ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก – ตอนที่ 279 สะกดรอยตาม

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ตอนที่ 279 สะกดรอยตาม

ตอนที่ 279 สะกดรอยตาม

ฉินมู่หลานได้ยินคำพูดของเหลียงถงกับโจวเหยียนแล้วก็ทำเพียงแค่ยิ้มและส่ายหน้า ก่อนจะพูดขึ้น “พวกคุณสุภาพเกินไปแล้วค่ะ ฉันต่างหากที่ควรจะขอบคุณลุงเหลียง ที่ไม่เพียงแต่จะสอนเคอวั่งอย่างเดียว แต่ยังช่วยตกแต่งบ้านของพวกเราด้วย พวกเรารู้สึกดีใจมากเลยค่ะ”

เมื่อเห็นฉินมู่หลานพูดแบบนี้ โจวเหยียนก็อดพูดเสียไม่ได้ “มู่หลาน พวกเราต่างหากที่ควรขอบคุณเธอ เหล่าเหลียงกับเคอวั่งเป็นศิษย์อาจารย์กัน นั่นเป็นหน้าที่ที่เขาต้องทำอยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังมีบ้านที่ต้องตกแต่งด้วย จึงเป็นโอกาสที่จะใช้เป็นสถานที่ ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่รู้ว่าจะทำอะไรบ้าง”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่เกรงใจอีกต่อไป

“คุณป้าคะ ถ้าอย่างนั้นคุณป้าต้องดูแลตัวเองให้ดีนะคะ เดี๋ยวฉันปรุงยาเสร็จ จะฝากให้เคอวั่งนำมาให้ค่ะ”

“ได้สิ ป้าจะดูแลตัวเองอย่างดี”

โจวเหยียนหัวเราะแล้วเอ่ยพูดต่อ หลังจากนั้นก็รบเร้าให้เหลียงถงรีบออกไปข้างนอก “รีบไปที่ลานบ้านสี่ประสานเร็วเข้าสิ อย่ามัวอยู่แต่ในบ้าน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เหลียงถงก็ยิ้มพลางส่ายหัว ตอนแรกเขาตั้งใจจะออกไปข้างนอกอยู่แล้ว จึงหันไปมองแล้วถามฉินเคอวั่ง “เหวินปิงออกมาหรือยัง พวกเราไปที่บ้านตระกูลเจี่ยงกันก่อนไหม”

“ลุงเซี่ยล่วงหน้าไปก่อนแล้วครับ บอกว่าให้ผมกับอาจารย์ตามไปทีหลังก็พอ”

เหลียงถงได้ยินเช่นนี้ก็พยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเราไปกันเลยเถอะ”

ฉินมู่หลานโบกมือให้ทั้งสองคน แล้วพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นรีบไปกันเลยค่ะ เดี๋ยวฉันจะไปโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนสักหน่อย”

“ได้ครับพี่ ถ้าอย่างนั้นอาจารย์กับผมจะไปที่บ้านสี่ประสานก่อนนะครับ พี่ซื้อยาเสร็จแล้วก็รีบกลับบ้านนะ”

เมื่อเห็นฉินเคอวั่งเป็นห่วงตน ฉินมู่หลานก็อดยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ “จ้ะ พี่เข้าใจแล้ว”

หลังจากฉินเคอวั่งและเหลีบยงถงออกไปแล้ว ฉินมู่หลานก็มุ่งหน้าไปซื้อยาทันทีก่อนจะกลับบ้าน แต่เมื่อกลับมาถึงก็พบว่าพ่อกับแม่กลับมาแล้ว นอกจากนี้ยังพาลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนกลับมาด้วย

“พ่อคะ แม่คะ ทุกคนกลับมากันแล้วเหรอ กินข้าวเช้ากันมาหรือยังคะ”

ซูหว่านอี๋ได้พบลูกสาวแล้วก็รีบเอ่ยถาม “มู่หลาน แม่ได้ยินมาจากญาติลูกเขยว่าลูกกับเคอวั่งไปที่บ้านอาจารย์มา อาจารย์หญิงสบายดีไหม?”

หล่อนทราบเรื่องที่เกิดขึ้นจากเหยาจิ้งจือหมดแล้ว นอกจากนี้ยังทราบด้วยว่าลูกสาวเคยจับชีพจรตรวจร่างกายให้โจวเหยียนมาก่อน

“ไม่ต้องห่วงค่ะแม่ คุณป้าอาการดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวฉันจะปรุงยาให้ท่านแล้วนำไปส่งให้ทีหลังค่ะ”

เมื่อเห็นความใส่ใจของลูกสาว ซูหว่านอี๋ก็รู้สึกโล่งใจ

จากนั้นฉินเจี้ยนเซ่อที่อยู่ด้านข้างก็ทราบว่าลูกสาวได้ผ่าตัดให้โจวเหยียนแล้ว จึงรู้สึกชื่นชมลูกสาวมากขึ้น “มู่หลาน ลูกเก่งมากเลย ตอนนี้ลูกเก่งกว่าปู่ของลูกแล้วนะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเพราะคุณปู่สอนมาดีค่ะ ทำให้หนูมีพื้นฐานที่ดีมาก”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนี้ก็หัวเราะขึ้นมา ก่อนจะพูดขึ้น “ก็จริง ถ้าไม่ใช่เพราะปู่ของลูกอยากผลักดันให้สานต่อ ลูกก็คงเป็นเหมือนเคอเหล่ยกับเคอเจี๋ยที่ไม่ได้เรียนเรื่องการแพทย์”

ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยก็มาที่เมืองหลวงด้วยเช่นกัน

พวกเขาทั้งสองคนได้ยินคุณอาบอกว่าที่ให้มาครั้งนี้ก็เพื่อช่วยตกแต่งบ้านให้ฉินมู่หลาน หากทำได้ดี พวกเขาอาจจะได้อยู่หางานทำในเมืองหลวง สามารถทำงานร่วมกับคุณอาได้ อยู่ที่เมืองหลวงต้องทำเงินได้มากกว่าอยู่ที่บ้านเกิดแน่นอน เพราะฉะนั้นพวกเขาจึงตื่นเต้นมาก เมื่อมาถึงแล้วได้เจอฉินมู่หลาน ก็ได้ยกยิ้มพลางกล่าวทักทาย “มู่หลาน ไม่เจอกันนานเลยนะ”

“พี่ใหญ่ พี่รอง ไม่เจอกันนานเลยค่ะ ครั้งนี้พวกพี่ต้องลำบากกันแล้วแหละค่ะ”

ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยรีบส่ายหัวแล้วเอ่ยพูดทันที “ไม่ลำบากหรอก พวกเราไม่ได้ทำอะไรเลย มาที่นี่ก็นั่งทั้งรถไฟทั้งรถยนต์ ไม่ได้เดินมากเลย”

ในตอนนี้ เหยาจิ้งจือก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “หว่านอี๋ ถึงพวกเธอจะกินข้าวเช้ามาแล้ว แต่ก็คงเป็นมื้อเบา ๆ เพราะฉะนั้นมากินอีกสักหน่อยเถอะ”

ฉินมู่หลานได้ยินเช่นนี้ ก็พูดขึ้นเช่นกัน “ใช่ค่ะ พ่อ แม่ พี่ใหญ่พี่รอง ทุกคนกินอีกสักหน่อย แล้วไปพักผ่อนกันให้เต็มที่นะคะ”

เมื่อเห็นลูกสาวพูดแบบนี้ ฉินเจี้ยนเซ่อกับซูหว่านอี๋ก็ไม่ได้คัดค้านอะไร

ส่วนฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยไม่ได้มีความคิดเห็นอื่นอยู่แล้ว เมื่อเช้านี้พวกเขากินอะไรง่าย ๆ มาบนรถ มาถึงตอนนี้จึงรู้สึกหิวนิดหน่อย

หลังจากหลายคนมาถึงห้องอาหารแล้ว อาหารเช้าก็วางอยู่เต็มโต๊ะ มีทั้งซาลาเปา บะหมี่ โจ๊ก เครื่องเคียงและเกี๊ยว

ลุงเจี่ยงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยบอกด้วยความลำบากใจ “เป็นเพราะเร่งรีบมาก จึงเตรียมได้เพียงเท่านี้ครับ”

ฉินเจี้ยนเซ่อได้ยินเช่นนี้ก็พูดขึ้น “ลุงเจี่ยง แค่นี้ก็ดีมากแล้วครับ เรากินกันพออยู่แล้ว ขอบคุณมากจริง ๆ ครับ”

ลุงเจี่ยงได้ยินเช่นนี้ก็ยกยิ้มแล้วส่ายหัว จากนั้นก็ปล่อยให้พวกเขาได้กินกัน

ฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยมองอาหารเช้าอันหรูหราที่อยู่ตรงหน้าก็อยากจะกินแทบแย่ แต่พวกเขายังไม่ขยับ จนกว่าอารองกับอาหญิงรองจะนั่งลง แล้วหลังจากนั้นก็รอให้ฉินเจี้ยนเซ่อขยับตะเกียบ พวกเขาจึงขยับตาม

มื้ออาหารหรูหราถูกสวาปามหมดอย่างรวดเร็วราวพายุ เมื่อรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว จากนั้นซูหว่านอี๋ก็จัดห้องพักให้กับฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ย หลังจากนั้นพวกเขาก็พากันกลับเข้าห้องเพื่อไปพักผ่อน

หลายคนพากันงีบหลับ หลังจากตื่นขึ้นมาก็พบว่าเป็นเวลาตอนบ่ายแล้ว

ฉินมู่หลานเห็นพ่อกับแม่เดินออกมา ก็ยิ้มแล้วเอ่ยถามขึ้น “พ่อคะ แม่คะ พักผ่อนเป็นยังไงบ้าง”

“สดชื่นขึ้นเยอะ ตอนนี้รู้สึกเหมือนมีพลังเพิ่มเป็นร้อยเท่าเลย”

ซูหว่านอี๋ยิ้มแล้วพูดต่อ จากนั้นก็รีบเอ่ยถาม “เฉินเฉินกับชิงชิงล่ะ เพิ่งมาถึงก็ต้องไปพักแล้ว ได้เจอแปปเดียวเอง ยังไม่ได้อุ้มพวกเขาเลย”

“ทั้งคู่นั่งเล่นอยู่ตรงลานหน้าบ้านน่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกัน”

ซู่หว่านอี๋รีบเดินไปข้างหน้า ฉินเจี้ยนเซ่อรีบก้าวตามไปเช่นกัน หลังจากนั้นทั้งสองก็เฝ้ามองเด็กน้อยสองที่กำลังนอนกอดกันอยู่สักพัก กระทั่งเมื่อฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยเดินเข้ามา ก็ให้พวกเขาได้ลองอุ้มอยู่สักพัก

หลังฉินเจี้ยนเซ่อพักผ่อนเต็มที่แล้ว เขาก็รีบเอ่ยถามเกี่ยวกับบ้านสี่ประสานหลังนั้นทันที

ฉินมู่หลานเล่าเหตุการณ์ล่าสุดให้ฟัง และพูดเกี่ยวกับเรื่องที่เหลียงถงจะช่วยตกแต่งบ้านให้ด้วย

“จริงเหรอ ดีมากเลย อาจารย์ของเคอวั่งต้องเก่งมากแน่ มีเขาอยู่ด้วย บ้านหลังนั้นจะต้องได้รับการตกแต่งอย่างสวยงามแน่นอน” หลังจากพูดจบ เขาก็อยากจะไปที่นั่นตั้งแต่ตอนนี้เลย

แต่ก็โดนซูหว่านอี๋ขัดเสียก่อน

“พอเลย ไม่ได้ดูเลยเหรอว่าตอนนี้กี่โมงกี่ยามแล้ว อีกเดี๋ยวเคอวั่งกับคนอื่นก็กลับมาแล้ว คุณจะไปที่นั่นตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ”

ฉินเจี้ยนเซ่อมองดูเวลา ก่อนจะพบว่าเป็นความจริง จึงทำได้แค่คิดพักผ่อน

และเมื่อฉินเคอเหล่ยกับฉินเคอเจี๋ยทราบว่าลูกพี่ลูกน้องกลายเป็นลูกศิษย์มีอาจารย์แล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกยินดีกับเขา “เคอวั่งมีอาจารย์แล้ว ต่อไปคงได้เรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย นี่เป็นเรื่องดีจริง ๆ”

หลังจากเซี่ยเหวินปิงกับฉินเคอวั่งกลับมาในตอนเย็น เหยาจิ้งจือก็ให้คนไปที่บ้านตระกูลเหยาเพื่อเรียกให้ครอบครัวของลูกชายคนโตมาหา แล้วทั้งสองครอบครัวก็จะได้กินข้าวร่วมกันอย่างเอร็ดอร่อย

เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น ฉินเจี้ยนเซ่อก็พาหลานชายทั้งสองคนมาที่บ้านสี่ประสาน ตอนแรกคนที่จะช่วยทำงานก่อสร้างยังไม่พอ แต่แล้วก็คึกครื้นขึ้นมาทันที

หลายคนออกจากประตูไปอย่างมีความสุข ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีคนคอยเฝ้าจับตามองอยู่ทางอีกฟากของถนน หลังจากฉินเจี้ยนเซ่อและคนอื่น ๆ ไปแล้ว เขาก็หันหลังกลับเช่นกัน

ชายหนุ่มเดินลัดเลาะไปมา สุดท้ายก็มาถึงที่หมาย หลังจากผลักเปิดประตูเข้าไปแล้ว ก็ได้บอกคนที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะตัวเล็กว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้มีเรื่องอะไรเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลเจี่ยงบ้าง สุดท้ายก็บอกกล่าวเพิ่มเติม “ฉินมู่หลานคนนั้นไม่ได้ออกมาข้างนอกบ่อยนัก ผมจึงเจอตัวแค่สองสามครั้ง ไม่รู้ว่าตอนนี้หล่อนกำลังทำอะไรอยู่ แต่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าจะไปโรงพยาบาลปักกิ่งกับอีกหลายคน ไม่รู้เหมือนกันว่าไปทำอะไร”

…………………………………………………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

สายลับจากฝั่งไหนมาสอดแนมมู่หลานเนี่ย ช่วงนี้ต้องระวังตัวดีๆ นะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก

Status: Ongoing
เมื่อแพทย์สาวมือฉมังพบว่าตนเองได้กลายเป็นหญิงอ้วนผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่เป็นที่รักของสามี เธอจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก[嫁七零糙汉后,我双胞胎体质藏不住]ผู้แต่ง : 钰儿เรื่องย่อหลังผชิญวรหนักจนวูบ ฉินมู่หลาน แพทย์สาวมือฉมังก็พบว่าตนองได้มาสวมร่างของหญิงอ้วนหลานสาวผู้เชี่ยวชาญด้นสมุนไพรในยุค 70 ผู้ไม่มีอะไรดีสักอย่างนอกจากได้สามีหล่อเหลานิสัยดีผู้แสนเย็นขาจากความลั่งรักของตัวเองจจับเขามาแต่งงด้วยสำเร็จ ซึ่งกรสวมวิญญาณในครั้งนี้เธอได้รับภารกิจหลักสามอย่าง หนึ่งคือสร้างเนื้อสร้างตัว สองคือลดน้ำหนักให้ตนเองทำงานทำการสะดวกขึ้น และสามคือทำให้สามีเป็นฝ่ายคลั่งรักเธอแทน คุณหมอฉินจะทำสำเร็จหรือไม่ จะเปลี่ยนเป็นฉินมู่หลานคนใหม่ที่สามีคลั่งรักได้หรือไม่กันนะ?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท