บทที่ 351 เสแสร้งมาหลายปี
บทที่ 351 เสแสร้งมาหลายปี
เสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เซี่ยจื่ออี้และเหยาเป่ยเซิงสะดุ้งตกใจ
ทั้งสองรีบมองไปที่ประตู เห็นฉินซูอวี้ยืนอยู่ที่นั่นด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว และจ้องมองมาที่ทั้งสอง
เซี่ยจื่ออี้เป็นคนแรกที่ตอบสนอง
เธอรีบขจัดความตื่นตระหนก ยืนตัวตรงและก้าวห่างจากเหยาเป่ยเซิง พลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ซูอวี้ ทำไมเธอถึงมาที่นี่เหรอ?”
เหยาเป่ยเซิงไม่ได้คาดคิดเลยว่าจะเจอกับฉินซูอวี้ที่นี่ และเขาก็รู้สึกผิดขึ้นมาชั่วครู่หนึ่ง แต่แล้วเขาก็ตัดสินใจลุกขึ้นยืน
ชายหนุ่มยืดอก และมองดูเธออย่างเฉยเมย
ฉินซูอวี้มองดูการแสดงออกที่ไร้เดียงสาของเซี่ยจื่ออี้อีกครั้งราวกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ และท่าทางที่ไม่แยแสของเหยาเป่ยเซิง จากนั้นความโกรธในใจของเธอก็ไม่สามารถระงับได้อีกต่อไป
เธอก้าวไปข้างหน้าและตบหน้าเซี่ยจื่ออี้ “นังสารเลว!”
เสียง ‘เพียะ!’ นั้นดังสนั่น และความรุนแรงของการตบก็ทำให้เซี่ยจื่ออี้ล้มลงไปที่ข้างโต๊ะทันที
เหตุการณ์นี้ทำให้ทุกคนตื่นตัว รวมถึงเซี่ยจื่ออี้เองด้วยเช่นกัน
คนอื่น ๆ ในสำนักงานอ้าปากค้าง และจ้องมองทั้งสองด้วยดวงตาเบิกกว้าง
เซี่ยจื่ออี้ปิดหน้าและน้ำตาก็ร่วงหล่นอย่างรวดเร็ว ผมของเธอยุ่งเหยิง ซึ่งทำให้ดูน่าสงสารยิ่งขึ้น ไม่ว่าใครก็รู้สึกสงสารเธอ
หญิงสาวเม้มริมฝีปากอย่างโศกเศร้าและไร้เดียงสา “ซูอวี้ เธอเป็นอะไรไป?”
นังนี่ยังกล้าแสดงละครอยู่อีกเหรอหะ!
ฉินซูอวี้ยกมือขึ้นและเล็งไปที่ใบหน้าอีกด้านของเซี่ยจื่ออี้เพื่อตบอีกครั้ง
เหยาเป่ยเซิงยืนเฉยต่อไม่ได้ และคว้าข้อมือของฉินซูอวี้ไว้ “ฉินซูอวี้! นี่เธอทำบ้าอะไร!?”
ทุกคนในสำนักงานเริ่มรวมตัวกัน ยืนอยู่หน้าเซี่ยจื่ออี้เพื่อปกป้องและมองดูฉินซูอวี้อย่างตั้งรับ
มือของฉินซูอวี้ถูกเหยาเป่ยเซิงบีบอย่างเจ็บปวด เธอขมวดคิ้วและพยายามจะสลัดมือของเขาออก แต่เขากลับจับเธอไว้แน่นขึ้นเรื่อย ๆ
เธอตวาดเสียงดังลั่น “เหยาเป่ยเซิง ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ!”
เหยาเป่ยเซิงหันหน้าไปด้านข้างและยืนอยู่ตรงหน้าฉินซูอวี้ “จู่ ๆ เธอก็ปรี่เข้ามาตบคนอื่นอย่างกับอันธพาล เธอเป็นบ้าอะไร? ฉันไม่คิดเลยนะว่าแม้จะผ่านไปหลายปีเธอก็ยังเป็นเหมือนเมื่อก่อน ทั้งหยิ่งยโสและไร้เหตุผล!”
คำพูดของเหยาเป่ยเซิงไม่สุภาพเลย และเขาก็ปล่อยมือเธอก่อนจะก้าวเข้ามาเผชิญหน้าอย่างเต็มตัว
ฉินซูอวี้โกรธมากอยู่แล้ว แต่หลังจากได้ยินคำพูดของเขา ความโกรธของเธอก็พุ่งไปเกินจุดสูงสุด
ความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในใจของเธอเมื่อได้เห็นเหยาเป่ยเซิงอีกครั้งหายไปในพริบตา หญิงสาวตะโกนใส่เหยาเป่ยเซิง “ฉันเนี่ยนะตบเธออย่างอันธพาล? นายนี่มันปกป้องเธออย่างหน้ามืดตามัวเหมือนเมื่อก่อนจริง ๆ! ทำไมนายไม่ถามเธอเองล่ะว่าแอบทำอะไรน่าละอายไว้ลับหลังนายบ้าง?”
เธอชี้ไปที่เหยาเป่ยเซิงและเซี่ยจื่ออี้ “พวกเธอสองคนมันทำให้ฉันรู้สึกคลื่นไส้จริง ๆ!”
สมองของเซี่ยจื่ออี้ทำงานอย่างรวดเร็ว เธอคิดถึงความเป็นไปได้ที่น่าตกใจที่สุดแต่แล้วก็พยายามปฏิเสธมัน
เป็นไปไม่ได้! เฉินหลี่เป็นคนลงมือทำเรื่องพวกนั้นเอง เพราะงั้นไม่ว่าใครจะตรวจสอบมากแค่ไหน มันก็ไม่มีวันค้นพบได้ว่าเป็นเธอ!
เซี่ยจื่ออี้พยายามตะโกนโต้แย้ง “ซูอวี้ เธอเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า? ถ้าเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ฉันสามารถอธิบายได้นะ”
สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือพาฉินซูอวี้ออกไปจากที่นี่ก่อน
ไม่อย่างนั้นเพื่อนร่วมงานของแผนกอื่นจะได้ยินเสียงความโกลาหลนี้ และจะมีผู้คนมามุงดูมากขึ้น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อเธอมากหากคำพูดแพร่กระจายออกไป
“จื่ออี้ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้เธอฟังหรอก” ใบหน้าของเหยาเป่ยเซิงเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง “เธอกับฉันบริสุทธิ์ใจ เรายังจะต้องอธิบายอะไรอีกล่ะ?”
แม้เขาจะคิดในใจว่าเซี่ยจื่ออี้อาจมีปัญหาอะไรบางอย่าง แต่สำหรับเขาในตอนนี้มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมรับ
ชายหนุ่มมองดูฉินซูอวี้ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ “ฉันคิดว่าเธอก็แค่ไม่มีเหตุผลเท่านั้นแหละ!”
เพื่อปกป้องเซี่ยจื่ออี้ เหยาเป่ยเซิงพูดจาโจมตีเธอเรื่อย ๆ แล้วฉินซูอวี้จะอดกลั้นได้ยังไง?
ดวงตาของเธอแดงก่ำ และน้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ก็เช็ดมันออกไปอย่างดื้อรั้น
เธอเยาะเย้ยและพูดว่า “เหอะ นายเนี่ยนะบริสุทธิ์? ท่าทางที่พวกนายอยู่ใกล้กันเมื่อกี้นี้ และการมองหน้ากันแบบนั้น มันอย่างกับพร้อมที่จะไปขึ้นเตียงกันอยู่แล้ว!”
เธอนึกย้อนไปถึงเรื่องของเซี่ยชิงหยวน และรู้สึกว่าบางอย่างในใจมันชัดเจนมากขึ้น “และเธอ! เธอใส่ร้ายฉันที่แพร่ข่าวลือเพียงเพื่อจะได้คุยกับเหยาเป่ยเซิงใช่ไหม!?”
“ซูอวี้!”
“ฉินซูอวี้!”
เซี่ยจื่ออี้และเหยาเป่ยเซิงแทบจะหยุดเธอในเวลาเดียวกัน
สีหน้าของเพื่อนร่วมงานในสำนักงานมีความซับซ้อนทันที
ในความเป็นจริง เซี่ยจื่ออี้มักจะเข้ากับทุกคนได้ดีเสมอ แม้แต่กับเพื่อนร่วมงานผู้ชายก็ตาม
เธอเพิ่งจะหารือถึงปัญหาบางอย่างกับเหยาเป่ยเซิง และมักจะทำแบบเดียวกันกับเพื่อนร่วมงานชายคนอื่น ๆ ด้วยโดยไม่มีความแตกต่าง
ดังนั้นเพื่อนร่วมงานชายคนอื่นจึงไม่คิดว่ามันจะมีปัญหาอะไร
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสีหน้าของพวกเพื่อนร่วมงานชายแล้ว สีหน้าของพวกเพื่อนร่วมงานหญิงนั้นดูเข้าใจมากกว่า
ไม่ว่าเซี่ยจื่ออี้จะเป็นมิตรสักแค่ไหน แต่สำหรับผู้หญิงเหมือนกัน พวกเธอย่อมไม่ชอบที่จะเห็นเพศเดียวกันและเพศตรงข้ามสนิทสนมกันโดยไม่มีเหตุผล
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม พ่อของเซี่ยจื่ออี้คือเซี่ยเจิ้ง และพวกเธอก็ยังไม่พบปัญหาอะไร นอกจากนี้พวกเธอมักจะได้รับความช่วยเหลือเล็ก ๆ น้อย ๆ จากเซี่ยจื่ออี้ด้วย ดังนั้นพวกเธอจึงเงียบไป
แต่หลังจากสิ่งที่ฉินซูอวี้พูดในวันนี้ ความคิดที่ทุกคนเมินเฉยไปก่อนหน้านี้มันกลับมาอีกครั้ง
ยิ่งไปกว่านั้น คนที่พูดนั้นเป็นฉินซูอวี้ ซึ่งก็คือเพื่อนที่สนิทที่สุดของเซี่ยจื่ออี้ ดังนั้นมันจะเป็นเรื่องโกหกได้ยังไงล่ะ?
เมื่อเชื่อมโยงกับข่าวลือเกี่ยวกับเซี่ยจื่ออี้และฉินซูอวี้ที่พวกเขาได้ยินในช่วงสองวันที่ผ่านมา หลายคนที่ยืนปกป้องอยู่ตรงหน้าเซี่ยจื่ออี้ก็เริ่มสั่นไหว
เมื่อเห็นว่ามีคนจากนอกสำนักงานเดินมาดูเพิ่มอีกสองสามคนที่ประตู เซี่ยจื่ออี้ก็รู้ว่าเธอไม่สามารถปล่อยให้สถานการณ์นี้ดำเนินต่อไปได้แล้ว
เธอก้าวเข้าหาและจับมือของฉินซูอวี้ “ซูอวี้ ต้องมีความเข้าใจผิดบางอย่างแน่ ๆ เราออกไปคุยกันข้างนอกได้ไหม?”
เซี่ยจื่ออี้มองด้วยสายตาขอร้องอ้อนวอน
ทุกครั้งที่เกลี้ยกล่อมฉินซูอวี้ เธอจะมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแบบนี้เสมอ
แต่คราวนี้ฉินซูอวี้ไม่หลงกลอีกต่อไปแล้ว
ฉินซูอวี้สะบัดมือของเซี่ยจื่ออี้ออกไป มองด้วยความรังเกียจและรำคาญ “เวลานี้เธอก็ยังคงแสร้งทำเป็นใสซื่อเหมือนเดิมอยู่อีกเหรอเนี่ย? ถ้าเธอไม่มีความคิดแอบแฝงอะไรในใจจริง ๆ ทำไมเธอไม่บอกฉันเรื่องที่เหยาเป่ยเซิงกลับมาล่ะ? เธอรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วว่าฉันชอบเขา นี่เธอคงต้องการจะล่อลวงเขาเองใช่ไหม?”
“สิ่งที่เธอทำในตอนนั้นมันก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าสุนัขกินอึตัวเองหรอก!”
“และยังมีไอ้เรื่องของเซี่ยชิงหยวนที่ไม่สามารถมีลูกได้อีก! เรื่องนั้นเธอเป็นคนบอกฉันเอง และฉันก็เก็บมันไว้เป็นความลับอยู่ตลอด แต่ตอนนี้เธอกลับมาปล่อยข่าวเองแล้วมาใส่ร้ายฉันงั้นเหรอ? ช่างเป็นแผนการที่ต่ำช้าที่สุด!”
“ฉันก็ว่าอยู่ว่าทำไมตั้งแต่เด็ก ตราบใดที่มีคนที่ดีกว่าเธอโผล่ขึ้นมา จู่ ๆ พวกเขามักจะต้องสูญเสียชื่อเสียงเพราะเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ มากมาย ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นเธอเองสินะ ที่วางแผนชั่วใส่คนพวกนั้นทั้งหมด!”
“เซี่ยจื่ออี้ เธอเสแสร้งเป็นคนดีมาหลายปีขนาดนี้แล้วไม่รู้สึกรังเกียจตัวเองเลยรึไง?”
สำหรับเซี่ยจื่ออี้แล้ว ช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่น่าอับอายที่สุดในชีวิต มันเหมือนกับการที่เธอสวมหน้ากากมาหลายปี ถูกเปิดเผยต่อหน้าคนอื่น ๆ
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดเลยว่าฉินซูอวี้จะใช้เหตุการณ์แตกหักนี้เปิดเผยเรื่องในอดีต
เธอสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในสายตาของคนอื่นที่มองมา ซึ่งพวกเขาน่าจะเชื่อคำพูดของฉินซูอวี้ไปซะแล้ว
เพราะไม่ว่าใครจะพูดอะไร มันก็ไม่มีน้ำหนักเมื่อเทียบกับคำพูดของคนที่สนิทกับเธอมากที่สุดอย่างฉินซูอวี้
ไม่ได้ เธอจะยอมรับง่าย ๆ ไม่ได้ เธอต้องไม่ยอมรับมัน!
ภาพลักษณ์ของฉินซูอวี้ต่อทุกคนนั้นมีแต่ความเย่อหยิ่งและร้ายกาจมาโดยตลอด ตราบใดที่เธอยืนยันปฏิเสธ คนอื่น ๆ ก็จะคิดว่าฉินซูอวี้กำลังสร้างปัญหาเพียงฝ่ายเดียว
ทันใดนั้นน้ำตาก็ไหลอาบแก้มของเซี่ยจื่ออี้
เธอก้าวไปข้างหน้าเพื่อคว้ามือของฉินซูอวี้เอาไว้ ทั้งยังทำท่าทางอดทนและวิงวอน “ซูอวี้ เธอเข้าใจฉันผิดจริง ๆ นะ ต้องมีใครสักคนจงใจทำลายความสัมพันธ์ของเรา และทำให้เธอเข้าใจผิดแน่ เธออย่า…ว้าย!”
“อย่ามาแตะต้องฉัน!” ฉินซูอวี้รู้สึกว่าท้องไส้พลันปั่นป่วนขึ้นมาเมื่อถูกเซี่ยจื่ออี้สัมผัส
เธอไม่สุภาพเลย และผลักเซี่ยจื่ออี้ออกไปอย่างแรง
เซี่ยจื่ออี้ล้มลงกับพื้น หน้าผากของเธอกระแทกมุมโต๊ะจนมีเสียงดัง ‘ตึง’
ทันใดนั้นเสียง ‘เพียะ’ ก็ดังตามมา
และเป็นเหยาเป่ยเซิงที่อดไม่ได้จนตบฉินซูอวี้
เขาจ้องมองด้วยความโกรธเคือง “ฉินซูอวี้ พอได้แล้ว!”