ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 516 หยั่งเชิงวัดซานฮัว

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 516 หยั่งเชิงวัดซานฮัว

หลังจากหนึ่งชั่วยามผ่านไป เสียงฝีเท้าม้าเร่งรีบก็ดังขึ้นบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยวจนฝุ่นตลบ

ทหารม้ากองหนึ่งวิ่งตะบึงเข้ามา สตรีผู้นำกองทหารสวมชุดกระโปรงคอไขว้สีฟ้าอ่อน นางมีคิ้วหยกสีดำงดงาม ฐานคิ้วราบเรียบไม่มีช่วงกลางคิ้วที่โดดเด่นออกมา ดูรวมๆ แล้วอ่อนโยนเป็นที่สุด

องคาพยพบนใบหน้าของนางถูกคัดสรรมาอย่างดีตามธรรมชาติ ดวงตาชัดเจนสว่างไสว ริมฝีปากอวบอิ่มแต่ไม่หนา จมูกตั้งตรงงามประณีต

เหลยโจวตั้งอยู่บนที่ราบสูง มีแดดจัด ผิวของนางจึงคล้ำกว่าสตรีทั่วไป แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายความงามของนาง ผิวที่ดูสุขภาพดีเช่นนี้กลับยิ่งน่าชื่นชมมากกว่า

สิ่งเดียวที่ยังงดงามไม่พอคือสตรีใบหน้างามสะพรั่งอันเปี่ยมสุขผู้นี้กลับมีผมตั้งขึ้นสูงเล็กน้อย

“คุณชายหลี่”

คนยังไม่มาถึง แต่เสียงร้องเรียกดังมาแต่ไกล

บนหลังม้า คุณหนูแห่งสมาคมการค้าเหลยโจวเหวินเหรินเชี่ยนโหรวทิ้งเหล่าทหารคุ้มกันไว้ข้างหลังแล้วกระโดดลงมาจากหลังม้า ก่อนกระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของหลี่หลิงซู่ในระยะสิบกว่าจั้ง

นางกอดเอวของเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ไว้แน่นแล้วเอ่ยเสียงสั่นว่า

“คุณชายหลี่ จากกันมาครึ่งปี โหรวเอ๋อร์คิดถึงท่านยิ่งนัก”

ต่อหน้าทุกคนเช่นนี้ หลี่หลิงซู่มีท่าทีกระดากอายเล็กน้อยและพูดกับตัวเองว่า ‘เสน่ห์ที่น่าบัดซบของข้านี่นะ’…

สวี่ชีอันได้เห็นภาพนี้ก็นึกถึงฉากสุดคลาสสิกในนิยายที่เคยอ่านในชาติก่อนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พระเอกนางเอกจากกันไปนาน แต่จู่ๆ พระเอกก็โผล่มาเซอร์ไพรส์ ทำเอานางเอกดีใจโผเข้ามากอดโดยไม่สนใจตัวเองแบบนี้แหละ

เสริม: จะต้องเป็นผู้หญิงที่มีฐานะสูงส่งหรือสวยจนตกตะลึงด้วยนะ

จากนั้นคนรอบๆ ก็จะพากันตะลึงลานและลอบสะใจในฐานะของพระเอก เป็นการที่นางเอกช่วยพระเอกเก๊กว่าข้าใหญ่ ‘โดยไม่ได้ตั้งใจ’

ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะโชคดีได้เห็นฉากนี้เข้าให้

หลี่หลิงซู่ลูบหลังของเหวินเหรินเชี่ยนโหรวเบาๆ แล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

“พี่สาวคนดี ข้าก็คิดถึงท่าน ครึ่งปีมานี้ ตอนจะกินข้าวก็คิดถึงท่าน ตอนนอนก็คิดถึงท่าน อาบน้ำก็คิดถึงท่าน แม้แต่ตอนนั่งบำเพ็ญ ในหัวก็ยังมีแต่ท่าน”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวได้ยินเช่นนี้ แววตาก็เปล่งประกายระยิบระยับ ความรู้สึกทั้งซาบซึ้งใจ หลงใหล และรักใคร่ ล้วนมีหมดทั้งสิ้น

นางกวาดตาสำรวจหลี่หลิงซู่ตั้งแต่บนลงล่างราวกับรอบข้างไม่มีผู้คน จากนั้นเอ่ยว่า

“สองพี่น้องแซ่ตงฟางนั่นไม่ได้ตามท่านหรือ”

หลี่หลิงซู่ส่ายหน้า “ข้าหลบหนีมาตลอด ไม่ยอมให้พวกนางได้สิ่งที่ต้องการหรอก ก่อนหน้านี้ข้าได้ตกอยู่ในกำมือของพวกนางจริงๆ แต่สุดท้ายก็หนีออกมาได้”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวกล่าวอย่างกรุ่นโกรธ “สมควรแล้ว ใครใช้ให้ท่านล่อผึ้งล่อภมรเช่นนี้กันเล่า”

หลี่หลิงซู่ขมวดคิ้วมุ่นแล้วถอนหายใจ “ข้าเพียงทำความผิดแบบที่ผู้ชายทั้งหลายทำ จนกระทั่งได้มาพบเจ้าถึงรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวเป็นสตรีฉลาด นางช่วยบิดาจัดการสมาคมการค้าให้มีระเบียบ ทั้งฉลาดและมีความสามารถมาก

แต่เมื่อเป็นเรื่องความรัก นางกลับเลอะเลือนและเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่ง

เมื่อได้ยินเรื่องราวความรักเช่นนี้ คนทั้งคนจึงตกอยู่ในภวังค์

“เช่นนั้นคุณชายหลี่หนีออกมาได้อย่างไรหรือ”

“เรื่องนี้ต้องขอบคุณพี่สวี” ปราชญ์นิกายสวรรค์รีบแนะนำสวี่ชีอันและมู่หนานจือให้เหวินเหรินเชี่ยนโหรวรู้จักทันที

“โหรวเอ๋อร์ พวกเขาคือผู้มีพระคุณของข้า และยังเป็นสหายด้วย”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวเดินไปหาทั้งสองคนอย่างนุ่มนวลแล้วโค้งตัวคำนับพร้อมเอ่ยเสียงอ่อนโยน

“ขอบคุณผู้มีพระคุณทั้งสองที่ช่วยเหลือคุณชายหลี่ บุญคุณยิ่งใหญ่ คุณธรรมใหญ่ยิ่ง มิอาจลืมเลือน”

นี่คือการฝึกตนของผู้ชายคนเลวอย่างนั้นหรือ..สวี่ชีอันยิ้มบาง “เรื่องเพียงเล็กน้อย ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงหรอก”

ขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็คาดเดาได้ เขาไม่ได้รู้จักคุณหนูของสมาคมการค้าเหลยโจว แต่สาเหตุที่รู้สึกคุ้นเคย เป็นเพราะชื่อของนางทำให้เขารู้สึกเหมือนเดจาวู

ไม่นานเขาก็สลัดรายละเอียดเหล่านี้ทิ้งไป ถึงอย่างไรทุกคนต่างก็เคยผ่านความคิดผิดๆ แบบที่ว่า ‘ข้าเคยมาที่นี่แล้ว’ ‘ข้าเคยทำเรื่องพวกนี้มาก่อน’ กันทั้งนั้น

สวี่ชีอันลอบส่งเสียงทางจิตไป “สมาคมการค้าเหลยโจวมีอิทธิพลในเหลยโจวอย่างไรบ้าง”

หลี่หลิงซู่ตอบกลับ

“ฟังจากชื่อก็รู้แล้ว กำลังทรัพย์ไม่เป็นรองใคร ส่วนทางด้านยอดฝีมือก็มีขั้นสี่อยู่หลายคนทีเดียว ความจริงแล้วตอนนั้นหากมิใช่เพราะพี่หรงกับพี่ชิงตามมากระชั้นชิดเกินไป ข้าก็คงตามโหรวเอ๋อร์กลับเหลยโจวแล้ว เพราะในดินแดนของเหลยโจว ต่อให้เป็นพี่หรงหรือพี่ชิงก็ต้องมีความเกรงกลัวอยู่บ้าง แน่นอนว่า หากต่อสู้โดยไม่สนอะไร พลังต่อสู้ของพวกนางก็ยังสามารถกดสมาคมการค้าเหลยโจวได้”

เรื่องเหล่านี้มิใช่เรื่องสำคัญ..สวี่ชีอันส่งเสียงไปถามว่า “เจ้าเคยหลับนอนผู้หญิงคนนี้หรือไม่”

“เอ่อ เรื่องนี้..เมื่อมีรักลึกซึ้ง เรื่องทุกอย่างล้วนเป็นไปตามธรรมชาติ แต่ท่านมิต้องเป็นห่วง โหรวเอ๋อร์แตกต่างจากสองพี่น้องตงฟาง นางไม่ใช่คนสุดโต่ง นางมีการศึกษา”

หลี่หลิงซู่รีบส่งเสียงทางจิตอธิบาย

พูดเรื่องพวกนี้ไปก็เท่านั้น ถึงอย่างไรข้าก็เตรียมการปล่อยเจ้าทิ้งไว้เรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันหน้านิ่งไร้อารมณ์

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวที่ไม่รู้ว่าทั้งสองคนลอบส่งเสียงทางจิตคุยกันเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ทราบว่าผู้มีพระคุณทั้งสองยินดีตามเชี่ยนโหรวกลับเมืองหรือไม่ ให้โอกาสเชี่ยนโหรวให้รับรองพวกท่านด้วยเถิด”

พูดจาก็ดูมีระดับดีมาก มู่หนานจือเชิดหน้าขึ้นแล้วตอบรับ ‘อืม’ อย่างเย่อหยิ่ง

ทุกคนขึ้นไปนั่งบนม้าทันทีแล้วเดินทางไปยังเมืองเหลยโจวที่อยู่ห่างไปยี่สิบลี้

จวนตระกูลเหวินเหริน ห้องโถงใหญ่

“ท่านพ่อไปทำการค้าที่ชายแดนเหนือ นำธัญพืช เครื่องลายคราม ผ้าไหม และสิ่งของอื่นๆ ไปแลกกับม้าศึก วัว และแกะของชนเผ่าอนารยชน”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวสั่งให้คนยกชาเข้ามาพร้อมผลไม้ประจำเหลยโจว

เนื่องจากอุณหภูมิที่แตกต่างกันมากระหว่างกลางวันและกลางคืน ผลไม้ของเหลยโจวจึงหวานยิ่งกว่าที่อื่นๆ

สิ่งนี้ทำให้เทพดอกไม้ที่กลับชาติมาเกิดพึงพอใจยิ่งนัก จึงกินแตงหวานเข้าไปอีกหลายคำ

กินไปพูดไปว่า “ได้กำไรไม่น้อยเลยสินะ”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวพยักหน้ายิ้ม “ปกติเราไม่กล้าทำการค้ากับพวกเผ่าอนารยชนหรือเผ่าปีศาจหรอก เมื่อเทียบกับเผ่าอนารยชนและเผ่าพันธุ์ปีศาจพวกนั้นแล้ว เผ่าพันธุ์กู่ทางซินเจียงตอนใต้นั้นกลับเชื่อถือได้มากกว่า สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์กู่ล้วนๆ โดยเฉพาะสายเทียนกู่ เทียนกู่นั้นไม่เคยขาดแคลนผู้มีปัญญา ทั้งยังมีวิสัยทัศน์มากพอ พวกเขาคิดว่าซินเจียงตอนใต้ควรจะทำการค้ากับต้าฟ่ง ส่วนเผ่ากู่อื่นๆ นั้นยังไม่กล้าออกมา แน่นอนว่า ซินเจียงตอนใต้ก็มีเผ่าอนารยชนมากมายที่ลิ้มรสเลือดดั่งเส้นขนและใช้คนเป็นไปบูชายัญ ถึงขั้นให้บิดาและบุตรฆ่ากันเอง หากบุตรอยากจะสืบทอดทรัพย์สินของบิดา ก็มีแต่ต้องฆ่าบิดาเท่านั้น”

บิดาและบุตรฆ่ากันเอง? รู้สึกเหมือนเจ้ากำลังพูดถึงข้าอยู่เลย..สวี่ชีอันบ่นอยู่ในใจ

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวกล่าวต่อ “สงครามที่แดนเหนือยาวนานขนาดนี้ ตอนนี้ทั้งเผ่าปีศาจและเผ่าอนารยชนจึงขาดแคลนเสบียงสิ่งของ เพราะมีพันธสัญญาอยู่ พวกเขาจึงไม่กล้ามารุกรานที่ชายแดนต้าฟ่งอีก สำหรับพวกเราแล้ว นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุด”

สวี่ชีอันเอ่ยประเมิน “พ่อค้าแสวงหากำไรได้ นี่เป็นเรื่องดี”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวดวงตาสว่างไสว “ผู้มีพระคุณไม่คิดว่าพ่อค้าต่ำต้อยหรอกหรือ”

เกรงว่าเจ้าคงไม่เคยผ่านยุคที่คนมีเงินคือนายท่านใหญ่สินะ..สวี่ชีอันเอ่ยอย่างรักษาท่าที “บนหนังสือประวัติศาสตร์ ในยุคสมัยอันรุ่งเรืองส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการเติบโตของการค้าทั้งสิ้น”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวตบมือเอ่ยว่า “ผู้มีพระคุณสมแล้วที่เป็นผู้สูงส่งที่สายตาไม่มัวแต่ติดอยู่กับพื้นดิน”

เมื่อพูดคุยเล็กน้อยเป็นการอุ่นเครื่องแล้ว สวี่ชีอันก็เข้าประเด็น “แม่นางเหวินเหรินรู้จักวัดซานฮัวของเหลยโจวหรือไม่”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวพยักหน้า

“ช่วยนี้ที่วัดซานฮัวมีเรื่องแปลกประหลาดอันใดหรือไม่”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะส่ายหน้าเอ่ยว่า “ก็ไม่มีเรื่องผิดปกติ เพียงแต่ว่าอีกเก้าวันจะเป็นวันเปิดเจดีย์พุทธะเจ้าค่ะ”

สวี่ชีอันหัวเราะ “เจ้าก็รู้เรื่องการเปิดเจดีย์พุทธะในช่วงนี้ด้วยหรือ”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวนิ่งไป ก่อนยิ้มบางๆ

“ว่ากันว่า สำนักพุทธเคยใช้เจดีย์พุทธะเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและร่างทองที่ภิกษุชั้นสูงทิ้งเอาไว้ นับเป็นพุทธจิตที่เข้มข้นยิ่ง ทุกๆ หกสิบปีจะเปิดเพียงหนึ่งครั้ง หากผู้มีวาสนาได้เข้าไปในนั้นก็อาจจะได้รับสมบัติ”

สำนักพุทธใจดีเช่นนี้เลยหรือ สวี่ชีอันเอ่ยอย่างครุ่นคิด “จุดประสงค์ล่ะ?”

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวตอบทันใด “ตามตำนานกล่าวว่า คนธรรมดาที่ได้รับสมบัติในเจดีย์พุทธะ สุดท้ายแล้วก็จะกลายมานับถือสำนักพุทธ จริงสิ ก่อนหน้านี้มีคนกล่าวว่าเจดีย์พุทธะมีแสงทองส่องอร่ามพร้อมเสียงคำรามของมังกร วันซานฮัวอธิบายกับคนนอกว่าบุญกุศลของเจดีย์พุทธะนั้นเต็มเปี่ยม จึงเกิดปรากฏการณ์เช่นนี้ขึ้นมา”

เข้าใจแล้ว หกสิบปีเปิดออกหนึ่งครั้ง เป้าหมายที่แท้จริงก็คือการทำให้ ‘ผู้มีวาสนา’ นับถือสำนักพุทธ…อ่า บุญกุศลเต็มเปี่ยม? ปราณมังกรของต้าฟ่งกลายเป็น ‘บุญกุศลเต็มเปี่ยม’ ของสำนักพุทธตั้งแต่เมื่อใด เห็นๆ อยู่ว่าเพราะต้องการกลืนกินปราณมังกร…หลังจากจมอยู่ในความคิด สวี่ชีอันก็เอ่ยถามว่า

“วัดซานฮัวตั้งอยู่ที่ใดหรือ ใกล้กับเมืองเหลยโจวหรือไม่”

“หากขี่ม้าเร็วไป พรุ่งนี้ก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ”

สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ แล้วมองไปยังเทพบุตรแห่งนิกายสวรรค์ “ข้าอยากจะไปสืบข่าวล่วงหน้า”

สวีเชียนมาที่เหลยโจวเพื่อเจดีย์พุทธะจริงๆ ส่วนจุดประสงค์นั้นไม่มีความบริสุทธิ์แม้แต่น้อย…หลี่หลิงซู่ไม่แปลกใจกับเรื่องนี้แม้แต่นิด

ตอนที่สวีเชียนบอกว่าจะเดินทางไปทางตะวันตก หลี่หลิงซู่ก็เดาถึงรายละเอียดได้แล้ว

“เจ้าเดินทางไปกับข้า ส่วนภรรยาก็ให้อยู่ที่จวนเหวินเหริน” สวี่ชีอันกล่าวเสริม

“…ได้”

เทพบุตรนิกายสวรรค์มองไปยังเหวินเหรินเชี่ยนโหรว ก่อนจะเอ่ยเสียงขรึม “ไม่มีปัญหา นี่เป็นเรื่องที่มิอาจเลี่ยงได้”

การคิดคำนวณในวันนี้ถือว่าเสร็จเรียบร้อยแล้ว

เหวินเหรินเชี่ยนโหรวเป็นผู้มีการศึกษาอย่างจริงแท้ นางไม่โกรธ แต่กลับเอ่ยอย่างมีน้ำใจ

“คุณชายหลี่รอสักครู่”

ผ่านไปพักหนึ่ง นางก็หยิบกล่องไม้ดำออกมาแล้วเปิดฝา ด้านในมีปืนไฟยาวนอนอยู่หนึ่งด้าม

“ภิกษุในวัดซานฮัวชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ ตอนนี้พลังฝึกตนของท่านถูกผนึกไว้ เช่นนั้นก็นำสิ่งนี้ไปด้วยเถิด ข้าจะได้วางใจ ปืนด้ามนี้คืออาวุธเวทมนตร์ที่พ่อของข้าใช้ทองซื้อมาแพงทีเดียว หากใช้กับขั้นที่ต่ำกว่าหลอมวิญญาณ จะต้องตายอย่างแน่นอน”

ส่วนขั้นหลอมวิญญาณ แค่เล็งเป้าหมายได้ก็จะถูกสัญชาตญาณระวังภัยของจอมยุทธ์จับได้ล่วงหน้าแล้ว

วันนั้น ทั้งคู่ก็เปลี่ยนเครื่องแต่งกายและรูปลักษณ์ด้วยวิชาลับของลัทธิโจร จากนั้นก็ขี่ม้าเร็วเดินทางไปตามแผนที่ ก่อนจะไปถึงเมืองชิงหนิงในยามเช้าวันถัดไป

วัดซานฮัวตั้งอยู่ที่ชานเมืองชิงหนิง เป็นสถานที่ที่ชื่อว่าเขาจินกวง

ขนาดของวัดใหญ่มาก ภิกษุที่ฝึกตนอยู่ในวัดก็มีมากถึงสองพันรูป

สำหรับภิกษุของวัดซานฮัวแล้ว แม้จะอยู่ในต้าฟ่ง แต่ก็ไม่ต่างอะไรกับอยู่ที่ดินแดนประจิมทิศ

ที่เหลยโจวมีคนจากดินแดนประจิมทิศไปมาบ่อยอยู่แล้ว อีกทั้งวัดซานฮัวก็อยู่ห่างจากชายแดนของเหลยโจวเพียงเดินเท้าสามวัน

เมื่อมีพ่อใหญ่หนุนหลังเช่นนั้น แล้วจะไปกลัวราชสำนักทำไมกัน

กำจัดพุทธอย่างนั้นหรือ? ส่วนราชการของเหลยโจวกล้ากำจัดพุทธใต้หนังตาของสำนักพุทธด้วยหรือ

ดังนั้นจึงมีวัดที่ใหญ่ยักษ์เช่นนี้อยู่อย่างไรเล่า

เมื่อเข้าใกล้เขาจินกวงแล้วมองไปจากไกลๆ ก็เห็นโถงอันโอ่อ่าวิจิตรงดงามตั้งอยู่ท่ามกลางกิ่งไม้แห้งทั้งหลาย นอกจากนั้นยังมีกลุ่มอาคารที่ทอดยาวเป็นสาย นั่นคือลานที่ภิกษุอาศัยอยู่

ทั้งคู่ผูกม้าไว้กับซุ้มประตูของวัดซานฮัว ก่อนจะปีนขึ้นบันไดไปโดยที่ไม่กลัวว่าจะถูกใครขโมย

เมื่อเข้าใกล้ลานด้านในของวัดซานฮัว พวกเขาก็ได้ยินเสียงด่าทอโต้เถียงด้วยความโกรธดังมาจากข้างหน้า

จากนั้นก็มีเสียงดังปึงปังขึ้นมาพร้อมกับการเคลื่อนไหวแบบที่พลังปราณใกล้จะระเบิด เงาคนหลายคนกลิ้งตกลงมาจากบันไดขั้นข้างบน

คนเหล่านี้สวมชุดจิ้นจวง บ้างก็ถือดาบถือกระบี่ นอกจากอาวุธแล้ว ทั้งตัวของพวกเขาก็ไม่มีของที่มีค่าอย่างอื่นอีกเลย

ชาวยุทธ์ ทั้งยังเป็นชาวยุทธ์ชั้นต่ำเสียด้วย

“พี่ๆ ทั้งหลาย ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันเข้าไปประคอง

ชาวยุทธ์เหล่านั้นรู้สึกขายหน้าจึงโบกไม้โบกมือกล่าว “ไม่เป็นไรๆ”

“พวกท่าน…”

สวี่ชีอันกำลังจะเอ่ยออกมาก็เห็นภิกษุหนุ่มถือไม้กวาดพุ่งลงมาจากบันไดขั้นข้างบน เขาอายุประมาณสิบห้าสิบหก นัยน์ตาลึก จมูกโด่งเป็นสัน มีลักษณะพิเศษของคนจากดินแดนประจิมทิศอย่างเห็นได้ชัด

เขาสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินและรองเท้าภิกษุ หัวโล้นเลี่ยน แม้ว่าจะตัดกิเลสแล้ว แต่ก็คล้ายจะยังตัดโลกมนุษย์ไม่ขาด

เขามองดูชาวยุทธ์ด้วยความดูถูกเหยียดหยามแล้วหัวเราะหยัน

“พวกเจ้าตัวอัปลักษณ์ทั้งหลาย คิดว่าจะเข้าไปเสี่ยงโชคในเจดีย์พุทธะได้หรือ แม้แต่ภิกษุกวาดพื้นอย่างข้าก็ยังทำไม่สำเร็จเลย ช่างไม่รู้จักตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาเสียบ้าง เฮอะ!”

ชาวยุทธ์ใบหน้าแดงดำ “วัดซานฮัวเคยบอกว่าขอเพียงเป็นคนมีวาสนาก็สามารถเขาไปลองดูได้ แต่ก่อนก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ”

ภิกษุหนุ่มยืดอกเชิดหน้าแล้วยิ้มเยาะ

“ปีนี้ไม่เหมือนกันแล้ว ปีนี้เจดีย์พุทธะไม่รับคนมีวาสนาทั้งนั้น รีบไสหัวกลับไปเสีย ไม่อย่างนั้นข้าจะตีจนพวกเจ้าจำมารดาไม่ได้เลยคอยดู พวกชาวภาคกลางที่เป็นคางคกอยากกินเนื้อหงส์อย่างพวกเจ้าน่ะ วัดซานฮัวคือวัดซานฮัวของชาวดินแดนประจิมทิศอย่างพกวเรา วิชาพุทธเป็นเลิศยิ่ง ใช่ที่ที่จอมยุทธ์หยาบช้าจากต้าฟ่งอย่างพวกเจ้าจะมาตระหนักรู้ได้หรือ”

ชายฉกรรจ์ที่แขนขาดคนหนึ่งกล่าวโต้ด้วยความโมโห “เหลยโจวคือแผ่นดินของต้าฟ่ง”

ภิกษุหนุ่มยกไม้กวาดในมือขึ้นแล้วก่นด่า “พุทธกล่าวว่าใช่ก็คือใช่ หากพวกเจ้าไม่ยอมก็ขึ้นมาประมือกันอีกทีสิ คราวนี้ข้าจะตีจนพวกเจ้าคุกเข่าเรียกหาบิดาเลยทีเดียว”

ภิกษุหนุ่มมีพลังฝึกตนไม่สูง แต่ฝีปากกลับเผ็ดคม ด่าคนดีก็รัวมาเป็นชุด

อายุของชาวยุทธ์เหล่านี้สามารถเป็นบิดาของภิกษุหนุ่มน้อยผู้นี้ได้แล้ว แต่เมื่อเจอกับฝีปากของชายหนุ่ม พวกเขากลับจนปัญญา

“น่าหงุดหงิดชะมัด”

ศิษย์สำนักพุทธมีหลายพันหลายหมื่น แต่ผู้มากปัญญามีเพียงส่วนน้อย ส่วนใหญ่ศิษย์สำนักพุทธแดนประจิมทิศมักจะชอบคิดว่าตนเองสูงส่งเช่นนี้ตลอด…สวี่ชีอันหวนนึกถึงสมณทูตแดนประจิมสมัยตอนนี้ตนประลองกับสำนักพุทธครานั้นอย่างอดไม่ได้

พวกสมณทูตนับว่าเป็นศิษย์สำนักพุทธที่มีคุณภาพสูงมากแล้ว แต่ตอนที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องจิ้งซือและจิ้งเฉินมาท้าทายวีรบุรุษในเมืองหลวงบนเวทีประลองก็ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

อีกทั้งทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็ยังได้รับคำสั่งมาจากพระอรหันต์ตู้เอ้อร์อีกด้วย

สำนักพุทธแดนประจิมตั้งแต่บนยันล่างล้วนมีแต่พวกถือตนว่าสูงส่ง เป็นผู้ครองแดนตะวันตกและอ้างว่าตนนั้นคือผู้นำของจิ่วโจวทั้งนั้น

แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ภิกษุที่มีพลังฝึกตนแก่กล้าจะไม่แสดงความหยามหยันเช่นนี้ออกมา แต่ภิกษุหนุ่มน้อยที่ยังฝึกตนไม่ถึงประเภทนี้ที่ออกมากระโดดเย้วๆ แทน

หลี่หลิงซู่ในใบหน้าแสนธรรมดาขมวดคิ้วกล่าว “ภิกษุน้อย ในยุทธภพน่ะ การหยิ่งยโสมากเกินไปอาจทำให้ถูกสังหารได้นะ”

วัยอย่างภิกษุหนุ่มน้อยไม่อาจได้ยินภัยคุกคามที่แฝงอยู่ในคำพูดได้ เขาพิงไม้กวาดแล้วหัวเราะหยัน

“สมองของพุทธอยู่ตรงนี้ไง มาสิ มีความสามารถก็มาลองดูเลย”

“เทพบุตรอย่างข้าอยู่ในยุทธภพมาหลายปี ที่ชอบที่สุดก็คือเด็กใจกล้าอย่างเจ้านี่ล่ะ”

หลี่หลิงซู่หยิบปืนไฟยาวออกมาจากใต้เสื้อคลุมแล้วเล็งไปยังภิกษุหนุ่มน้อย ก่อนเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์

“เอาสิ พูดประโยคเมื่อกี้ออกมาอีกทีสิ”

…………………………………………………….

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท