ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 521 พุทธบุตร (1)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 521 พุทธบุตร (1)

เพียงชั่วพริบตานั้นเอง ทุกสายตาพลันจับจ้องมาบนร่างของตน ทว่าในนั้นมีสายตาสองคู่ที่ทำให้สวี่ชีอันรู้สึกขนลุกซู่กลางแผ่นหลัง

สายตาคู่แรกเป็นของผู้มีฝีมือระดับเพชรขั้นสาม คอยเฝ้าติดตามจากภายในส่วนลึกของวัด อีกสายตามาจากอีเอ๋อร์ปู้ ที่กำลังแผ่กระจายความเย็นยะเยือกอันน่าขนลุกออกมา

ยามนี้เหล่าจอมยุทธ์ต่างเริ่มเว้นระยะห่างอย่างเงียบๆ เพราะหากอยู่ใกล้ไป เกรงว่าตอนที่ผู้มีฝีมือลึกลับคนนี้ถูก ‘ลงโทษ’ โดยปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณขั้นสาม หรือผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชร ตนเองอาจจะซวยโดนลูกหลงไปด้วย

พวกเขาไม่พอใจที่ปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณจากสำนักพ่อมดประณามฆ้องเงินสวี่ แต่ก็ทำได้เพียงส่งเสียงเซ็งแซ่เล็กน้อย และประท้วงเบาๆ เท่านั้น ราวกับว่าการที่ชายชุดสีครามอมดำผู้นี้กระโดดออกมาเยาะเย้ยนั้น ไม่ได้ต่างกับการฆ่าตัวตายเลย

หลิวอวิ๋นแห่งสำนักดาบคู่ลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เช็ดคราบเลือดที่มุมปาก นางดีใจมากเมื่อมีคนมาจนสามารถยืนขึ้นได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะกังวลแทนชายชุดสีครามอมดำหน้าตาธรรมดาผู้นี้

วิธีการของคนผู้นี้ช่างประหลาดพิลึก ซ้ำยังปฏิบัติตัวแข็งกร้าวและรุนแรง กล้าที่จะเผชิญหน้าต่อยอดฝีมือขั้นสาม กลับกันหากเป็นยามปกติ นางย่อมเชิญอีกฝ่ายร่ำสุราร่วมกันด้วยแล้ว แต่ตอนนี้คิดเพียงแค่ว่าอีกฝ่ายควรรีบหนีโดยเร็วเท่านั้น

ขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น หลิวอวิ๋นผู้รอบคอบก็พบว่า สหายข้างกายชายชุดสีครามอมดำ ต่างมีใบหน้าสงบนิ่งแทบไม่ตกใจหรือเกรงกลัวเลย นอกเหนือจากนี้ยังมีบุรุษอีกคนหน้าตาพื้นๆ แต่แววตาเปล่งประกาย ขนาดที่ว่า…ดูจะคาดหวังกับความขัดแย้งที่กำลังจะเกิดขึ้นเล็กน้อยด้วยซ้ำ?

หยวนอี้ผู้มีฝีมือขั้นสี่จ้องมองชายชุดสีครามอมดำ ในเวลาเดียวกัน ก็ให้ความสนใจกับการเคลื่อนไหวของผู้มีฝีมือขั้นสามของทั้งสองคน เมื่อนึกไปถึงสิ่งที่ชายชุดสีครามอมดำผู้นี้จะได้เผชิญ ก็ต้องตัดสินที่ท่าทีอันแท้จริงของผู้มีฝีมือขั้นสามทั้งสองคนแล้ว

หากชายชุดสีครามอมดำประสบพบเหตุไม่คาดฝัน เช่นนั้นพวกเขาก็จะทิ้งสมบัติไว้ในหอคอย แล้วออกจากวัดซานฮัวไป

“อมิตตาพุทธ”

ภิกษุผู้มีนามว่าจิ้งซินกลับเป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มก่อนว่า “พิษบนร่างของศิษย์น้องอิ้นซุ่นยังไม่ได้ถูกชะล้าง ท่านอาจารย์อาตู้หนานได้โปรดเมตตาด้วย”

เทพอารักษ์ตู้หนานไม่ทันได้พูด อีเอ๋อร์ปู้ก็กล่าวเสียงเรียบขึ้นมา “ภิกษุจิ้งซินโปรดวางใจ วิชาวิญญาณโลหิตของพ่อมดสามารถล้างพิษให้เขาได้”

ภิกษุจิ้งซินจึงพนมมือ ไม่เอ่ยคำอื่นอีก

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ก็ราวกับได้ตัดสินโทษประหารชายชุดสีครามอมดำผู้นั้น

“ท่านอาวุโส จะสังหารเขาหรือ”

หลี่หลิงซู่ส่งเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย

เขาตื่นเต้นกับตัวตนของสวีเชียนเป็นอย่างมาก เพราะจนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่เคยได้รู้รากเหง้าของอีกฝ่ายเลย แม้จะบอกว่าชายชราผู้นี้จะเชี่ยวชาญด้านวิชากู่ แต่หลี่หลิงซู่ก็ไม่นึกว่าวิชากู่จะเป็นวิชาถนัดของอีกฝ่าย

ข้ามันก็แค่คนไม่เอาไหน…สวี่ชีอันแขวะในใจเงียบๆ ยามอยู่ต่อหน้าผู้คนก็มักจะชอบคุยโอ้อวด พ่นวาจาเป็นเวลาสักพักหนึ่ง

เขาจะทำอะไรน่ะ?

แต่ละคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ไม่ว่าจะเป็น หลี่หลิงซู่ ผู้คนของเหลยโจวที่อยู่รอบข้าง หรือกระทั่งภิกษุสำนักพุทธที่อยู่มุมไกล ภายในแววตาก็ยังฉายความงุนงง

ทว่าไม่นาน พวกเขาก็เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

“รีบมาดูเข้า นั่นมันคืออะไรกันน่ะ?”

จอมยุทธ์ภิกษุผู้หนึ่งชี้ไปยังท้องฟ้า แล้วร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจ

ทั้งสวี่ชีอัน หลี่หลิงซู่ สำนักดาบคู่ สมาคมการค้าเหลยโจว ผู้บัญชาการหยวนอี้ แม่ทัพเจิ้นฝู่หลี่เส่าอวิ๋น และคนอื่นๆ ต่างพากันหันหลัง เงยหน้ามองไปบนท้องฟ้า

ป้อมปราบศัตรูเหล็กสีดำสนิทที่ทำมาจากเหล็กนิลกำลังลอยอยู่กลางอากาศ

มันยาวสิบสองจั้งและสูงสามจั้ง มีปืนใหญ่เรียงรายกันสิบห้ากระบอก ท่อนโลหะลำใหญ่โตปรากฏออกมาตัวป้อม พร้อมกับหน้าไม้ที่กำลังเล็งอยู่ตรงขอบป้อมปราบศัตรู

ภายนอกของป้อมปราบศัตรูเหล็ก มีวงเวทที่ดูทั้งแน่นหนาและสลับซับซ้อนกำลังส่องแสงอยู่ คาถาที่สลักเป็นค่ายกลใหญ่ถึงสามสิบชั้น อีกทั้งไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงค่ายกลป้องกันเท่านั้น ยังมีค่ายกลลำเลียง ค่ายกลเหาะเวหา ค่ายกลรวมวิญญาณ…

ณ ใจกลางป้อมปราบศัตรู มีชายหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ ซึ่งมือซ้ายกำลังถือม้วนกระดาษ โดยมีเนื้อหาว่า ‘ขอให้ทุกคนเข้าไปยังเจดีย์พุทธะเสีย!’

ส่วนมือขวาถือม้วนกระดาษที่มีเนื้อหาว่า ‘มิฉะนั้นจะทำลายวัดซานฮัวให้ราบเป็นหน้ากลอง!’

“นี่…นี่มันปีศาจอะไรกัน?” เริ่มมีคนบ่นพึมพำ

แม้ตัวจะเป็นจอมยุทธ์แห่งยุทธภพ ผ่านประสบการณ์มามากมาย ทว่าวิสัยทัศน์ต่อโลกก็ยังคับแคบนัก กอปรกับโหรมีจำนวนอยู่น้อยยิ่ง อีกทั้งแต่ละวันเกือบจะหายสาบสูญไปจากยุทธภพ ด้วยเหตุนี้เหล่าจอมยุทธ์ของเหลยโจว จึงแทบไม่เคยเห็นการกระทำอันต่ำทรามของโหรเลย

ป้อมปราบศัตรูเหล็กที่กำลังลอยอยู่กลางอากาศ ในสายตาพวกเขานั้น ช่างเป็นสิ่งน่าเหลือเชื่อ ซึ่งขัดกับภาพในยุคสมัยปัจจุบัน

ตงฟางหว่านหรงตกตะลึงอ้าปากค้าง เดิมทีนางก็สามารถควบคุมอาวุธเวทมนตร์อย่าง ‘เรืออวี่เฟิง’ ได้ โดยอาวุธเวทมนตร์จะมีค่ายกลเหินฟ้าและค่ายกลป้องกันเท่านั้น ซึ่งเป็นอาวุธเวทมนตร์ใช้สำหรับบินกลางอากาศ

เมื่อเป็นเช่นนี้ เรืออวี่เฟิงก็เพียงพอที่จะถูกจัดเป็นหนึ่งในสิบสองของอาวุธเวทมนตร์แห่งสำนักพ่อมด

ทว่าป้อมปราบศัตรูที่กำลังลอยปรากฏอยู่เบื้องหน้าสายตานี้ เห็นได้ชัดว่าเรืออวี่เฟิงไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันกับมันเลย

หากพูดในมุมอื่น วิธีการของโหรคนนี้ออกจะดูโรคจิตไปเสียหน่อย

แต่ว่า หากวิเคราะห์ตามตงฟางหว่านหรง จากการที่อาวุธเวทมนตร์มีความคล้ายคลึงกัน เพื่อจะหลอมขึ้นมา ค่าตอบแทนย่อมสูงแน่ และไม่สามารถสร้างเป็นจำนวนมากได้ มิเช่นนั้น ต้าฟ่งคงรวบรวมเมืองจิ่วโจวได้ไปนานแล้ว

“ซุนเสวียนจี!”

เสียงตะโกนกึกก้องปานฟ้าร้องของผู้ปกปักษ์รักษาศาสนาพุทธระดับเพชร ดังออกมาจากส่วนลึกของวัด

ซุนเสวียนจีเอ่ยอย่างราบเรียบ “อืม!”

ขณะที่ตอบนั้น เขาก็ชูม้วนกระดาษภายในมือ แสดงถึงว่าตนมิได้ล้อเล่น

ด้วยแรงกระสุนของป้อมปราบศัตรู เพียงไม่กี่นัด วัดซานฮัวคงได้พังพินาศสิ้น เดิมทีผู้ปกปักรักษาศาสนาพุทธระดับเพชรไม่กลัวกระสุนเหล่านั้นที่จะยิงออกมา แต่ภิกษุในวัดและอารามโบราณนับหลายร้อยปีแห่งนี้ ก็ย่อมยากที่จะปกป้องไว้ได้

หยวนอี้เลิกคิ้ว แล้วเอ่ยอย่างตื่นเต้นระคนดีใจ “ท่านคือศิษย์รองของท่านโหราจารย์ โหรขั้นสามนามว่าซุนเสวียนจีใช่หรือไม่?”

ด้วยสถานะสูงส่งอย่างผู้บัญชาการแห่งเหลยโจว ย่อมรู้จักชื่อบุคคลอย่างซุนเสวียนจี

ผู้บัญชาการจะเป็นบุคคลที่ทรงอำนาจมากที่สุดในแต่ละเมืองนั้น ทั่วทั้งต้าฟ่ง บุคคลเช่นนี้มีเพียงสิบสามคนเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นขุนนางที่ทรงอิทธิพลยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง

“อืม!” ซุนเสวียนจีพยักหน้าตอบ

ภายใต้เสียงฮือฮาจากเหล่าผู้คน พวกเขาคาดเดาจากชุดสีขาวบนตัวอันเป็นเอกลักษณ์นั่น จึงพอจะรู้ตัวตนของโหรได้อย่างเลือนราง กลับนึกไม่ถึงว่าแท้จริงแล้วจะเป็นศิษย์รองท่านโหราจารย์ หรือก็คือโหรขั้นสามคนหนึ่ง

โหรผู้นี้ช่างเป็นคนถนอมวาจาดุจทองคำ ซ้ำยังเผยรัศมีความเก่งกาจออกมาทุกอณู

ทว่าบุคคลนี้ ดูเหมือนว่าผู้มีฝีมือในชุดสีครามอมดำจะเป็นคนอัญเชิญเรียกมา

ผ่านไปสักพัก สายตาของผู้คนต่างก็มองไปที่สวี่ชีอัน ทั้งคาดเดาและสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างมาก

ตัวตนของคนคนนี้คืออะไรกันแน่?

เขาเพิ่งจะคุยโม้ได้ไม่นาน โหรชุดขาวคนนี้ก็พลันปรากฏตัวออกมา…หลิวอวิ๋นเม้มริมฝีปาก พลางมองร่างชายชุดสีครามอมดำอย่างไม่วางตา

ส่วนฝ่ายหลี่หลิงซู่ก็ดวงตาเบิกโพลง บอกไม่ได้ว่าผิดหวังหรือตกใจกันแน่ หรือเป็นทั้งสองอย่างพร้อมกัน

ตัวเขาสามารถอัญเชิญซุนเสวียนจีได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ก็เป็นการพิสูจน์คำพูดขณะที่เล่นหมากล้อมกับท่านโหราจารย์ในวันนั้น ว่าคือความจริง มิได้โป้ปดอันใด…ส่วนเหตุผลที่อัญเชิญซุนเสวียนจีมา ก็เพราะรู้สึกว่าผู้มีฝีมือระดับเพชรและปรมาจารย์แห่งปราชญ์วิญญาณไม่คู่ควรให้เขาลงมือเองกระมัง…

ทางด้านผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งนิกายสวรรค์ก็ได้แต่ลอบคาดเดาเอาเอง

“ได้!”

หลังจากเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ผู้มีฝีมือระดับเพชรก็เอ่ยขึ้นจากส่วนลึกของวัด

จากสถานการณ์ในตอนนี้ สวี่ชีอันเสมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

เรื่องซุนเสวียนจีพกปืนใหญ่มาข่มขวัญนั้นก็เป็นแผนการรับมือที่ได้หารือกันไว้ก่อนหน้านานแล้ว ส่วนเขาก็รับหน้าที่เป็นกำลังหนุนภายนอก แต่หากสวี่ชีอันพาตัวเองเข้าไปเจดีย์พุทธะ เช่นนี้ก็จะสามารถดึงดูดสายตาผู้คนได้

หลังจากเข้าไปยังเจดีย์พุทธะแล้ว ก็จะง่ายต่อการตกเป็นเป้าหมายของยอดฝีมือแห่งสำนักพ่อมดและสำนักพุทธ เยี่ยงนี้ถึงจะเกิดการกระจายข่าวลือ ซึ่งเป็นกลอุบายเพื่อดึงความสนใจของเหล่าจอมยุทธ์ยุทธภพ

ยามนี้เขาซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนชายฉกรรจ์ ลอบจัดการแต่ละสิ่งอย่างเงียบๆ แม้ว่าเพราะการกระทำของตนเมื่อครู่จะทำให้ตกเป็นเป้าสายตามาก็ตาม แต่เหล่าจอมยุทธ์ก็สามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือได้เป็นอย่างดี จึงไม่ถึงขนาดที่ต้องจัดการเรื่องราวต่างๆ อยู่ตามลำพัง

เมื่อเห็นว่าผู้มีฝีมือระดับเพชรแห่งสำนักพุทธยอมพบกันครึ่งทาง เหล่าจอมยุทธ์แห่งเหล่ยโจวก็เผยสีหน้าดีใจ พลันยืดหลังตรง แล้วบรรยากาศจิตใจห่อเหี่ยวซึมเซาหายไปในอากาศทันที

“ยาแก้พิษ!”

ภิกษุจิ้งซินมองไปทางสวี่ชีอัน

สวี่ชีอันยิ้มบางเอ่ย “ส่งตัวเขามา”

ภิกษุจิ้งซินวางมือบนกลางหลังของจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนเพื่อช่วยพยุง พาตัวเขาไปยังเบื้องหน้าของสวี่ชีอันอย่างเบามือ

จากนั้นสวี่ชีอันก็ยื่นนิ้วออกไป ก่อนจะแตะลงที่ปลายจมูกของจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคน ทันใดนั้นเองไอสีดำแกมน้ำเงินก็หลั่งไหลออกมา ถูกดูดซับเข้าไปโดยนิ้วดังกล่าว

ซึ่งไอพิษก็ถูกดึงออกตามมาด้วย ใบหน้าของจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนที่หมองหม่นก็ค่อยๆ กลับมามีเลือดฝาด ทว่าก็ยังสลบไสลไม่ฟื้น

“อีกหนึ่งชั่วยาม เขาคงจะฟื้นขึ้นมา หลังบำเพ็ญสองสามวัน ร่างกายก็สามารถกลับมาเป็นปกติได้”

จากนั้นสวี่ชีอันก็นำตัวเขาส่งกลับไป

ภิกษุจิ้งซินเอื้อมมือออกไปรับจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคน แล้วพนมมือ จากนั้นเขาก็พาภิกษุของวัดซานฮัว กลับไปภายในวัด

แม่ทัพเจิ้นฝู่หลี่เส่าอวิ๋นที่กำลังถือหอก เอ่ยขึ้นอย่างกระตือรือร้นว่า “ใต้เท้าหยวน ไปเถิด พวกเราเข้าไปกันเถิด”

เขาจึงย่างก้าวแรก เดินนำเข้าไปภายในวัด

จากนั้นฝูงชนต่างก็ติดสอยห้อยตามกันไป

เมื่อผ่านห้องโถงใหญ่แล้ว ทั้งสามฝ่ายก็มาถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือเจดีย์พุทธะอันใหญ่โตที่ตั้งตระหง่านอยู่ในส่วนลึกของวัด

เจดีย์พุทธะนั้นมีรูปลักษณ์คือกำแพงขาวล้วนและกระเบื้องสีดำ หากมองเพียงปราดเดียว ก็ดูไม่เหมือนของวิเศษอันใด กลับเหมือนเจดีย์ปกติทั่วไป

สิ่งเดียวที่ดูแปลกประหลาดในสถานที่นี้คือ ความสูงที่เทียบเท่าร้อยหมี่ และตัวเจดีย์กลับมีเพียงหน้าต่างสามบานเท่านั้น อันเป็นเอกลักษณ์ของหอสามชั้น

นอกจากนี้ ประตูยังเป็นสีทองหม่น ดูราวกับหลอมด้วยทองคำ ไม่มีห่วงเคาะประตู ไม่มีรูกุญแจ ทว่าถูกปิดอย่างแน่นหนา

ทั้งสามกลุ่มรวมตัวกันที่บริเวณหน้าเจดีย์พุทธะ เผชิญหน้ากันท่ามกลางความเงียบงัน เหล่าชายฉกรรจ์ที่เป็นคนเหลยโจว ก็เงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่บ่อยครั้ง ในใจพลางนับเวลารอที่เจดีย์พุทธะจะถูกเปิดออกอย่างสงบ

ใกล้เข้ามาแล้ว ใกล้ถึงเวลาแล้ว…

ครืนนน!

ตัวเจดีย์พลันสั่นสะเทือน ชวนให้เกิดความไม่สบายใจขึ้นมา ทันใดนั้นเองประตูสีทองหม่นของเจดีย์ก็ค่อยๆ เปิดกว้าง

ทุกคนจึงมองเข้าไปด้านในอย่างไม่รู้ตัว ทว่ากลับเห็นแต่ความมืดมิด

“อมิตตาพุทธ!”

ภิกษุจิ้งซินพนมมือ แล้วโน้มตัวคารวะแก่เจดีย์พุทธะ ก่อนจะเดินนำเข้าไปยังภายในตัวเจดีย์ จีวรสีแดงเหลืองปลิวไสวไปตามการเคลื่อนไหวของเขา

“อมิตตาพุทธ!”

ภายในเสียงสวดที่ท่องพระนามแห่งพุทธนั้น จอมยุทธ์ภิกษุหนุ่มรูปร่างกำยำนามว่าจิ้งหยวน รวมถึงอีกสองคนที่อยู่ด้านหลังก็ท่องตามด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักแน่น และยังมีจอมยุทธ์ภิกษุเก้าองค์และฉานซือเก้าองค์คอยติดตาม

นอกจากฉานซือสององค์และจอมยุทธ์ภิกษุหนึ่งองค์นั่นแล้ว ระดับการบำเพ็ญของอีกสิบแปดองค์ที่เหลือก็มีสูงต่ำปะปนกันไป…สวี่ชีอันกวาดสายตามองปราดหนึ่ง ก็รู้ว่าภิกษุทั้งยี่สิบเอ็ดองค์ที่เข้าไปยังเจดีย์นี้ เป็นคู่ต่อสู้ที่ตนเองต้องรับมือด้วยในภายหลัง

“คนชั้นต่ำอย่างเจ้า อย่าเข้ามาเลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นกูไหน่ไนขอรับรองว่า วันนี้จะกลายเป็นวันเซ่นไหว้งานศพของเจ้า”

ตงฟางหว่านหรงหันหน้าอันงดงามมา พร้อมกับมองเหวินเหรินเชี่ยนโหรวด้วยรอยยิ้มหวาน

หลังจากนั้นสองสาวพี่น้องตงฟางก็เดินนำลูกศิษย์ของตำหนักมังกรตงไห่เข้าไปยังข้างในเจดีย์

หลี่หลิงซู่ได้ยินเช่นนั้น หน้าตาก็พลันบิดเบี้ยวและปวดหัวขึ้นมา

“อยากให้ข้าช่วยฆ่าสองพี่น้องคู่นี้หรือเปล่า?” สวี่ชีอันหยอกล้อผ่านการส่งกระแสจิต “แล้วพาเจ้าไปซ่อนตัวที่ทิเบต”

หลี่หลิงซู่รีบส่ายหน้า แล้วตอบด้วยกระแสจิตว่า “อย่าเลยท่านอาวุโส ท่านฆ่าข้าเสียยังจะดีกว่า”

ข้าก็แค่พูดไปเรื่อยเท่านั้นเอง ยอดฝีมือขั้นสี่ทั้งสองคนนั้น ข้าฆ่าไม่ได้หรอกนะ…จากนั้นสวี่ชีอันก็มองหยวนอี้และหลี่เส่าอวิ๋นที่พาผู้ติดตามเข้าไปในเจดีย์ ตอนนี้ไม่อาจลังเลได้อีกแล้ว เพราะเป็นโอกาสที่จะอำพรางตัวไปในหมู่จอมยุทธ์ของยุทธภพเพื่อเข้าไปในเจดีย์

“พวกเราเองก็เข้าไปกันเถิด พวกเราเองก็เข้าไปกันเถิด!”

จิ้งจอกขาวตัวน้อยพยายามดิ้นออกจากอ้อมอกของมู่หนานจือ ทว่าก็ไม่สำเร็จ จึงทำได้เพียงพูดสะกดจิตเท่านั้น “ตามเข้าไปเล่นกับเขาเสียสิ”

“สถานที่อย่างสำนักพุทธเนี่ยนะ เจ้ากล้าเข้าไปหรือ?”

มู่หนานจือเหลือบมองจิ้งจอกน้อยผู้มีความอยากรู้อยากเห็นสูง ประหนึ่งเป็นลูกวัวเพิ่งเกิดไม่กลัวเสือ

จิ้งจอกน้อยครุ่นคิดสักพัก ก็นึกสิ่งที่พวกเผ่าพันธุ์เดียวกับตนเคยพูดเกี่ยวกับเรื่องน่ากลัวของสำนักพุทธได้ จึงเอ่ยอย่างอ่อนแรงว่า “กะ…ก็ไม่ใช่ว่าอยากเข้าไปมากถึงเพียงนั้น”

นางหนุนหัวลงบนหน้าอกอันนุ่มนิ่มที่กระทบแสงแดดของช่วงต้นฤดูหนาว แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ไพเราะ “น้าสาว ท่านและ…และเขามีความสัมพันธ์อย่างไรกันหรือ?”

“ไม่ได้เป็นอะไรกัน”

“อ๋อ!”

จิ้งจอกขาวตัวน้อยจึงวางใจทันใด และคิดว่าสิ่งที่มู่หนานจือพูดคือความจริง เพราะเหมือนว่าหญิงสาวหน้าตาธรรมดาผู้นี้มิได้เหมาะสมกับฆ้องเงินสวี่เลยแม้แต่น้อย

มีเพียงจิ้งจอกผู้งดงามและแสนปราดเปรื่องเท่านั้น ถึงจะเหมาะสมกับฆ้องเงินสวี่

“มิใช่ว่าเขาไปสำนักสังคีตอยู่บ่อยๆ หรือ” จิ้งจอกขาวตัวน้อยถามอีกครั้ง

“เจ้ารู้จักกระทั่งสำนักสังคีตรึ?” มู่หนานจือตกตะลึง

“แม้ว่าข้าจะไม่เคยอยู่เมืองของมนุษย์ แต่ข้าก็รอบรู้และมากประสบการณ์นะ อย่างเช่น มนุษย์สตรีเพศมักจะเรียกหญิงอื่นที่งามกว่าตนว่าปีศาจจิ้งจอก ปีศาจจิ้งจอกในโลกมนุษย์ จึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามและความปราดเปรื่อง”

จิ้งจอกขาวตัวน้อยอวดความรู้ของตนที่เหมือนว่าจะมีอยู่เพียงเท่านี้

“ใครบอกเจ้า?” มู่หนานจือยิ้มเอ่ย

“คนในเผ่าของข้าไง”

ช่างสมกับเป็นเผ่าจิ้งจอกเสียจริง…มู่หนานจือแขวะในใจ แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มหวานว่า “ในสายตาของมนุษย์เพศหญิง บางทีปีศาจจิ้งจอกอาจจะงดงามที่สุดก็เป็นได้ แต่ในสายตามนุษย์เพศชาย สตรีผู้งามล้ำเป็นอันดับหนึ่งมีเพียงคนเดียว”

“ผู้ใดรึ!” จิ้งจอกขาวตัวน้อยถาม

“หญิงงามอันดับหนึ่งแห่งต้าฟ่ง พระมเหสีในอ๋องสยบแดนเหนือ” มู่หนานจือทำสีหน้าจริงจังยามกล่าว

เดิมทีนางอยากจะพูดว่า ‘มู่หนานจือ’ ด้วยซ้ำ แต่เมื่อใคร่ครวญถึงข่าวลือที่ไม่จำเป็นอาจแพร่สะพัดออกไปเอาได้ ก็เปลี่ยนเป็นชื่อเรียกที่โด่งดังนั่นแทน

จิ้งจอกขาวตัวน้อยเผยอย่างอารมณ์อย่างมนุษย์ ซึ่งก็คือการชื่นชมนับถือ

ขณะนั้นเอง มู่หนานจือก็เห็นผู้ดูแลเฒ่าแห่งวัดซานฮัว นำลูกทรงกลมขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากจีวรลูกหนึ่ง ภายในลูกทรงกลมนั่นมีแสงเงากำลังสั่นไหว ซึ่งสะท้อนเงาร่างของภิกษุจิ้งซินและคนอื่นๆ รวมถึงสะท้อนอุโบสถทองอร่ามแวววาว

“ดีมาก!” เสียงหัวเราะเบาๆ ของอีเอ๋อร์ปู้ดังขึ้น

ยามนี้เจดีย์พุทธะถูกตัดขาดจากการสอดส่องของโลกภายนอกแล้ว สิ่งนี้คือหยาดน้ำตาอสูรคันฉ่อง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษา ‘มิตรภาพ’ ของทั้งสองฝ่าย

………………………………………………..

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท