ตอนที่ 816 อาการซังกะตายของฟางจั๋วเยวี่ย
ตำรวจไปที่บ้านของหลินม่ายในวันหนึ่ง ก่อนจะพบบุคคลลึกลับผู้ตะโกนว่ามีคนจุดไฟเผา
ชายผู้นั้นไม่ใช่ชายลึกลับ เขาอาศัยอยู่ตรงข้ามบ้านของหลินม่าย
เพราะตอนเด็กเขาเป็นโปลิโอ ขาจึงพิการ แม้จะเดินได้แต่ก็ต้องใช้ไม้ค้ำ
ชายหนุ่มพิการสารภาพกับตำรวจอย่างตรงไปตรงมาว่า อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่ได้ขว้างคบไฟเข้าไปในลานบ้านของหลินม่าย
เขาเป็นคนจุดคบเพลิงด้วยตัวเอง
เหตุที่เขาขว้างคบเพลิงไปที่ลานบ้านของหลินม่ายเพราะเมื่อเขาลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำกลางดึก เขาก็เห็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนกำลังเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่บนกำแพงบ้านของหลินม่าย
เขาได้รับการช่วยเหลือจากหลินม่ายในช่วงที่เกิดภัยพิบัติหิมะ เขาและแม่ที่แก่ชรารอดชีวิตจากภัยพิบัติหิมะได้อย่างปลอดภัย ดังนั้นเขาจึงรู้สึกขอบคุณหลินม่ายเป็นอย่างมาก
เขาโกรธมากเมื่อเห็นใครบางคนเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่บนผนังบ้านของหลินม่าย
แต่ตัวเขาซึ่งเป็นคนพิการเดินทรงตัวไม่ได้ จึงไม่สามารถจับตัวคนร้ายได้ และเขาก็ยิ่งกลัวว่าคนร้ายจะทำร้ายเขา
ด้วยความสิ้นหวัง เขาจึงซ่อนตัวอยู่ในความมืด ขว้างคบเพลิงไปที่สนามหญ้าของหลินม่ายและตะโกนว่ามีคนจุดไฟ
จุดประสงค์คือเพื่อให้เพื่อนบ้านรู้ว่ามีคนเขียนตัวอักษรขนาดใหญ่บนผนังบ้านของหลินม่าย เพื่อที่พวกเขาจะได้จับและลงโทษตามที่ชายคนนั้นสมควรได้รับ
เขาไม่ปรากฏตัวเมื่อวานนี้เพราะกลัวว่าคนที่เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่บนผนังบ้านของหลินม่ายจะตอบโต้เขาเมื่อเห็นเขา
วันนี้ตำรวจมาที่บ้านของเขาเพื่อสอบสวน และเขาต้องพูดเรื่องนี้
เมื่อพิจารณาว่าแม้ชายหนุ่มพิการจะขว้างคบไฟไปที่บ้านของหลินม่าย แต่เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะจุดไฟและไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรงใด
ตำรวจจึงได้เบาะแสคดีนี้หลังจากได้ฟังคำอธิบายจากปากเขา
อันที่จริงแล้วมีอีกคนที่ตะโกนว่ามีคนจุดไฟเผาบ้านหลินม่าย
คนผู้นั้นก็คือเหมาฉง
มีเหตุผลที่ทำให้เหมาฉงปรากฏตัวใกล้กับบ้านของหลินม่ายในช่วงกลางดึก
วันนั้นหลินม่ายทำให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอับอายอย่างรุนแรงที่ประตูบ้านป้าฝู
ตามความเข้าใจของหลินม่าย เธอทำให้เขาขายหน้า และมันเป็นไปไม่ได้ที่ชายคนนี้จะไม่ตอบโต้ ดังนั้นเธอจึงขอให้เหมาฉงช่วยสอดแนมอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
เหมาฉงไม่คาดคิดว่าจะเจอผู้ร้ายที่เขียนวาจาดูหมิ่นด้วยสีแดงบนผนังบ้านของหลินม่ายและต่อว่าเธอ
เหมาฉงเองก็ทำการขว้างคบเพลิงไปที่ลานบ้านของหลินม่ายเช่นกัน
จากนั้นเขาพลันตะโกนให้จับขโมย โดยมุ่งเป้าไปที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยน
แต่เขาไม่คาดคิดว่าตำรวจจะตามหาเจ้าของเสียงตะโกน
เหมาฉงเห็นว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น เขาจึงแอบพบหลินม่ายและถามเธอว่าจะทำอย่างไร
หลินม่ายนึกถึงเรื่องเกี่ยวกับภัยพิบัติหิมะ พบว่าหนึ่งในสามพันครอบครัวที่เธออุปการะมีผู้พิการที่อาศัยอยู่ตรงข้ามบ้านของเธอ
เนื่องจากการช่วยเหลือของหลินม่าย แม่และลูกชายจึงรู้สึกขอบคุณและเขียนจดหมายมาให้เธอ
หลินม่ายได้ทราบว่าแม่ของเขามีเนื้องอกซึ่งได้รับการรักษาล่าช้าและมีแนวโน้มว่าจะแย่ลง
เธอให้เงินชายหนุ่มพิการจำนวนหนึ่งและขอให้แม่ของเขานำเงินไปใช้ในการผ่าตัด
แม่และลูกชายก็ยิ่งรู้สึกขอบคุณเธอ
หลินม่ายขอให้เขาช่วยบอกความจริงกับตำรวจเพื่อปกป้องเหมาฉง และเพื่อไม่ให้เรื่องแย่ลงจนยากต่อการจัดการ ชายหนุ่มพิการตกลงทันที
หลินม่ายขอให้เขาใส่ความอีกฝ่าย แต่เขาไม่ต้องการให้เขาพูดเท็จและทำร้ายผู้อื่น
เธอเพียงต้องการปกป้องเหมาฉงและไม่ต้องการให้เขาดึงดูดความสนใจของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ไม่อย่างนั้นจะไม่มีผู้ใดคอยตามติดชีวิตของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินเพ่ยให้เธออีกต่อไป
ชายหนุ่มพิการรู้สึกขอบคุณเธอจนสามารถบุกน้ำลุยไฟให้กับเธอได้
โดยปกติแล้วหลินม่ายจะไม่ปล่อยให้เขาลุยไฟและน้ำ แต่ต้องการให้เขาสารภาพผิดแทนเหมาฉง เพียวเท่านี้เธอก็รู้สึกกระวนกระวายใจและรู้สึกผิดมากอยู่แล้ว
ทั้งรู้สึกเสียใจแทนชายหนุ่มที่พิการ ตัวเขาเองยอมเสียสละทุกอย่างเพื่อตอบแทนเธอ
ไม่ว่าเธอจะชดเชยอย่างไรในภายหลัง นี่ก็ยังเป็นรอยด่างแห่งความผิดในชีวิตของเธอ
เพราะคำสารภาพของชายหนุ่มพิการ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจึงรู้สึกโล่งใจที่รอดพ้นจากโทษจำคุกคดีลอบวางเพลิง
แต่ความหายนะจากการทำลายทรัพย์สินของผู้อื่นยังรอเขาอยู่
เมื่อหน่วยรักษาความปลอดภัยสาธารณะแจ้งฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับคดี พวกเขาบอกว่าคดีของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่ทำลายผนังบ้านของเขาเป็นอาชญากรรมในการทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น หลักฐานชัดเจน และอู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้สารภาพผิดแล้ว
หน่วยงานรักษาความปลอดภัยสาธารณะได้โอนคดีไปยังศาล และขึ้นอยู่กับว่าศาลจะตัดสินอย่างไร
หากไม่พอใจคำตัดสินของศาล ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้
สำหรับความเสียหายที่เกิดกับผนังลานบ้านของเขา แม้จะถือเป็นความเสียหายต่อโบราณวัตถุทางวัฒนธรรม แต่เนื่องจากเป็นทรัพย์สินส่วนตัวจึงสามารถเรียกร้องค่าชดเชยสำหรับอาชญากรรมที่ทำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหายได้
………
เครือข่ายร้านหลู่ไช่ของหลินม่ายและร้านปิ้งย่างในเมืองหลวงกำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะร้านในเครือร้านหลู่ไช่ รสชาติที่เป็นความลับทำให้หลู่ไช่นั้นเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่ผู้คนในเมืองหลวง และเพิ่มเป็นแปดชนิดในระยะเวลาอันสั้น
ตอนนี้เป็นช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ทางตอนเหนือจะเป็นฤดูร้อน
ฤดูร้อนเป็นฤดูที่ขมขื่น ฤดูร้อนเป็นฤดูที่ผู้คนมีความอยากอาหารมากที่สุด และเป็นฤดูที่มีหลู่ไช่มากที่สุด
กลิ่นหอมของส่วนผสมต่าง ๆ ในหลู่ไช่มีผลทำให้น่ารับประทาน และเหมาะจะเป็นอาหารค่ำในฤดูร้อนมากที่สุด
แต่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เครื่องจักรที่ใช้ในการเตรียมน้ำเกลือกลับพังลง
ผู้จัดการซุนขอให้คนซ่อม ซึ่งก็มีแต่ฟางจั๋วเยวี่ยที่สามารถประกอบเครื่องทำน้ำเกลือได้โดยไม่มีคู่มือการใช้งาน
ส่วนช่างที่เชิญมาล้วนสับสน ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน
ผู้จัดการซุนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอความช่วยเหลือจากหลินม่าย
หลินม่ายจึงโทรหาฟางจั๋วเยวี่ย ขอให้เขามาที่เมืองหลวงเพื่อซ่อมเครื่องจักร
แต่เมื่อขับรถมาถึงโรงงานทีวีกลับพบว่าไม่มีใครอยู่เลย
หลินม่ายไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากโทรหาเจิ้งซวี่ตงและขอให้เขาส่งคนไปแจ้งฟางจั๋วเยวี่ยให้มาที่ปักกิ่งเพื่อซ่อมแซมเครื่องจักร
เจิ้งซวี่ตงรับผิดชอบด้านอาหารและจัดเลี้ยงของว่านถงกรุ๊ป และหลู่ไช่ก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของเขา ดังนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่งานเขาจะได้รับความไว้วางใจ
เจิ้งซวี่ตงเงียบอยู่นานก่อนจะเอ่ย “ฟางจั๋วเยวี่ยในตอนนี้ทรุดโทรมลงมาก เขาไม่อยากจัดการโรงงานทีวีของตัวเองอีกต่อไป เกรงว่าเขาคงไม่มาที่นี่อีกแล้วล่ะครับ เราจะลองโทรหาเขาให้”
หลินม่ายตกตะลึง
เธอรู้ว่าหลังจากเถาจืออวิ๋นและฟางจั๋วเยวี่ยเลิกกัน แน่นอนว่าฟางจั๋วเยวี่ยย่อมเศร้าโศก แต่เธอไม่คาดคิดว่ามันจะร้ายแรงขนาดนี้
เกิดอะไรขึ้นกับผู้ชายคนนี้?
หลินม่ายขอให้เจิ้งซวี่ตงทำตามที่เธอสั่ง
หากเขาไม่สามารถติดต่อฟางจั๋วเยวี่ยได้จริง ๆ ให้แจ้งเธออีกครั้ง เธอจะหาทางติดต่อเขาและเกลี้ยกล่อมให้เขามาที่เมืองหลวงเพื่อซ่อมแซมเครื่องจักรให้เธอเอง
ครึ่งชั่วโมงต่อมา เจิ้งซวี่ตงก็โทรมา เขาไปหาฟางจั๋วเยวี่ยด้วยตัวเอง แต่ฟางจั๋วเยวี่ยบอกว่าเขาไม่อยากไป
หลินม่ายถามเขาว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน หากอยู่กับเขาก็จงให้ฟางจั๋วเยวี่ยรับโทรศัพท์
บทสนทนาระหว่างเจิ้งซวี่ตงและฟางจั๋วเยวี่ยดังขึ้นที่ปลายอีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์
เจิ้งซวี่ตงกล่าว “พี่สะใภ้ของคุณขอให้คุณรับโทรศัพท์ หล่อนมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”
ฟางจั๋วเยวี่ยกล่าว “บอกหล่อนว่าฉันจะไม่รับสายหล่อน”
เขาพูดอย่างโกรธเคือง “เธอยอมให้จื่ออวิ๋นไปเรียนเมืองนอก ทำให้ฉันทรมาน ทำไมฉันต้องรับสายเธอด้วย?”
หลินม่ายเท่านั้นที่เข้าใจสาเหตุแห่งอาการซังกะตายของฟางจั๋วเยวี่ย นั่นเป็นเพราะเถาจืออวิ๋นต้องการศึกษาต่อต่างประเทศ
เธอต้องการให้เหตุผลกับเขาว่าแม้เถาจืออวิ๋นจะไม่ได้เรียนที่ต่างประเทศ แต่เรื่องราวความรักระหว่างพวกเขาก็เป็นไปไม่ได้
แต่ฟางจั๋วเยวี่ยไม่รับสายของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่สามารถอธิบายถึงความจริงข้อนี้
หลินม่ายไม่มีทางเลือกนอกจากขอให้คุณปู่ฟางและภรรยาของเขาเกลี้ยกล่อมฟางจั๋วเยวี่ย
เพราะการที่เขาปฏิเสธจะพูดคุยกับพี่สะใภ้ก็เท่ากับไม่เห็นแก่หน้าตาของคุณปู่และคุณย่าฟางไม่ใช่หรือ?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ่าว จั๋วเยวี่ยถูกพิษรักเล่นงานจนตรอมใจแล้วเหรอ ขอให้ปู่ย่าฟางเกลี้ยกล่อมได้นะคะ
ไหหม่า(海馬)