ตอนที่ 287 สะท้อนกลับ
หย่งไท่ปีที่สิบห้าย่อมเป็นปีที่ไม่สงบ
สถานการณ์ภัยพิบัติทุเลาลง แต่โจรกบฏกลับยิ่งอาละวาดหนักขึ้น
ตระกูลขุนนางจู่โจมกลับ อำนาจราชวงศ์ถูกท้าทาย
เยียนโส่วจ้านได้เมืองป๋อไฮ่มาครอบครอง ทำให้ความสามารถของเขาเพิ่มมากขึ้น เขาเดินทัพจู่โจมกองกำลังของซีหยงอย่างรวดเร็ว
กองทัพใต้ออกจากเมืองหลวงไปปราบปรามโจรกบฏ แผนการทำสงครามรั่วไหล ถูกดักโจมตีระหว่างทาง ได้รับบาดเจ็บและล้มตายเป็นจำนวนมาก
องค์ชายสองเซียวเฉิงเหวินประชวรหนัก ลุกจากเตียงไม่ได้
ฮ่องเต้หย่งไท่กระอักเลือดอย่างต่อเนื่องในตำหนักซิงชิ่ง
ตระกูลขุนนางบีบเค้นจนทำให้เขาไม่มีเวลาหายใจ
เสบียงบนแผ่นดิน พื้นที่ส่วยสำคัญถูกโจรกบฏทำลาย
ไม่ต้องเอ่ยถึงคนที่ล้มตายและบาดเจ็บ เพียงแค่ส่วยในปีนี้จะทำอย่างไร
เรื่องแต่ละเรื่องที่เกิดขึ้นทำให้ทั้งแผ่นดินตกอยู่ในสงครามไปแล้ว
แม่ทัพประจำถิ่นเดินทัพสยบกบฏ ออกคนแต่ไม่ออกแรง
ฎีกาที่ต้องการเงินและเสบียง ฮ่องเต้สามารถรับได้ทุกวัน
ไม่ให้เงินไม่ให้เสบียง พวกเขาก็ไม่เดินทัพ ไม่ยอมกำจัดโจรกบฏให้สิ้นซาก
โครม!
ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจนล้มโต๊ะตำรา ฎีกาเต็มโต๊ะถูกกวาดลงบนพื้น
“บังอาจ! มีแต่พวกบังอาจ!
“สมควรตาย! ทุกคนสมควรตาย!”
ซุนปังเหนียนคุกเข่าร้องไห้อยู่บนพื้น “ฝ่าบาท คืนดีกับตระกูลขุนนางเถิดพ่ะย่ะค่ะ! หากยังปะทะกันต่อไป ราษฎรจะทนไม่ไหวนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“หุบปาก! ผู้ใดให้เจ้ามาโน้มน้าว เจ้ารับเงินของผู้ใดมาบ้าง”
“หากกระหม่อมกล้ารับเงินแม้แต่ตำลึงเดียว ย่อมต้องถูกฟ้าผ่า ไม่ได้ตายดี!”
ซุนปังเหนียนก้มกราบครั้งแล้วครั้งเล่า
จนกระทั่งหน้าผากแตก เลือดไหลเป็นทางยาว เขาก็ไม่ได้หยุดลง
เลือดไหลลงตามขั้นบันไดทีละหยด เวลานี้สามารถมองเห็นกระดูกสีขาวบนหน้าผากของเขาแล้ว
หากก้มกราบต่อไป เขาต้องตายอย่างแน่นอน!
“พอแล้ว!”
สุดท้ายฮ่องเต้หย่งไท่ก็ไม่อยากให้ซุนปังเหนียนตาย
หากซุนปังเหนียนตายไป จะมีผู้ใดปรนนิบัติเขาได้ดีกว่า เข้าใจเขามากกว่า
ซุนปังเหนียนมีชีวิตรอดกลับมา “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่อยากเห็นใบหน้าเปื้อนเลือดของเขา จึงตวาดเสียงดัง “ออกไป!”
ซุนปังเหนียนน้อมรับคำสั่งถอยออกไป
ฮ่องเต้หย่งไท่กระแอมไอขึ้นมาอีกครั้ง
ฤดูร้อนแล้ว อากาศในเมืองหลวงก็ร้อนตาม
ขันทีประตูเหลืองสวมชุดฤดูร้อนบางๆ ยังเหงื่อแตก
แต่ฮ่องเต้หย่งไท่กลับรู้สึกหนาว ดังนั้นเขาจึงสวมใส่เสื้อคลุมอีกตัว
ภายในตำหนักใหญ่ไม่มีการจัดวางอ่างน้ำแข็ง เพราะฮ่องเต้ไม่ได้ใช้
แต่มันทำให้ขุนนางฝ่ายในและขันทีประตูเหลืองที่เข้าเวรลำบาก ทำได้เพียงทำงานพร้อมกับหยาดเหงื่อ
ฮ่องเต้เดินลงบันไดอย่างเชื่องช้าจนถึงหน้าประตูตำหนักใหญ่
เขายืนอยู่ใต้ชายคา แหงนหน้ามองท้องฟ้าสดใส ช่างงดงามเสียจริง!
แผ่นดินที่งดงามเพียงนี้ เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำให้แผ่นดินนองเลือด ราษฎรเดือดร้อน
เขาแหงนหน้าขึ้นฟ้าพลันร่ำร้อง ภายในใจขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก
“เรียกขุนนางราชสำนักเข้าเฝ้า ข้าจะเปิดประชุมท้องพระโรง!”
การปะทะระหว่างฮ่องเต้และตระกูลขุนนางที่กินเวลาเกือบหนึ่งปีจบสิ้นลงด้วยการยอมจำนนของฮ่องเต้
ถึงแม้การประชุมท้องพระโรงจะไม่ได้แก้ไขปัญหาอย่างแท้จริง แต่ขุนนางตระกูลใหญ่ได้กลับเข้ามาในราชสำนักอีกครั้งก็เป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งที่สุด
การปะทะระหว่างอำนาจราชวงศ์และตระกูลขุนนางถึงเวลาต้องจบสิ้นแล้ว
ฮ่องเต้ยอมแพ้แล้ว!
มันคือชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลขุนนางในหลายปีนี้ ควรค่าแก่การฉลองของทุกคน
ตระกูลขุนนางเมื่อเห็นฮ่องเต้ยอมจำนน พวกเขาก็ยอมที่จะถอย แสดงให้เห็นความจริงใจอย่างเพียงพอ
พวกเขาถอดถอนทุกการสนับสนุนโจรกบฏ ทั้งเสบียง อาวุธ ทหาร แผนที่ ข่าวสาร…
เดิมคิดว่าเพียงแค่ถอนการสนับสนุนทั้งหมด โจรกบฏก็จะถูกปราบปรามอย่างรวดเร็ว
แต่ไม่คิดว่าการสนับสนุนอย่างลับๆ ของตระกูลขุนนางเกือบหนึ่งปี จะทำให้กลุ่มคนที่ไร้ทิศทาง ไร้รูปร่าง ไร้กฎระเบียบนี้กลายเป็นโจรกบฏที่มีกำลังการทำสงครามอย่างเป็นระเบียบและมีทิศทางเป้าหมายอย่างแท้จริง
ตระกูลขุนนางถอนการสนับสนุนทั้งหมด ทำให้กลุ่มโจรกบฏเริ่มรวมตัวกันโดยการบังคับหรือสมัครใจ
โจรกบฏที่กระจายตัวเป็นกลุ่มเล็กรวมตัวเข้าด้วยกันกลายเป็นกลุ่มโจรกบฏที่สามารถสั่นคลอนแผ่นดินได้
ไม่มีเสบียง ไม่มีอาวุธ…
พวกเขาก็ลงไปปล้นในเมือง สำนักราชการหรือโกดังของตระกูลขุนนาง…
พวกเขาไปมาเหมือนลม เคลื่อนไหวคล่องแคล่ว อีกทั้งยังคุ้นชินกับสภาพพื้นที่
พวกเขาครอบครองพื้นที่ ต่อสู้อย่างมั่นคง จัดระบบกองทัพใหม่ สร้างลำดับชั้นในกองทัพ ก่อตั้งกองทัพอย่างไม่เป็นทางการที่เริ่มเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา
พวกเขาพิชิตเหมือง จับช่างฝีมือมาประดิษฐ์อาวุธให้พวกเขา
พวกเขายังจับคนจำนวนมากเพื่อทำนาให้ตัวเอง
พวกเขาเลียนแบบสำนักราชการ เริ่มเรียกเก็บส่วยในพื้นที่
พวกเขาสร้างสำนักราชการของตนเองขึ้นมา กำหนดกฎเกณฑ์เพื่อควบคุมราษฎรบนพื้นที่ของตนเองขึ้นมา
พวกเขาขับไล่ตระกูลขุนนางในพื้นที่ พร้อมทั้งปล้นชิงทรัพย์สิน…
สุดท้ายโจรกบฏที่ตระกูลขุนนางปั้นขึ้นมาเพื่อต่อสู้กับอำนาจราชวงศ์ก็สะท้อนกลับไปยังตัวของพวกเขาเอง
หัวหน้าโจรกบฏ ซือหม่าโต่ว หรือที่ผู้อื่นเรียกว่าแม่ทัพใหญ่ซือหม่า
เริ่มแรกเขาก็เป็นเพียงโจรกบฏที่ไร้ซึ่งความโดดเด่น อาศัยการสนับสนุนของตระกูลขุนนางรอดชีวิตมาจากความตายหลายต่อหลายครั้ง
การต่อสู้ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายในแต่ละครั้ง ทำให้ชายหนุ่มที่วิ่งออกมากจากในหุบเขาลึก รู้ตัวหนังสือเพียงไม่กี่ตัวเติบโตขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เขาไขว่คว้าโอกาสโดยเริ่มจากการรวมรวบอำนาจข้างกาย ทีละก้าว ทีละก้าว เขาใช้เวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่เดือนก็กลายเป็นโจรกบฏที่มีชื่อมีแซ่ มีอำนาจมากที่สุดบนแผ่นดิน
ตระกูลขุนนางถอนการสนับสนุนทั้งหมด แสดงให้เห็นแล้วว่าต้องการให้พวกเขาเป็นแพะรับบาป ใช้หัวของพวกเขาแสดงเจตจำนงต่อฮ่องเต้
ทนได้หรือ
ย่อมทนไม่ได้!
ผู้ใดกล้าเอาหัวของเขา เขาก็จะฆ่าผู้นั้น!
ทั้งเผาทั้งฆ่าตลอดทาง ในที่สุดเขาก็เปิดเส้นทางเลือดให้ตัวเองขึ้นมาได้ สร้างพื้นที่ของตนเองขึ้นมาได้ สร้างอนาคตที่สามารถคาดการณ์ได้ขึ้นมา
ตระกูลขุนนางสร้างเขาขึ้นมา แต่เขาเกลียดชังตระกูลขุนนางที่สุด
ในสายตาของตระกูลขุนนาง เขากับโจรกบฏทั้งหมดเป็นเพียงตัวตลก ถูกตระกูลขุนนางเล่นสนุกอยู่ในกำมือ
ดังนั้น เมื่อเขาฆ่าตระกูลขุนนาง เขาจึงฆ่าอย่างโหดเหี้ยมที่สุด
ตระกูลขุนนางจะทนอยู่เฉยได้หรือ
ย่อมไม่ได้!
เมื่อพวกเขาถูกผลกรรมที่ตนเองสร้างเอาไว้ตอบสนอง ตระกูลขุนนางเองก็เริ่มต้นการจู่โจมกลับอย่างดุเดือด
พวกเขารวบรวมกำลังที่ใช้ในการโจมตีอำนาจราชวงศ์ในเดิมที เริ่มให้ความร่วมมือกับกองทัพโจมตีโจรกบฏที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงกลุ่มนี้
บังอาจเข่นฆ่าตระกูลขุนนาง โจรกบฏทั่วแผ่นดินล้วนสมควรตาย!
สงครามการปราบปรามโจรกบฏที่ดุเดือดเปิดฉากขึ้น
…
ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะร่า
ใช้พลังของตระกูลขุนนางมาจัดการกับโจรกบฏช่างเห็นผลดีเสียจริง
เมื่อเห็นตระกูลขุนนางถูกโจรกบฏโจมตีกลับ อารมณ์ของฮ่องเต้หย่งไท่ก็ราบรื่นอย่างไร้ที่ติ
“กรรมที่พวกเขาสร้างเอาไว้ เวลานี้พวกเขารับผลร้ายเอาไว้เอง กรรมตามสนองเสียจริง!”
สู้เถิด สู้เถิด ทางที่ดีคือเสียหายทั้งสองฝ่าย ให้เขาได้รับประโยชน์อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้ยังมีข่าวดีเรื่องอื่น
กองกำลังเหลียงโจวร่วมมือกับกองกำลังโยวโจว ดักล้อมกองกำลังซีหยงจากด้านหน้าและด้านหลัง
ซีหยงสู้ไม่ได้ จึงเผ่นหนีไปทางเหนืออย่างอนาถ
เพื่อรอดชีวิต พวกเขาละทิ้งทรัพยากรและคนจำนวนมากที่ปล้นชิงมาระหว่างทาง
กองทัพเหลียงโจวไล่ล่าไปตามทาง
ส่วนกองทัพโยวโจวตามเก็บทรัพยากรที่กองกำลังซีหยงเหลือเอาไว้
ทรัพยากรเหล่านี้จะส่งคืนให้แก่ราษฎรที่ได้รับความเสียหาย?
ฝันไปเสียเถิด!
ทรัพยากรที่ถูกกองกำลังโยวโจวเก็บได้ไม่มีทางส่งคืนกลับไป
ราชวงศ์ซีหยงนำกองกำลังส่วนที่เหลือหนีตายอย่างรวดเร็ว
กองกำลังเหลียงโจวไล่ตามมาด้านหลัง ไม่ยอมปล่อย
สุดท้ายกองกำลังซีหยงถูกสังหาร ทรัพยากรที่เก็บได้มีจำนวนมาก
พวกเขาไม่ต้องการเชลย ดังนั้นจึงประหารหมด
แม้แต่สมาชิกราชวงศ์ซีหยงก็ไม่เหลือเอาไว้ ล้วนถูกประหารหมด
อย่างมากก็แค่ใช้ปูนขาวป้องกันการเน่า ส่งศีรษะของพวกเขาไปให้ฮ่องเต้ ให้ฮ่องเต้ได้เห็นรูปลักษณ์ของสมาชิกราชวงศ์ซีหยง
กองทัพเหลียงโจวเดินทัพกลับทางเดิม
พวกเขาสร้างความดีความชอบอย่างใหญ่หลวง สมควรได้รับรางวัล
กองทัพโยวโจวของเยียนโส่วจ้านเพียงแค่ถ่วงกองทัพซีหยงเอาไว้ยังได้เมืองป๋อไฮ่
กองทัพเหลียงโจวปราบปรามราชวงศ์ซีหยง หากไม่มีแคว้นชั้นดีสองแคว้น ไม่มีทรัพย์สินจำนวนมากเป็นรางวัลคงเป็นไปไม่ได้
ความดีความชอบถูกรายงานขึ้นไปยังราชสำนัก แต่ราชสำนักไม่มีการตอบสนองแต่อย่างใด
พระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงเข้าวังบ่อยครั้ง นอกจากนี้ยังเข้าเฝ้าฮ่องเต้เป็นการส่วนตัว ทูลขอฮ่องเต้พระราชทานรางวัลที่เหมาะสมกับความดีความชอบให้กองทัพเหลียงโจว
เขาไม่กล้าขอมาก เพียงแค่ไม่น้อยกว่ารางวัลของเยียนโส่วจ้านก็พอ
เวลานี้ฮ่องเต้หย่งไท่ถึงตระหนักได้ว่า การให้เมืองป๋อไฮ่แก่เยียนโส่วจ้านในเวลานั้นเป็นการเดินหมากที่ผิด
เขาสร้างตัวอย่างที่ไม่ดีอย่างมากขึ้นมา
คราวนี้ หากเขารับปากข้อเรียกร้องของกองทัพเหลียงโจว ให้เมืองสองเมือง
เมื่อรอจนแม่ทัพท้องถิ่นปราบปรามโจรกบฏอย่างราบรื่นแล้ว จะมีแม่ทัพมาขอพื้นที่ขอส่วยจากราชสำนักมากยิ่งขึ้น
ประโยคเดียวกัน เหตุใดเยียนโส่วจ้านและกองทัพเหลียงโจวได้รางวัลเป็นเมือง แต่พวกเขาไม่ได้
ล้วนออกแรงทำสงครามเหมือนกัน ล้วนมีความเสียหาย เหตุใดจึงต้องปฏิบัติแตกต่างกัน
เมื่อรอจนบรรดาแม่ทัพโวยวายขึ้นมา ฮ่องเต้ก็ไม่กล้าจินตนาการถึงผลที่จะตามมา
ยังไม่ทันได้ดีใจ ก็ถูกน้ำเย็นราดลงหัวเสียแล้ว ฮ่องเต้รู้สึกหนาวเหน็บมาจากภายใน
เขาพูดกับพระราชบุตรเขยหลิวเป่าผิงด้วยความเคร่งขรึม “ใต้เท้าหลิว ความลำบากของราชสำนัก เจ้าก็รู้ดี! เรื่องบางเรื่อง มีหนึ่งได้ มีสองไม่ได้ เรื่องบางอย่างเริ่มไม่ได้!”
พระราชบุตรเขยเงยหน้าทูลถาม “ฝ่าบาททรงหมายความว่า พระองค์ทรงไม่สามารถพระราชทานรางวัลที่เหมาะสมแก่กองทัพเหลียงโจวได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าจะให้เงินและเสบียงที่เพียงพอ อีกทั้งยังจะออกพระราชโองการชื่นชม”
พระราชบุตรเขยก้มหน้ายิ้ม “กระหม่อมน้อมรับพระราชโองการ!”
ฮ่องเต้หย่งไท่พึงพอใจอย่างมาก พระราชบุตรเขยเป็นผู้ที่รู้จักความเหมาะสม
เขาเชื่อว่าเมื่อมีการประสานงานของพระราชบุตรเขย กองทัพเหลียงโจวจะถอยกลับพื้นที่เหลียงโจวอย่างรวดเร็ว ไม่ก่อเรื่อง
แต่แล้ว…
ฮ่องเต้คิดในแง่บวกเกินไป
กองทัพเหลียงโจวและกองทัพโยวโจวปะทะกันขึ้นมา!
กองทัพทั้งสองฝ่ายสู้รบกันอย่างดุเดือด อีกทั้งยังเกิดการใช้อาวุธ
เยียนโส่วจ้านและแม่ทัพของอีกฝ่ายออกหน้าจึงจะหยุดผู้ใต้บังคับบัญชาเอาไว้ได้
แต่กองทัพทั้งสองฝ่ายยังคงเผชิญหน้ากัน
เมื่อข่าวถูกส่งไปถึงเมืองหลวง ฮ่องเต้หย่งไท่ตกใจจนหน้าถอดสี เขาโกรธเคืองอย่างมาก
“พระราชบุตรเขยอยู่ที่ใด เหตุใดกองทัพเหลียงโจวยังอยู่ในโยวโจว เหตุใดจึงไม่ถอยกลับพื้นที่เหลียงโจวทันที”
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมทำตามรับสั่งของฝ่าบาท เขียนจดหมายส่งไปยังค่ายทหาร เกลี้ยกล่อมแม่ทัพในค่ายแล้ว แต่แม่ทัพในค่ายไม่รับปาก! พวกเขาเดินทัพนับพันลี้ พี่น้องส่วนใหญ่ถูกทอดทิ้งไว้บนที่ราบ ไม่สามารถกลับแผ่นดินเกิดได้อีก สุดท้ายกลับไม่ได้รับรางวัล ส่วนกองทัพโยวโจวออกกองกำลังแต่ไม่ออกแรง แต่กลับได้รางวัลมากมาย ขอฝ่าบาทโปรดทรงพระราชทานรางวัลที่เป็นธรรมแก่กองทัพเหลียงโจวด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าบังอาจ!”
“กระหม่อมมิกล้าบังอาจ! กระหม่อมปฏิบัติตามรับสั่งของฝ่าบาทเสมอ กระหม่อมเพียงแค่ทูลเล่าข้อเท็จจริงทางการทหารให้ฝ่าบาททรงทราบความจริง หากฝ่าบาททรงคิดว่ากระหม่อมทำงานได้ไม่ดี กระหม่อมทูลขอ นับจากนี้จะไม่แทรกแซงเรื่องของกองทัพอีกพ่ะย่ะค่ะ”
บังอาจละมือในเวลานี้ กำลังข่มขู่ข้าหรือ
ฮ่องเต้หย่งไท่โกรธจนอยากออกรับสั่งจับตัวหลิวเป่าผิงเอาไว้