เขาถึงกับใช้มือยึดศีรษะของนางเอาไว้ขณะรุกล้ำจูบนางอย่างหนักหน่วง
ชายหนุ่มไม่เหมือนคนที่เขาเป็นในยามปกติ
หงส์เพลิงรู้สึกเหมือนหายใจไม่ออก ในสมองของนางเต็มไปด้วยเกล็ดหิมะสีขาว นางไม่เคยสัมผัสกับความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ออกซิเจนทั้งหมดถูกพรากออกไปจากร่าง หน้าอกของนางถูกทาบทับ ร่างกายกำยำที่อยู่เหนือตัวของนางทวีความร้อนขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามันกำลังแผดเผาร่างของนาง
ความรู้สึกวาบหวามก่อตัวขึ้นที่ปลายลิ้นระหว่างที่ทั้งสองจูบกัน ตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มค่อยๆ ผละริมฝีปากออกมาจากนางเล็กน้อย น้ำเสียงฟังดูแหบพร่าระหว่างถามว่า ”เจ้ารู้สึกอย่างไรบ้าง”
รู้สึกหรือ
หงส์เพลิงต้องการปฏิเสธระดับความสัมพันธ์อันใกล้ชิดนี้โดยไม่รู้ตัว
แต่แขนของนางกลับถูกชายคนนั้นจับไว้อย่างแน่นหนา
เขาจ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งระหว่างที่นางกลั้นหายใจพร้อมกับเคลื่อนมือลงไปสำรวจใต้คางของนาง
เสื้อคลุมที่หงส์เพลิงสวมอยู่นั้นมีขนาดใหญ่เกินไป ดังนั้นมันจึงสะดวกให้ชายหนุ่มทำเช่นนั้นอย่างมาก
”นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าคิดว่าชุดของพระพุทธศาสนาก็ดูเข้าท่าดีเหมือนกัน” ชายหนุ่มหัวเราะ ริมฝีปากของเขาแนบอยู่ข้างใบหูของนาง เขาใช้ปลายลิ้นแตะมันเล็กเบาๆ จากนั้นจึงเคลื่อนลงด้านล่าง…
หงส์เพลิงรู้สึกจั๊กจี้ จากนั้นร่างของนางก็สะดุ้งโหยง ความร้อนไหลไปทั่วร่างของนางราวกับกระแสไฟฟ้า ร่างกายของนางบิดไปมาอยู่ใต้ผ้าห่มร้อนๆ โดยไม่รู้ตัว แต่นางย่อมไม่สามารถปล่อยให้เขาทำเกินกว่านี้ได้อีก ดังนั้นนางจึงคว้าข้อมือของเขาเอาไว้ แต่ทันใดนั้นนางก็รู้สึกหายใจไม่ออก ”ข้ารู้สึกแปลกๆ ข้าว่าเราคงฝึกกันเพียงพอแล้ว”
”พอแล้วหรือ” ชายหนุ่มลูบผิวของนาง มันทั้งเรียบเนียนและอ่อนนุ่มเสียจนมือของเขาแทบจะจมหายเข้าไปใต้ผิวหนังของนาง ความรู้สึกนี้จะไปพอได้อย่างไร
หงส์เพลิงมองเขา ”ใช่ พอแล้ว”
”เข้าใจแล้ว” ชายหนุ่มปล่อยมือ จากนั้นจึงหัวเราะด้วยสีหน้าซุกซน เขาใช้นิ้วแตะหลังของนางเบาๆ ราวกับปลอบสัตว์เลี้ยง ”วันนี้พอแค่นี้ก็แล้วกัน พรุ่งนี้พวกเราค่อยฝึกกันอีกที” หงส์เพลิงเป็นผู้หญิงที่น่าสนใจอย่างมาก ข้าควรค่อยๆ ชิมนางทีละน้อย…
หงส์เพลิงรู้สึกเหมือนบางอย่างดุนขาของนางอยู่ มันร้อนระอุและทำให้นางรู้สึกไม่สบายตัว
แต่ไม่เคยมีใครนอนกอดนางเช่นนี้มาตั้งแต่นางยังเล็ก
ตั้งแต่หงส์เพลิงจำความได้ นางก็มาสวดมนต์อยู่ที่ภูเขาซวีหมีแล้ว
นางจำได้ว่าตอนนั้นทุกคนรอบตัวมักจะมองนางด้วยสายตาประหลาด
คงเป็นเพราะในศาสนาพุทธไม่มีใครที่เด็กเท่านาง นอกจากบรรดาสามเณรน้อยพวกนั้น
สมเด็จจับมือนาง แล้วแนะนำนางให้ทุกคนรู้จัก
”นางคือหงส์เพลิงนั่นเอง”
”หงส์เพลิงคนไหนหรือ”
”หงส์เพลิงคนที่เกิดในนรก และเป็นตัวแทนของลางร้าย”
”ทำไมหงส์เพลิงถึงเป็นลางร้ายล่ะ”
ใช่แล้ว หงส์เพลิงก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทำไมข้าถึงเป็นลางร้ายหรือ
ในเวลานั้น หงส์เพลิงตัวน้อยจึงได้เรียนรู้การสวดมนต์ และได้เข้าใจว่าลางร้ายที่ว่านั่นคืออะไร
นางเป็นตัวตนที่ไม่ได้รับความคาดหวังและไม่ได้รับความชื่นชอบจากใคร
ดูเหมือนสมมติฐานของนางจะได้รับการพิสูจน์ในอีกไม่กี่วันต่อมา เพราะไม่มีใครคุยกับนางแม้แต่คนเดียว
หงส์เพลิงตัวน้อยจากภูเขาซวีหมีอยู่คนเดียวมาตลอด
นางอยู่เงียบๆ ไม่พูดจากับใคร ดังนั้นไม่จำเป็นต้องพูดถึงการผูกมิตรกับใครด้วยซ้ำ
นางเคยเห็นสามเณรน้อยที่สนิทกันเล่นด้วยกันจนผล็อยหลับไป ทุกคนดูมีความสุขอย่างมาก
อันที่จริง การถูกใครสักคนกอดเอาไว้เช่นนี้ก็อบอุ่นยิ่งนัก นางรู้สึกเหมือนมีปราณที่มองไม่เห็นล้อมรอบตัวนางอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนา และวิธีการที่ชายคนนั้นลูบหลังของนางก็ยังดูงดงามเป็นอย่างยิ่ง
หงส์เพลิงรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันโชคดีของนาง นางยื่นมือออกไปแล้วกอดเอวเขาพร้อมกับเอ่ยว่า ”คู่มือที่ผู้เฒ่าจันทราให้มาค่อนข้างดีทีเดียว”
ชายหนุ่มก้มหน้าลงมองผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขา แล้วหัวเราะขึ้น ”ดีจริงอย่างที่เจ้าว่า ว่าแต่เมื่อครู่นี้เจ้าคิดอะไรอยู่หรือ”
”ไม่มีอะไร” หงส์เพลิงหันหน้าไปอีกทาง ”ข้าแค่คิดถึงตอนที่ข้าเกิดก็เท่านั้น ข้าคิดว่าท่านคงรู้อยู่แล้วว่าข้าเกิดในนรก คนพูดกันว่าตอนแรกมีไข่อยู่สองฟอง แต่ตอนที่ไข่ฟัก ข้ากลับเป็นคนเดียวที่รอด”
ชายหนุ่มยิ้มให้นางอย่างมีเลศนัย ”เจ้าหมายความว่าตอนที่เจ้าเกิด มีสายฟ้าจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ฟาดลงบนทะเลเลือดสามสิบสามครั้ง ดังนั้นเจ้าถึงเกิดมาพร้อมกับความชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่หรือ”
”ใช่” หงส์เพลิงหลับตาลงคล้ายกำลังจะหลับ
ชายหนุ่มยื่นมือออกไปจัดเส้นผมที่ปิดบังใบหน้าของนางอยู่ น้ำเสียงของเขาแผ่วเบา ”ถ้าเจ้าไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความชั่วร้ายอันยิ่งใหญ่ พระพุทธศาสนาก็คงไร้ประโยชน์ คนพวกนั้นจำเป็นต้องให้ใครสักคนจับมีดแทน เพื่อให้สามารถช่วยสรรพสัตว์ให้หลุดพ้น หากคิดเช่นนั้น เจ้าจะดีหรือชั่ว ย่อมไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาควรตัดสิน”
เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายนั้น หงส์เพลิงก็ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ภายในดวงตาของนางเต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับเป็นประกาย ”ท่านพูดถูก”
”เจ้ามีความสุขหรือเปล่า” ชายหนุ่มหัวเราะ
หงส์เพลิงยันตัวลุกขึ้นนั่ง ”ก็พอประมาณ ทำไมเราไม่ให้อาหารปลากันต่อล่ะ หรือไม่ก็มาดวลกันสักตั้งดีไหม”
บรรดาปีศาจและสัตว์อสูรคิดในใจว่า… นี่คือวิธีที่ท่านแสดงออกตอนมีความสุขหรือ!!!?
ในวันนั้น เหล่าปีศาจที่มาจากทะเลเลือดแทบจะอาเจียนออกมาเพราะกินอาหารปลามากเกินไป
แต่พวกเขาไม่รู้ว่าตี้จวินวางแผนการอะไรอยู่
พวกเขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มเอาใจใครเหมือนที่เขาเอาใจหงส์เพลิงมาก่อน
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาจะจริงใจกับนาง
นั่นก็ดูจะเป็นไปไม่ได้
พวกมันรู้ว่าชายคนนี้ต้องการอะไร และทันทีที่เขาได้มันมา ความตื่นเต้นทุกอย่างก็จะจบลง เขาเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด
จริงอยู่ที่นั่นเป็นสิ่งที่ชายหนุ่มตั้งใจจะทำ แต่เขาก็ปฏิบัติต่อหงส์เพลิงแตกต่างจากคนอื่น
สิ่งที่เขาต้องการยังคงไม่เปลี่ยนแปลง และนั่นคือการทำลายความอวดดีของคนอวดดีคนนี้
มันเพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา ดวงตาของนางยังไม่ได้จ้องมองมาที่เขาเพียงคนเดียว
ชายหนุ่มจะไม่มีวันลืมตอนที่เขาได้พบหงส์เพลิงเป็นครั้งแรก
ในเวลานั้นนางยังเล็กอยู่
แต่นางกลับดูเหมือนเด็กสาววัยแรกรุ่น
เพื่อทำให้เขาหันมาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา คนพวกนั้นจึงจับเขาขังไว้ในส่วนหวงห้ามของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ความเจ็บปวดรวดร้าวจะเข้าเล่นงานเขาทันทีที่ที่เขาเยาะยิ้มใส่พระไตรปิฎก
แต่ของพวกนั้นไม่สามารถทำให้เขายอมแพ้ได้
เขาทำลายเกราะเหลยอินทั้งที่เลือดอาบไปทั่วร่าง สมเด็จจำใจต้องยอมล่าถอยกลับไปเมื่อเจออุปสรรคนั้น ทำให้เกิดความโกลาหลไปทั่วฟ้า
เป็นเวลากว่าสี่สิบเก้าวัน
ตราบใดที่เขาสามารถทนความเจ็บปวดที่ทิ่มแทงไปถึงกระดูกอันเกิดจากพระไตรปิฎกนี้ได้
เขาก็จะไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของพระพุทธศาสนา
เขาได้พบกับนางในวันที่สี่สิบเจ็ด
นางถือบทสวดไว้ในมือพร้อมกับเอียงคอมองเขา จากนั้นนางจึงคุกเข่าลงข้างๆ เขา แล้วชำเลืองมองเขาสองครั้ง ก่อนจะถามขึ้นว่า ”ทำไมท่านถึงมานั่งคุกเข่าอยู่ที่นี่ล่ะ”
เขาไม่สนใจนาง แม้กระทั่งคนของพระพุทธศาสนาเขาก็ยังไม่เคยชายตามองเลยด้วยซ้ำ แล้วนับประสาอะไรกับเด็กตัวเล็กๆ
นางยังคงเงียบ จากนั้นจึงวิ่งออกไป ก่อนจะกลับมาพร้อมกับซาลาเปาในมือ
ตอนนั้นเขายังไม่ได้เป็นเทพ เขาเพิ่งออกมาจากดินแดนแห่งความโกลาหล ดังนั้นจึงยังรู้สึกหิวได้ง่าย แต่เขาก็นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีคนในพระพุทธศาสนากล้ามอบอาหารให้กับเขา
เขาเป็นคนไร้หัวใจ ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจว่านางจะได้รับบทลงโทษเช่นใดหากทำผิดศีลของศาสนาพุทธ เขาจะกินทุกอย่างที่ถูกหยิบยื่นมาให้
ในวันที่สี่สิบเก้า เขาก็ทำลายแสงแห่งพระพุทธคุณลงได้ และไม่มีสิ่งใดบนโลกนี้ที่จะสามารถรั้งเขาไว้ได้อีกต่อไป
นางเป็นเพียงคมดาบของพระพุทธศาสนา ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใส่ใจนัก
แต่เมื่อเขาได้พบนางอีกครั้ง สิ่งเดียวที่นางมองเห็นกลับเป็นต้นโพธิ์ ทุกครั้งที่นางเดินผ่านเขา นางมักจะถือดาบวงพระจันทร์ไว้ในมือและมีสีหน้าเย็นชาอยู่เสมอ
ชายหนุ่มต้องยอมรับว่าเขาเป็นคนไร้ความอดทนมาโดยตลอด
ในเมื่อเขาไม่มีค่ากับนาง เช่นนั้นเขาก็จะทำลายความอวดดีของนางลงซะ!