ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 521-2 พุทธบุตร (2)

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 521 พุทธบุตร (2)

หลังก้าวเข้าไปยังเจดีย์พุทธะ สวี่ชีอันก็มองสำรวจโดยรอบ จึงพบว่าเป็นห้องโถงที่กว้างใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ และห้องโถงอันกว้างขวางแห่งนี้ไร้โดมเพดาน ยามเงยหน้ามอง ก็มีเพียงเมฆหมอยกำลังล่องลอยอยู่เท่านั้น

จุดสิ้นสุดของห้องโถงใหญ่นั้นคือพระพุทธรูปทองคำสูงกว่าสิบจั้งองค์หนึ่ง ซึ่งใหญ่ประหนึ่งภูเขาขนาดย่อม

พระพุทธรูปนี้มีรูปลักษณ์งามเปี่ยมเมตตาทว่ากลับแฝงความน่าเกรงขาม ทั้งหูยาวเนื้อมาก เม็ดพระศกบนเศียรขมวดเป็นก้อนกลมเล็กๆ อยู่ทั่ว และถูกตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถง

แม้ว่าจะเป็นผู้ที่ไม่นับถือพุทธ แต่หากได้เข้ามายังวัดอาราม ก็สามารถรู้ว่าเขาคือใคร

พระพุทธเจ้าไงเล่า!

ด้านซ้ายของพระพุทธเจ้ามีรูปปั้นทองคำสิบสามองค์ ส่วนด้านขวามีสิบสี่องค์

พวกเขามีทั้งชายและหญิง อีกทั้งรูปแบบวงแหวนที่อยู่ด้านหลังศีรษะก็ไม่เหมือนกัน บ้างก็เป็นรูปเปลวไฟ บ้างก็เป็นเส้นโครงร่างขยุกขยิก ราวกับแผ่นทองแดงที่ถูกวาดรูปเป็นพระอาทิตย์อย่างง่ายๆ และมันยังมีอีกหลากหลายรูปแบบ

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ รูปปั้นทองคำเก้าทั้งองค์ในนั้นมีสีหน้าที่ดูคลุมเครือ

สวี่ชีอันมองรอบกายอย่างใจเย็น ด้วยความกว้างขวางของห้องโถงใหญ่แห่งนี้ ดูเกินกว่าที่เจดีย์พุทธะรองรับได้ อย่างน้อยๆ หากมองจากภายนอก ภายในเจดีย์พุทธะก็ไม่น่าจะรับรองห้องโถงอันใหญ่โตนี้ได้ด้วยซ้ำ

ดินแดนแห่งพุทธ…เบื้องฉากนี้ราวกับเคยเห็นมาก่อน จึงทำให้เขานึกถึงวันทำพิธีต้าวฮวดของสำนักพุทธ บาตรทองคำใบนั้นของพระอรหันต์ตู้เอ้อร์

ซึ่งภายในบาตรทองคำนั้นได้ซ่อนเร้นดินแดนแห่งพุทธไว้

“สำนักพุทธเชี่ยวชาญในการแสดงอภินิหารเช่นนี้อยู่แล้ว ระหว่างทางที่กลับจากอวิ๋นโจวไปเมืองหลวง ข้าก็จำได้ว่าเคยฝันถึงยุทธการด่านซานไห่เมื่อสิบสองปีก่อน ซึ่งมีภาพฉากหนึ่ง ที่กองกำลังนับหมื่นนับพันกำลังโดดออกมาจากภายในฝ่ามือของพระผู้มีสมณศักดิ์สูงองค์หนึ่งแห่งสำนักพุทธนั่น

“บางทีตอนนั้น ภายในฝ่ามือของพระผู้มีสมณศักดิ์สูงอาจมีอาวุธเวทมนตร์อย่างบาตรทองคำอยู่ก็เป็นได้ และกองกำลังคงโดนดูดเข้าไปในดินแดนแห่งพุทธ…คนท้องถิ่นเหล่านี้ถึงได้ดูสงบใจสินะ”

พวกจอมยุทธ์แห่งเหลยโจว คงได้เห็นเหตุการณ์นี้มากับตา จึงดูไม่ตื่นตระหนก แต่กลับมีท่าทีที่ใจเย็น

“จริงสิ เคยได้ยินเหวินเหรินเชี่ยนโหรวพูดไว้ว่า ทุกๆ ปีเจดีย์พุทธะจะเปิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้ง หากผ่านการทดสอบของเจดีย์พุทธะ ก็จะสามารถเข้าสักการะวัดซานฮัว และกลายเป็นศิษย์ของสำนักพุทธได้ ส่วนผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบ หลังจากออกมาก็ย่อมเผยแพร่สิ่งที่ได้เห็นในเจดีย์”

สวี่ชีอันก็เข้าใจได้โดยพลัน

“อมิตตาพุทธ!” ภิกษุจิ้งซินนำเหล่าคณะสงฆ์แห่งสำนักพุทธพนมมือร่วมกันนมัสการ

เขาหันร่างกลับ ชำเลืองไปทางตำหนักมังกรตงไห่ แล้วเอ่ยกับชาวยุทธ์เหลยโจวกลุ่มหนึ่งว่า “ในบรรดารูปปั้นทองคำทั้งหมดนี้ องค์ที่ตั้งอยู่ตรงกลางคือพระพุทธเจ้าผู้เปี่ยมไปด้วยความเมตตาปรานี เป็นพระพุทธเจ้าหนึ่งเดียวแห่งโลกทั้งปวง ส่วนรูปปั้นทองคำด้านซ้ายสี่องค์และด้านขวาห้าองค์นั้น คือพระโพธิสัตว์ทั้งเก้าของศาสนาพุทธ ที่เหลือก็คือพระอรหันต์สิบแปดองค์”

ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ผู้มีฝีมือระดับเพชรไม่มีคุณสมบัติได้หล่อเป็นรูปปั้นทองคำบ้างหรือ?

สวี่ชีอันเอ่ยเสียงดัง “ท่านขอรับ เหตุใดพระโพธิสัตว์ทั้งเก้าถึงได้มีสีหน้าคลุมเครือหรือ”

ภิกษุจิ้งซินตอบคำถามดังกล่าว “พระโพธิสัตว์ทั้งเก้านี้ แฝงความหมายถึงร่างธรรมทั้งเก้า มิได้หมายถึงพระโพธิสัตว์เพียงอย่างเดียว”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนส่วนมากก็ต่างเกิดความงุนงงขึ้นมา ทว่าสวี่ชีอันกลับเข้าใจได้ในทันที

ภิกษุจิ้งซินตกตะลึงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วมองพินิจสวี่ชีอัน เอ่ยถามจากที่ไกล “โยมรู้จักร่างธรรมทั้งเก้าหรือ?”

สวี่ชีอันพยักหน้าตอบ “พระโพธิสัตว์วัชรปาณี พระโพธิสัตว์มัญชุศรี ร่างธรรมสังสารวัฏ ร่างธรรมมหากรุณา ร่างธรรมแห่งปัญญา ร่างธรรมเชี่ยวชาญโอสถ ร่างธรรมธุดงค์ ร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี และพระมหาไวโรจนะ”

เหล่าภิกษุของวัดซานฮัวต่างเอนเอียงเข้ากระซิบกระซาบกัน จนเกิดความวุ่นวายขึ้น

จิ้งซินจ้องมองสวี่ชีอัน

“เอ๊ะ เขาพูดถูกใช่หรือเปล่า? พระของวัดซานฮัวจึงไม่โต้แย้งเลย”

“เคยได้ยินมานานแล้วว่าศาสนาพุทธมีร่างธรรมทั้งเก้า ที่แท้ก็คือสิ่งทั้งเก้านี้นี่เอง คนคนนี้คือใครกัน สามารถเข้าใจศาสนาพุทธถึงเพียงนี้เชียว”

“ร่างธรรมทั้งเก้ามีความวิเศษอย่างไรอีกหรือ?” มีคนเอ่ยถามเสียงดัง รอให้สวี่ชีอันตอบ

ขณะนั้นเอง เจ้าสำนักดาบคู่ถังหยวนอู่ หลิวอวิ๋น ผู้บัญชาการหยวนอี้ และยอดฝีมือคนอื่นๆ ต่างก็มองตามกันไป

ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ข้าไม่เคยต่อสู้กับเหล่าพระโพธิสัตว์เสียหน่อย…สวี่ชีอันเผยรอยยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด “ร่างธรรมธุดงค์ จะโดดเด่นด้านความว่องไวมากที่สุดในโลก เหมาะกับการท่องเขามู่จิ้งแห่งดินแดนทิศตะวันตก ส่วนร่างธรรมแก้วอัญมณีไร้สี สามารถทำให้จิตใจของคนเป็นดั่งกระจกเงา ขาดความไตร่ตรอง และทำให้ความคิดเชื่องช้าลง”

เมื่อพูดมาถึงจุดนี้ เขาก็ยิ้มเยาะ ราวกับว่าเกียจคร้านจะอธิบายต่อ แล้วกล่าวว่า “ส่วนร่างธรรมที่เหลือ เพียงเห็นแค่ชื่อก็พอเข้าใจได้แล้ว”

คือเรื่องจริงหรือโป้ปดกันนะ…ผู้คนที่ได้ฟังเช่นนั้นแล้ว ก็หันไปมองทางด้านภิกษุจิ้งซินตามจิตใต้สำนึก แต่กลับเห็นว่าจิ้งซิน จิ้งหยวน รวมถึงผู้นำอย่างเหิงอินกำลังเผยสีหน้าทึ่มทื่ออยู่เล็กน้อย

เป็นเรื่องจริงสินะ! ผู้คนต่างพลันคิดเช่นนี้อยู่ในใจ

“จิ๊…”

หลี่เส่าอวิ๋นที่กำลังถือหอกอยู่นั้น ก็หันไปชำเลืองมองสวี่ชีอัน พร้อมกับยิ้มยิงฟันเอ่ยว่า “เฮ้ เจ้าหนุ่มนี่เป็นใครกัน ถึงได้รู้มากเพียงนี้”

หยวนอี้กล่าวเตือน “อาจจะเป็นผู้อาวุโสก็เป็นได้”

อีกทางด้านหนึ่งนั้น ตงฟางหว่านหรงกระซิบถามน้องสาว “ใช่เขารึเปล่า?”

ตงฟางหว่านชิงส่ายหน้า “ยังระบุไม่ได้ ดูท่าคนคนนี้ไม่ธรรมดาทีเดียว มีความแตกต่างกับชายชุดสีครามอมดำผู้นั้นเล็กน้อย”

จากการที่ได้เห็นจอมยุทธ์ภิกษุวัยกลางคนโดนพิษมาเมื่อครู่นี้ สองพี่น้องตงฟางก็สงสัยว่าชายชุดสีครามอมดำคนนี้ คือชายชุดสีครามอมดำที่เจอในผิงโจวครานั้นหรือเปล่า

เพราะพวกเขาทั้งสองมีสิ่งที่เหมือนกันคือเชี่ยวชาญด้านการใช้พิษ

ทว่าใบหน้ากลับไม่ใกล้เคียง อีกทั้งยังไม่พบร่องรอยของวิชาเปลี่ยนใบหน้า นอกจากนี้ หญิงสาวรูปโฉมธรรมดาคนนั้นที่อยู่ข้างกายเขาก็ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนด้วย

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่เคยเห็นชายชุดครามอมดำผู้นี้เผยเคล็ดวิชาอั้นกู่เลย ดังนั้นจึงไม่กล้ายืนยัน

ตงฟางหว่านชิงเอ่ยต่อว่า “ระยะทางระหว่างผิงโจวและเหลยโจวนั้นมีความห่างไกล หากพูดตามเหตุผลแล้ว พวกเขาไม่น่ามาถึงเหลยโจวเร็วขนาดนี้หรอก”

คิ้วงามของผู้เป็นพี่สาวพลันขมวดมุ่น “เมื่อครู่เจ้าก็เห็นแล้ว คนคนนี้รู้จักกับโหรแห่งสำนักโหราจารย์ หากเขาคือคนที่ เรียกอัญเชิญมา เช่นนี้ก็ดูไม่สมเหตุสมผลหรือ”

ตงฟางหว่านชิงเอ่ยเสียงเรียบ “อันดับแรกเจ้าต้องพิสูจน์ให้ได้ก่อนว่าชายชุดสีครามอมดำจากคราวผิงโจวผู้นั้น รู้จักกับโหรแห่งสำนักโหราจารย์”

นางชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “มัวแต่คาดเดาส่งเดชไปก็ไม่มีความหมายอะไร รอหาโอกาสลองเชิงเขา แล้วบีบบังคับให้เขาใช้เคล็ดวิชาอั้นกู่จะดีกว่า”

สวี่ชีอันไม่รู้ถึงแผนการของสองสาวพี่น้องตงฟาง ยามนี้สายตาของเขากำลังจับจ้องยังรูปปั้นทองคำยี่สิบเจ็ดองค์ที่ล้อมรอบพระพุทธรูป พยายามแยกแยะว่ารูปปั้นทองคำแต่ละองค์นั้นเป็นตัวแทนของเสินซูบ้าง

เขาแยกรูปปั้นทองคำของพระอรหันต์สิบแปดองค์ออกเป็นอันดับแรก เพราะเหล่าพระอรหันต์มีสีหน้าชัดเจน สวี่ชีอันเคยเห็นลักษณะของเสินซูมาก่อนแล้ว เขาจึงสามารถแยกแยะได้อย่างมั่นใจว่าไม่ใช่สิ่งดังกล่าว

หากเสินซูรวมอยู่ในสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นก็อาจเป็นหนึ่งในเก้าพระโพธิสัตว์ ไม่…ไม่ใช่สิ ตัวแทนของรูปปั้นทองคำก็คือร่างธรรมทั้งเก้า หาใช่เป็นคนคนเดียวเสียทีไหน…อืม อย่างน้อยก็สามารถมั่นใจว่าเสินซูไม่ใช่พระอรหันต์

ภิกษุจิ้งซินมิได้กล่าวอันใดอีก จากนั้นจึงพาเหล่าคณะสงฆ์ เดินไปทางพระพุทธรูปและรูปปั้นทองคำ

รูปปั้นทองคำพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ตั้งเรียงรายเป็นสองฝั่ง ราวกับกำลังเข้าแถวต้อนรับ

ขณะที่พวกเขาเดินผ่านรูปปั้นทองคำพระอรหันต์องค์แรกนั้น จังหวะฝีเท้าที่ก้าวไปข้างหน้ากลับช้าลงฉับพลัน จากนั้นทุกย่างก้าวที่ย่างกราย ก็ช้าลงกว่าเดิมอีกสามวินาที

สวี่ชีอันที่เห็นเหตุการณ์นี้ ก็ไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น ณ ตรงนั้น

หลิวอวิ๋นผู้ฮึกเหิมองอาจก็เดินเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ แล้วกระซิบว่า “ท่านคงรู้ดีว่า เจดีย์พุทธะแห่งนี้ปีหนึ่งจะเปิดเพียงครั้งเดียว หากว่าใครอยากจะเข้ามาสักการะวัดซานฮัว ล้วนแต่ต้องเข้าการทดสอบของเจดีย์พุทธะทั้งนั้น”

สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างสงบนิ่ง

“ถ้าการอธิบายตามแบบของวัดซานฮัวแล้ว จะเรียกสิ่งนี้ว่าการทดสอบแห่งพุทธ ซึ่งผู้มีพุทธภาวะสถิต จะสามารถเข้าสำนักพุทธได้ ส่วนผู้ไร้พุทธภาวะสถิต ก็ถือว่าไร้วาสนาต่อศาสนาพุทธ” หลิวอวิ๋นเลื่อนสายตาไปยังจิ้งซินและคนอื่นๆ ก่อนจะกล่าว “หากเดินตามเส้นทางเบื้องหน้านี้ไป จากภายใต้ ‘การเฝ้ามอง’ ของพระอรหันต์และพระโพธิสัตว์ ก่อนย่างกรายร้อยก้าวข้างหน้า คือผู้มีวาสนาต่อศาสนาพุทธ แต่ในร้อยก้าวนั้น จะกลายเป็นผู้ไร้พุทธภาวะสถิต อีกอย่างข้าได้ยินมาจากคนที่เคยเข้าเจดีย์พุทธะพูดไว้ว่า บนเส้นทางนี้ เดินเหินลำบากยิ่ง”

สวี่ชีอันเอ่ยอย่างลังเล “หากเป็นจอมยุทธ์ภิกษุเล่า?”

จอมยุทธ์ภิกษุและฉานซือต่างเดินคนละเส้นทาง ลักษณะธรรมนี้ กำหนดการแบ่งแยกกันอย่างไรกันนะ?

หลิวอวิ๋นมุ่ยปาก และเอ่ย “พวกจอมยุทธ์ที่สามารถก้าวสู่ขั้นหกได้นั้น ตามพื้นฐานแล้วจะมี ‘พุทธภาวะ’ ทั้งสิ้น หากกล่าวถึงพุทธภาวะ ผู้ที่สามารถก้าวสู้ขั้นหกได้นั้น ล้วนเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เหตุใดคนเช่นนี้ถึงไม่ต้องการเล่า? ไม่มีสิ่งขวางกั้นบนเส้นทางเสียหน่อย แน่นอนเพราะว่าผู้ปฏิบัติธรรม ย่อมมีพุทธภาวะเช่นเดียวกัน

“ดูสิ พระของวัดซานฮัวเดินได้ไวกว่าคนอื่นๆ เสียอีก”

สวี่ชีอันมองตามสายตาของนางไป ในเวลานั้นเอง แต่ละฝ่ายต่างก็ได้ก้าวเข้าสู่บน ‘เส้นทางแห่งการทดสอบ’ แล้ว โดยมีทั้งหมดสามระดับ

ภิกษุของวัดซานฮัวนั้นรวดเร็วปานขี่ม้าจนฝุ่นตลบ แต่ละย่างก้าวดูมั่งคงเปี่ยมกำลัง

ถัดมาคือเหล่าผู้ฝีมือขั้นสี่ได้แก่ สองสาวพี่น้องตงฟาง หลี่เส่าอวิ๋น หยวนอี้ และถังหยวนอู่

“ท่านไม่ไปหรือ?” หลิวอวิ๋นถาม

“ข้าว่าจะดูอีกสักหน่อย” สวี่ชีอันมองไปยังที่ไกล

“งั้นหญิงสาวผู้นี้ขอล่วงหน้าไปก่อนก้าวหนึ่งก็แล้วกัน” หลังหลิวอวิ๋นพูดจบ ก็รีบตามฝูงชนกลุ่มใหญ่ไป นางพยายามเร่งฝีเท้า แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าพระอรหันต์ จังหวะก้าวเดินก็เชื่องช้าลงกะทันหัน

ทุกๆ ฝีก้าวล้วนห่างกันสิบวินาที ทำให้คนรู้สึกกระทั่งว่าจะยกขาย่างก้าวก็ยังยากเย็น

ในแต่ละช่วงเวลาหนึ่ง ผู้นำวัดซานฮัวอย่างไต้ซือเหิงหย่วนเริ่มห่างฝูงชนมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหันกลับมาชำเลืองมองฝูงชน ก็พนมมือพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “ทุกๆ ท่าน ครั้นเดินถึงพระพุทธรูป ให้พนมมือกราบไหว้สามครา ก็จะสามารถเข้าสู่ระดับสองได้ อาตมาจะรอทุกท่านด้วยความเคารพ ณ ที่แห่งนั้น”

ประหนึ่งว่าเขากำลังเยาะเย้ยทุกๆ คนอยู่

พนมมือกราบไหว้สามครา ก็สามารถเข้าสู่ระดับสองได้…สวี่ชีอันเข้าใจได้ในทันใด จึงไม่ลังเลอีก แล้วก้าวเข้าสู่บททดสอบที่อยู่เบื้องหน้า

ทันทีที่ผ่านรูปปั้นทองคำพระอรหันต์องค์แรกนั้น เขาก็เยื้องย่างได้ช้าลง ซึ่งเป็นการเข้าสู่การทดสอบก้าวแรก

อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีความรู้สึกอึดอัดเลยแม้แต่น้อย

เมื่อถึงก้าวที่สอง

ไม่รู้สึกถึงแรงกดดัน ‘การเฝ้ามอง’ ของพระอรหันต์เลย ทั้งเดินเหินได้ตามปกติเหมือนในวันธรรมดาทั่วไป

เป็นเพราะ (คุณสมบัติ) พุทธภาวะของข้าดีเกินไปหรือ? ไม่ใช่สิ ถึงคุณสมบัติจะดี แต่ก็ไม่น่าไร้ความรู้สึกอัดแน่นขนาดนี้ ผู้เป็นซือไต้ขั้นสี่อย่างจิ้งซิน ยังไม่สามารถเดินได้อย่างอิสระเลย…เรื่องออกมาดูผิดปกติเช่นนี้ สวี่ชีอันจึงไม่กล้าเดินต่อ

คุณสมบัติมิใช่ปัญหา เป็นตัวข้าที่แปลกโดดเด่นกว่าผู้อื่นต่างหาก แต่ข้ากับสำนักพุทธไม่ได้มีความผูกพันอันใดต่อกัน…เขาพลันตระหนักรู้ได้ในทันที เขากับสำนักพุทธมีเหตุและผลอันยิ่งใหญ่สัมพันธ์กัน

เหตุและผลนี้มาจากแนวคิดของพุทธมหายาน

เขานึกขึ้นทันทีว่าพระอรหันต์ตู้เอ้อร์เรียกเขาว่าพุทธบุตร พระโพธิสัตว์ไวฑูรย์เองก็จับกลับมายังสำนักพุทธเพื่อเป็นพุทธบุตรแห่งความว่างเปล่า

ในตอนนั้น สวี่ชีอันคิดว่าพวกเขาชื่นชม ‘ความสามารถ’ ของตน พอมามองดูตอนนี้ ความจริงไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น บางทีเขาอาจจะกลายเป็นพุทธบุตรจริงๆ ก็ได้ ยามที่เขาสาธยายแนวคิดพุทธมหายานเสร็จสิ้น เขาก็จะเกิดความสัมพันธ์ระหว่างเหตุและผลขนานใหญ่ต่อศาสนาพุทธ

นี่คือเหตุผลที่พระโพธิสัตว์ไวฑูรย์จับเขาหลีกหนีจากโลกโลกีย์กลับสู่ประตูแห่งธรรมสินะ

…………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท