บทที่ 361 แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน
บทที่ 361 แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน
บทสนทนาระหว่างทั้งสองหยุดกะทันหัน และพวกเขาก็มองไปที่เซี่ยจื่ออี้
เซี่ยจื่ออี้เดินเข้ามาอย่างรวดเร็วและพูดอย่างจริงจัง “ลุงฉีคะ พ่อคะ หนูไม่เห็นด้วยค่ะ”
ความไม่พอใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเซี่ยเจิ้ง และเอ่ยเตือน “จื่ออี้ กลับไปที่ห้องของลูกก่อน”
กลับกัน ดวงตาของเซี่ยจื่ออี้มั่นคงอย่างมาก “พ่อกำลังคุยเรื่องการแต่งงานของหนู หนูควรจะอยู่ที่นี่ด้วยไม่ใช่เหรอคะ? หนูคิดว่าหนูมีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นนะ”
คำพูดของเซี่ยจื่ออี้ทำให้ใบหน้าของเซี่ยเจิ้งซีดลงทันที
เสียงของเขาเริ่มรุนแรงขึ้น “จื่ออี้!”
เซี่ยจื่ออี้ไม่คิดกังวลกับความคิดของเซี่ยเจิ้งได้อีกต่อไป เธอพูดต่อ “ถ้าจิ่นจือปฏิเสธหนูเพราะเหตุผลที่ลุงฉีเพิ่งพูดเมื่อครู่ หนูคิดว่าสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ค่ะ…”
“ให้หนูได้ใช้เวลากับเขาอีกสักหน่อยเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป เขาจะรู้อย่างแน่นอนว่าใครคือคนที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเขา ลุงฉีคะ หนูเชื่อว่าก่อนที่คุณลุงจะเลือกบ้านของหนู คุณลุงจะต้องพิจารณาเงื่อนไขทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นคุณลุงต้องคิดไปบ้างแล้วว่าหนูจะเป็นลูกสะใภ้ที่น่าพอใจแน่ ๆ เพราะงั้นในกรณีนี้ ทำไมไม่ให้หนูพยายามมากกว่านี้ล่ะ?”
“พอแล้ว!” เซี่ยเจิ้งทนไม่ได้อีกต่อไป และตะโกนด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ลูกยังมีความละอายใจอยู่บ้างไหม?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดกับเซี่ยจื่ออี้ด้วยน้ำเสียงแบบนี้
เซี่ยเจิ้งต้องการพูดมากกว่านี้ แต่ฉีหยวนซานหยุดเขาไว้ก่อน และพูดกับเซี่ยจื่ออี้แทน
“หนูจื่ออี้ ลุงเข้าใจทุกอย่างที่หนูจะสื่อนะ แต่ความรู้สึกของคนเรามันไม่สามารถบังคับกันได้ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลาได้หรอก”
“พวกเธอเป็นคนหนุ่มสาวที่ยอมรับแนวคิดใหม่ ๆ มากมายในปัจจุบันนี้ น่าจะเข้าใจความจริงข้อนี้ดีนะ”
เขาพูดด้วยท่าทางเสียใจ “ส่วนตัวแล้วลุงชอบหนูมากนะ และหวังว่าหนูจะเป็นสะใภ้ให้ลุงได้ เพียงแต่ไอ้ลูกชายไม่เอาไหนของลุงมันไม่รักดีเอง ซึ่งลุงเปลี่ยนเขาไม่ได้เลย”
“ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวของเรานะ เราจะไม่บาดหมางเพราะเรื่องนี้แน่”
แม้ว่าเสียงของฉีหยวนซานจะสงบ แต่น้ำเสียงของเขาก็หนักแน่นมาก ไม่ว่าเซี่ยจื่ออี้จะมีผิวหนาแค่ไหนก็ไม่มีอะไรที่เธอจะพูดแย้งได้อีก
ใบหน้าหญิงสาวซีดเซียว พยายามกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลออกมาจากดวงตาของเธอและพูดว่า “ลุงฉีคะ หนูทำให้เรื่องยากขึ้นต่อคุณลุงซะแล้ว”
หลังจากพูดแล้วเธอก็หันหลังกลับ และขึ้นไปชั้นบนแล้วปิดประตูห้องนอน
เซี่ยเจิ้งมองไปยังร่างที่จากไปของเซี่ยจื่ออี้ และถอนหายใจอย่างหนักราวกับว่าเขาอายุแก่ขึ้นอีกหลายปีเพียบพริบตา
ฉีหยวนซานพูดอีกครั้ง “ขอบคุณนะสหาย ผมเสียใจกับเรื่องนี้จริง ๆ”
เซี่ยเจิ้งรู้สึกโกรธในใจ แต่เขาก็ยังอดทน “ลูกสาวของผมก็ดื้อรั้นเกินไปเช่นกัน”
หลังจากพูดอย่างนั้น เขาก็ไม่มีความตั้งใจที่จะพูดให้ฉีหยวนซานอยู่ต่อไป ทำเพียงพูดคุยไม่กี่คำและส่งแขก
จากนั้นเซี่ยเจิ้งก็เดินไปที่ประตูห้องของเซี่ยจื่ออี้ เขาได้ยินเสียงสะอื้นไห้เบา ๆ อยู่ข้างใน พลันจะยกมือขึ้นเคาะประตูก็ทำได้แค่ลดมือลง
ช่างเถอะ ปล่อยให้เธออยู่คนเดียวก่อนสักพักจะดีกว่า
เธอเติบโตมาอย่างสบายเกินไป ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ในตอนนี้เป็นการดีที่จะปล่อยให้เธอประสบกับความลำบากบ้าง
ความคิดนี้เซี่ยเจิ้งจึงเดินจากไป
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เซี่ยชิงหยวนปรุงบะหมี่หนึ่งชามให้กับเสิ่นอี้โจวและพูดกับเขาเมื่อเดินออกไปส่งหน้าบ้าน “วันนี้กลับมาเร็ว ๆ หน่อยนะ”
ตอนนี้มันเป็นช่วงใกล้ปีใหม่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาที่เสิ่นอี้โจวใกล้จะได้รับตำแหน่งใหม่เช่นกัน ดังนั้นจึงมีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขายังคงต้องเรียนรู้งานจากหยวนหงหลี่
เสิ่นอี้โจวไม่รู้ว่าทำไม แต่เขายังคงพยักหน้าและพูดว่า “ตกลง”
เมื่อเห็นว่าเสิ่นอี้โจวตกลง เซี่ยชิงหยวนก็ส่งเขาขึ้นรถแล้วกลับเข้าไปในบ้าน
หญิงสาวหยิบผ้าพันคอถักสีเทาเข้มออกมาจากตู้ เธอซื้อไหมพรมขนสัตว์ที่ดีที่สุดจากห้างสรรพสินค้ามา และเรียนรู้การถักจากป้าอู๋เมื่อมาที่มณฑลอวิ๋น
เธอถักอย่างเงียบ ๆ เป็นระยะ ๆ เป็นเวลาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว และในที่สุดก็ถักเสร็จจนได้
เซี่ยชิงหยวนมองดูการถักเย็บที่ประณีตและรู้สึกค่อนข้างพอใจ
เธอเก็บผ้าพันคอและวางแผนที่จะนำไปที่ห้างสรรพสินค้า ขอให้พนักงานช่วยห่อก่อนมอบให้เสิ่นอี้โจว
ใช่แล้ว วันนี้เป็นวันเกิดปีที่ยี่สิบหกของเขา
เซี่ยชิงหยวนลังเลอยู่พักหนึ่งระหว่างกินเลี้ยงเฉพาะคนในครอบครัว หรือเชิญคนอื่นมาฉลองวันเกิดของเขาด้วย แต่ท้ายที่สุดเธอก็เลือกอย่างแรก
เธอกลัวว่าฉีจิ่นจือจะมาหลังจากทราบข่าว และพยายามล่อลวงผู้ชายของตัวเองอีกครั้ง
ทว่าเมื่อเธอกำลังจะออกไปข้างนอก หลิงหลินก็โทรมา
ทางโทรศัพท์นอกจากเสียงของหลิงหลินแล้ว เธอยังได้ยินเสียงของฉู่ซิงอวี่และหลิงเยี่ยอีกด้วย
หลิงหลินพูดว่า “พี่สาวชิงหยวนคะ วันนี้เป็นวันเกิดของเลขาธิการเสิ่นใช่ไหม? มาสั่งเค้กวันเกิดและกินอาหารเย็นด้วยกันตอนเย็นกันเถอะ ดีไหมคะ?”
ในฐานะที่เป็นผู้ช่วย ฉู่ซิงอวี่จึงรู้เกี่ยวกับวันเกิดของเสิ่นอี้โจวเช่นกัน
อีกฝ่ายกระตือรือร้นมาก ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงไม่สามารถปฏิเสธได้และตอบตามมารยาทว่า “ตกลงจ้ะ ขอบคุณล่วงหน้าด้วยนะ”
หลิงหลินมีความสุขมากเมื่อได้ยินคำตกลงของเซี่ยชิงหยวน และถามว่า “พี่สาวชิงหยวนมีร้านอาหารในดวงใจที่อยากกินไหมคะ? พี่ชายของฉันบอกว่าเขาจะไปจองโต๊ะให้เองน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนจำได้ว่าตอนที่อยู่เมืองเตียนเฉิง ก่อนหน้านี้เธอบอกว่าอยากเชิญฉู่ซิงอวี่กับหลิงเยี่ยมากินมื้อเย็นที่บ้านบ้าง แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้นเลย ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “มากินข้าวด้วยกันที่บ้านเถอะ พวกเธอจะได้ลองชิมฝีมือของฉันด้วยไง”
หลังพูดออกไปแบบนั้น เสียงดีใจของหลิงหลินก็แทบจะทะลุแก้วหูของเธอทันที “เยี่ยมมากเลยค่ะ! ขอบคุณนะพี่สาวชิงหยวน!”
เธอพูดทันที “ว่าแต่พี่สาวอยากไปเดินซื้อของไหม? ฉันใส่เสื้อผ้าเตรียมพร้อมโอกาสนี้ไว้แล้ว ถ้าพี่ตกลง ฉันจะไปตลาดกับพี่แล้วไปช่วยพี่ทำอาหารด้วย!”
เซี่ยชิงหยวนจะพูดอะไรได้อีกล่ะนอกจากคำว่า ‘ตกลง’
เมื่อเซี่ยชิงหยวนและหลิงหลินออกจากบ้านไปพร้อมกับตะกร้าในมือ พวกเธอก็พบกับเฟิงหว่านที่กลับมาบ้านพร้อมกับลูกสาว
เฟิงหว่านยิ้มและถามว่า “ชิงหยวน คุณจะไปซื้อของเหรอคะ?”
จากนั้นก็มีอีกครอบครัวหนึ่งมาร่วมงานวันเกิดในตอนค่ำกับเซี่ยชิงหยวนด้วย
ต่อมาเซี่ยชิงหยวนก็ไปเชิญครอบครัวของหยวนหงหลี่
แผนการใหญ่ที่ผ่านมา มันอาจพูดได้ว่าครอบครัวของหยวนหงหลี่มีส่วนช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนกังวลเกี่ยวกับการให้ของขวัญและไม่ได้บอกว่าเป็นวันเกิดของเสิ่นอี้โจว เธอเพียงแต่บอกทุกคนว่าแค่มาร่วมมื้ออาหารด้วยกันเท่านั้น
เมื่อไปถึงตลาด เซี่ยชิงหยวนก็ได้พบกับฉีจิ่นจือ คนที่เธออยากเจอน้อยที่สุดในตอนนี้
เขาพยักหน้าให้เธอและหลิงหลิน พลางมองหญิงสาวทั้งสองที่ถือตะกร้าใบใหญ่คนละมือ ซึ่งเต็มไปด้วยวัตถุดิบการทำอาหาร เขาจึงถามว่า “ซื้อของเยอะจังเลยนะวันนี้?”
หลิงหลินยังได้ยินเรื่องที่เซี่ยชิงหยวนส่งอาหารให้กับฉีจิ่นจือมาบ้าง นอกจากนี้ฉีจิ่นจือยังได้รับบาดเจ็บขณะช่วยเซี่ยชิงหยวนในครั้งที่แล้ว เธอจึงคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองครอบครัวนั้นดีมาก เลยพูดออกไปว่า “ใช่ค่ะ คืนนี้จะมีเลี้ยงวันเกิดเลขาธิการเสิ่นน่ะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินประโยคนี้ เธอก็รู้ว่าจบสิ้นแล้ว
แน่นอนฉีจิ่นจือหรี่ตาลงและมองเซี่ยชิงหยวนด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย “โอ้งั้นเหรอ? ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องไปฉลองให้กับเลขาธิการเสิ่นในคืนนี้ซะแล้วสิ”
ไม่รู้ว่าตัวเธอเองอ่อนไหวเกินไปหรือเปล่า แต่เซี่ยชิงหยวนมักจะรู้สึกว่าฉีจิ่นจือกำลังสื่อถึงบางสิ่งบางอย่างเมื่อเขาพูดถึงเสิ่นอี้โจว
ขณะที่เธอพยายามหาเหตุผลบางอย่างที่จะปฏิเสธ แต่ฉีจิ่นจือพูดอีกครั้ง “ผมสัญญากับอี้หลินเมื่อคืนนี้ไว้ด้วยว่าจะไปหาเขาเพื่อต่อของเล่นด้วยกัน วันนี้ผมมีเวลาพอดีเลย”
ภายใต้การจ้องมองของฉีจิ่นจือ เซี่ยชิงหยวนสะดุ้งก่อนจะตอบอย่างกล้าหาญ “ได้เลยค่ะ”
…
ในตอนเย็น ตอนที่ทุกคนกำลังกินอาหารกันอย่างสนุกสนานที่บ้านตระกูลเสิ่น แม่บ้านของบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ กันก็ใช้ประโยชน์จากช่วงเวลาที่เจ้าของบ้านของพวกเธอกำลังกินข้าวออกมาจับกลุ่มพูดคุยกัน
“ฉันได้ยินมาว่ามีแขกมาที่บ้านของเลขาธิการเสิ่นคืนนี้ด้วยแหนะ”
“ใช่ไหม? ดูเหมือนจะมีคนค่อนข้างเยอะนะ”
“ใช่ มีคนจากตระกูลฉู่ ตระกูลหลิง บ้านผู้อำนวยการเถา และบ้านเลขาธิการหยวน คนไปเยอะมากเลย”
“ใช่ พวกเขาแทบทั้งหมดเป็นคนรุ่นหนุ่มสาวทั้งนั้นเลยนะ”
“ว่าแต่ทำไมคนในครอบครัวคุณถึงไม่ถูกเชิญล่ะ?”
หลังได้ยินแบบนั้น แม่บ้านของบ้านเซี่ยเจิ้งก็พูดขึ้น “อย่าพูดถึงบ้านของฉันเลย ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งล่าสุด ทั้งพวกชายหนุ่มและหญิงสาวที่มักจะมาหาคุณหนูของฉันก็ไม่มาอีกเลยน่ะสิ”
ขณะเดียวกัน เซี่ยจื่ออี้นั่งอยู่ในห้องโดยไม่เปิดไฟและฟังการสนทนาข้างนอก เธอทนไม่ไหวอีกต่อไป พลันคว้าตุ๊กตาผ้าใกล้ตัวมา และใช้มือฉีกกระชากมันจนเละเทะ
หญิงสาวยังรู้สึกสาแก่ใจไม่พอ เธอก็หยิบกรรไกรอีกครั้ง เล็งไปที่ใจกลางตัวของตุ๊กตาแล้วแทงเข้าไป
กรรไกรตัดผ้าและนุ่นที่อยู่ด้านใน ส่งเสียงกะซวกครั้งแล้วครั้งเล่า นุ่นที่อัดอยู่ในตัวตุ๊กตาปลิวไปทั่วตามการแทงของเธอ
ดวงตาของเซี่ยจื่ออี้เป็นสีแดงก่ำขณะจ้องมองไปที่หน้าตุ๊กตา อีกทั้งเธอยังเห็นมุมปากของตุ๊กตาส่งยิ้มมาให้
เธอยกกรรไกรขึ้น เฉือนหน้าตุ๊กตาอีกครั้ง และกัดฟันพูดประโยคหนึ่งซ้ำ ๆ “แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน! แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน! แม้แต่แกก็ยังหัวเราะเยาะฉัน…!”