได้มีคำสั่งส่งมาแล้วให้เสิ่นอี้โจวถูกโอนย้ายไปเมืองหลวงของมณฑลอย่างเป็นทางการ และแม้แต่บ้านก็ได้รับการจัดสรร
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเขินอาย เธอโน้มตัวเข้าหาเขา พลางยิ้มอย่างเอาใจและพูดว่า “ดูถูกอะไรกัน ฉันไม่กล้าหรอก”
เสิ่นอี้โจวสูดหายใจเบา ๆ บ่งบอกเป็นนัยว่าเขาได้ยินแล้ว
วินาทีต่อมา เขาพลิกตัวคร่อมร่างของเธอ “จริง ๆ แล้ว ผมอยากเปลี่ยนไปอยู่ในบ้านหลังใหญ่มานานแล้วล่ะ”
เซี่ยชิงหยวน “หืม?”
เสิ่นอี้โจวก้มศีรษะลงแล้วขบงับติ่งหูของเธอ “มัน…ก็แค่ว่าบ้านเราตอนนี้อยู่กันแน่นเกินไป ไม่สะดวกเลยถ้าผมต้องการจะจูบคุณ”
ริมฝีปากของเขาแตะที่คอเรียวระหง และมือใหญ่ของชายหนุ่มก็สอดไล้ใต้เสื้อผ้าของเธอ “แบบนี้ก็เหมือนกัน ถ้าผมอยากปฏิบัติต่อคุณแบบนี้ก็ลำบาก”
เซี่ยชิงหยวน “!”
เสิ่นอี้โจวขยับตัว และปิดไฟ “ภรรยาเรารีบกันเถอะ เราจะนอนดึกไม่ได้นะ”
เซี่ยชิงหยวนชะงักเล็กน้อย “ดะ ได้…”
…
พอตื่นเช้าวันรุ่งขึ้นก็มีเสียงที่หน้าบ้าน เป็นเสียงคนคุยกันจอแจ
เซี่ยชิงหยวนออกไปดูและพบว่าครอบครัวของเติ้งซูอี้กำลังช่วยกันขนของ
พวกเขาทั้งหมดอาศัยอยู่ในบ้านที่ได้รับมอบจากหน่วยงาน และเฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ของระดับผู้นำอาวุโสก็เป็นของหน่วยงานเช่นกัน เช่นเดียวกับบ้านของเซี่ยชิงหยวน ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะขนมากนัก
แต่ท้ายที่สุดเติ้งซูอี้อาศัยอยู่ในบ้านนี้มานานกว่าสิบปีแล้ว และลูกสาวของเธอเติบโตขึ้นมาในบ้านหลังนี้ ดังนั้นเธอจึงซื้อสิ่งของต่าง ๆ เข้าบ้านมากมาย
เติ้งซูอี้ยืนอยู่ที่ประตู มองดูพ่อแม่ของตัวเองเดินเข้าออก ไม่มีใครรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ในทางกลับกัน พี่สาวคนโตของเธอก็คอยบอกคนอื่นให้ระวัง
วันนี้ไม่เห็นลูกสาวของเติ้งซูอี้ เซี่ยชิงหยวนเดาว่าเด็กสาวน่าจะไปโรงเรียนแล้ว
เติ้งซูอี้สังเกตเห็นการจ้องมองของเซี่ยชิงหยวน เธอจึงสะดุ้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วค่อยเดินเข้าไปหา
เมื่อเธอมองไปยังเซี่ยชิงหยวน เธอยังคงไม่มีความสุข แต่ดวงตาของเธอมีความเกลียดชังน้อยกว่าเมื่อก่อนมาก
เธอเม้มริมฝีปากแล้วพูดว่า “ฉันรู้นะว่าเธอรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาอยู่ด้วยกัน และเธอจงใจล่อให้ฉันไปจับพวกคบชู้ใช่ไหม?”
ท้ายที่สุดเซี่ยชิงหยวนและจางอวี้เอ๋อขัดแย้งกัน ดังนั้นจึงเป็นไปได้สูงที่จะทำเช่นนั้น
ไม่ใช่ว่าวันนี้เติ้งซูอี้ต้องการโต้เถียงกับเซี่ยชิงหยวน แต่เธอแค่ไม่ต้องการที่จะกลายเป็นคนโง่ที่ไม่รู้คำตอบที่แท้จริง
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “คุณคิดผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว พอฉันเห็นผ้าพันคอนั่น ฉันก็ได้แต่คาดเดาเท่านั้น”
เมื่อเห็นดวงตาของเติ้งซูอี้ที่กะพริบด้วยความประหลาดใจ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไม? คุณคิดว่าฉันเป็นคนประเภทที่ชอบคำนวณวางแผนการเหรอ?”
หญิงสาวสะบัดผมแล้วพูดว่า “แต่มันก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกนะ มันขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายตรงข้ามของฉันเป็นใครมากกว่า”
นี่หมายความว่าเซี่ยชิงหยวนไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการซ้ำซ้อนในการจัดการกับเธอ
ไม่ใช่การดูถูก แต่แค่บอกตามความจริง
การแสดงออกของเติ้งซูอี้เปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า และในที่สุดเธอก็พูดว่า “เธอชนะ”
จากนั้นเธอก็หันหลังและจากไป
พี่สาวคนโตของเติ้งซูอี้มองที่เซี่ยชิงหยวน และพูดอะไรบางอย่างกับน้องสาว
เติ้งซูอี้ส่ายหัวและไม่พูดอะไรอีก
เซี่ยชิงหยวนหันกลับไป พลางถอนหายใจและกลับเข้าไปในบ้าน
เธอยังคงต้องกังวลเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในร้านตรอกเก่า และแผงขายเสื้อผ้าของตัวเองอยู่
———————