ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 564 ตามหาคน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 564 ตามหาคน

สวี่ชีอันทำหน้ามึนงง ไม่รู้ว่าจู่ๆ นางโมโหด้วยเรื่องอะไร

ทันใดนั้นเขาก็เหมือนคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงแก้ตัวไปด้วย พลางแอบสังเกตการณ์เงียบๆ

“เมื่อคืนข้าโหมงานหนักทั้งคืนจนเหนื่อยล้าไปหมดทั้งตัว ก็เลยกลับมาอาบน้ำให้หายเหนื่อย ท่านราชครูกินข้าวหรือยัง” สวี่ชีอันกล่าวยิ้มๆ

เมื่อได้ยินคำว่า ‘โหมงานหนักทั้งคืน’ ลั่วอวี้เหิงก็โกรธจัดจนพวงแก้มสองข้างแดงก่ำ

“กำลังจะตามเจ้าไปกินด้วยกันพอดี”

ทั้งสองกลับมายังห้องนอนที่อบอุ่นราวกับวสันต์ฤดูทันที สาวใช้ของสวนชิงซิ่งยกสำรับอาหารเช้า เช่น โจ๊ก ซาลาเปาเนื้อ ขนมหวาน ปาท่องโก๋ ผักดอง เป็นต้น มาตั้งบนโต๊ะตัวยาวในห้อง

ลั่วอวี้เหิงไม่แตะอาหารอย่างอื่นนอกจากโจ๊กถ้วยเดียว นิ้วเรียวดั่งกล้วยไม้ถือช้อนแน่น ค่อยๆ ตักโจ๊กขึ้นซดทีละน้อย

นี่คงจะเป็น ‘โทสะ’ หนึ่งในเจ็ดอารมณ์ แค่เห็นชื่อก็ทราบถึงความหมายทันที โมโหจนแทบระเบิด อีกเดี๋ยวข้าคงต้องระวังตัวแล้วล่ะ

สวี่ชีอันครุ่นคิดพลางสังเกตท่าทางของนางไปด้วย

ราชครูก็ยังเป็นราชครูอยู่ดี เย็นชา สง่างาม หว่างคิ้วแต้มชาดแดง ราวกับเทพธิดาที่ไม่กินอาหารของมนุษย์เดินดิน

ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนราวกับความฝัน

ทว่าสวี่ชีอันได้รับรู้แล้วว่าร่างกายของราชครูเร่าร้อน เคลิบเคลิ้มเพียงใด ผิวของนางละเอียดบอบบาง น่าสัมผัสเพียงใด

ข้าได้หลับนอนกับหญิงสาวผู้งดงามที่แม้แต่จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่อาจร้องขอได้…เมื่อหวนนึกถึงเมื่อคืนในตอนนี้ สวี่ชีอันก็รู้สึกราวกับเคลิ้มฝันไป

“จ้องพอหรือยัง”

ลั่วอวี้เหิงเงยหน้าขึ้นจ้องมองเขาด้วยความโกรธปนน่าเอ็นดู

นอนก็นอนด้วยกันแล้ว ขอดูสักหน่อยจะเป็นไรไป…สวี่ชีอันแอบบ่นในใจ สายตาจับจ้องทรวงอกเต่งตึงของราชครู

‘ฉึก!’

ตะเกียบคู่หนึ่งลอยมาปักลงบนโต๊ะตรงหน้าสวี่ชีอัน

“กินข้าวๆ!” เขาถอนสายตาและซดโจ๊กเงียบๆ

หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว ทั้งสองก็ไม่พูดคุยหรือสบตากันอีก แต่เมื่อสวี่ชีอันลอบจ้องมองใบหน้าและเรือนร่างของราชครู หรือมองโต้งๆ ด้วยสายตาเชยชม นางก็จะโมโหขึ้นมา

ลั่วอวี้เหิงวางถ้วยและตะเกียบลง ลุกขึ้นอย่างเฉยเมย ก้าวเข้าไปในห้องนอน

ขณะเยื้องย่าง ชายเสื้อคลุมนักบวชเต๋าพลิ้วไหวไปตามจังหวะดูแผ่วเบาสง่างาม

“หากไม่มีเรื่องอันใดก็อย่ารบกวนข้า ข้าจะฝึกบำเพ็ญ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

ประตูเปิดทิ้งไว้ เมื่อสวี่ชีอันหันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นว่าปลอกผ้านวมและผ้าปูที่นอนของเมื่อคืนถูกเปลี่ยนทั้งหมดแล้ว

ด้านในมีตู้โตวสีขาวปักลายดอกบัวหนึ่งตัวและกางเกงผ้าไหมอ่อนนุ่มขาวอีกตัวแขวนอยู่

‘ปัง!’

เหมือนจะรับรู้ถึงสายตาของเขา ลั่วอวี้เหิงปิดประตูเสียงดังเป็นพิเศษ

อารมณ์ ‘โทสะ’ ทำให้นางไร้เหตุผลกว่าเดิม อยู่ดีๆ ก็ขมวดคิ้วใส่ ทำเหมือนข้าเป็นมนุษย์เครื่องมือที่เรียกหาแค่ตอนขึ้นเตียงเท่านั้น…

“รู้สึกเหมือนกลายเป็นคุณน้าไม่ก็อาจารย์สอนภาษาอังกฤษของข้าจริงๆ เลยแฮะ…”

เขาหยิบผ้าเช็ดหน้าสะอาดออกมาเช็ดมือและปาก จากนั้นสาวเท้าไปที่ห้องนอน และเคาะประตูห้อง

ลั่วอวี้เหิงไม่ตอบ

สวี่ชีอันผลักประตูเข้าไปตามใจ กวาดสายตามองไปทั่ว ทันใดนั้นก็เห็นว่าตู้โตวและกางเกงผ้าไหมนั้นหายไปเสียแล้ว

ลั่วอวี้เหิงนั่งสมาธิอยู่บนเตียง กล่าวด้วยความหงุดหงิด “ข้าบอกว่าไม่ให้เจ้ารบกวนไม่ใช่หรือ”

ลั่วอวี้เหิงในอดีตเป็นคนสงบเยือกเย็น ไม่เคยอารมณ์แปรปรวนมากเช่นนี้มาก่อน ด้วยเหตุนี้สวี่ชีอันจึงรู้สึกลำพองใจเหลือจะกล่าว

ไม่เหมือนตอนนี้ที่เอะอะนิดหน่อยก็โกรธ แม้จะไม่ใช่อารมณ์ที่ดีสักเท่าไร แต่ก็ดูมีชีวิตชีวากว่าที่เคย

“ไฟแห่งกรรมสงบลงแล้ว ไว้เย็นๆ ค่อยฝึกบำเพ็ญต่อก็ได้ ข้าพาท่านไปเดินเล่นในสวนดีหรือไม่”

สวี่ชีอันโน้มตัวไปที่เตียงและจับมืออ่อนนุ่มของลั่วอวี้เหิงไว้

เขาคิดเช่นนี้ ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เป็นเหมือนคู่แต่งงานที่พ่อแม่จับคลุมถุงชน ต้องร่วมคืนเข้าหอด้วยกันเสียก่อนแล้วค่อยไปสานสัมพันธ์กันต่อทีหลัง

โชคดีที่ลั่วอวี้เหิงไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์ในตัวเขา ออกจะประทับใจด้วยซ้ำ แม้จะไม่ถึงขั้นที่อยากร่วมเตียงด้วยก็ตาม

แต่ในเมื่อตอนนี้รู้ตับไตไส้พุงกันหมดแล้ว เขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดและพยายามหนักขึ้นเพื่อให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่อบอุ่นขึ้น

ยังไงเสียข้าก็หวังให้ลั่วอวี้เหิงหันมาไล่ตามข้าไม่ได้…สวี่ชีอันคิดในใจ แต่ทันใดนั้นเขาก็เห็นแววตาโกรธขึ้งของลั่วอวี้เหิง เขารู้ทันทีว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาเตรียมตัวหลบหนีไปกับเงาทันที

แต่ปรากฏว่าร่างกายของเขาขยับเขยื้อนไม่ได้แม้แต่น้อย

“ท่านราชครู?” สวี่ชีอันเอ่ยด้วยความร้อนรน “มีอะไรค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันกันเถิด”

ลั่วอวี้เหิงจ้องมองด้วยสายตาพิฆาต “เมื่อคืนข้าบอกกับเจ้าว่าอย่างไร นี่เป็นข้อตกลงเท่านั้น อย่าได้คิดว่าหลังจากเจ้ากลายเป็นคู่บำเพ็ญธรรมของข้าแล้ว จะสามารถทำอะไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ”

“ข้าใจร้อนเอง” สวี่ชีอันยอมรับความผิดของตนแต่โดยดี

ลั่วอวี้เหิงพ่นลมหายใจเบาๆ ก่อนจะปล่อยเขาไป นางหลับตาแล้วนั่งสมาธิต่อ “ออกไปซะ”

ท่านราชครูที่ในอารมณ์ฉุนเฉียวแกล้งยากกว่าเดิม โมโหง่ายเหลือเกิน ถ้าเมื่อครู่ไม่ยอมรับผิดละก็ คงจะโดนนางบั่นคอทิ้งเป็นแน่…

อ้อ หยิ่งผยองและหวงตัวยิ่งกว่าเดิมด้วย…สวี่ชีอันแอบบ่นในใจ

เมื่อเขาก้าวออกจากห้อง พลางสูดอากาศบริสุทธิ์ ขณะที่เดินผ่านหน้าต่างห้องนอน บานหน้าต่างก็กระแทกเปิดออกเสียงดัง ‘ปัง’ ลั่วอวี้เหิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง ส่งเสียงเย็นชา

“จะไปไหน”

“ไปเที่ยวซ่อง” สวี่ชีอันบุ้ยปาก

“เจ้าว่าอย่างไรนะ” ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้นอย่างฉุนเฉียว “พูดใหม่ซิ”

สวี่ชีอันหัวเราะเย้ยหยัน และเอ่ยถากถางนางอย่างจงใจ “เหตุใดท่านราชครูต้องมาสนใจว่าข้าจะไปซ่องหรือไม่ เราสองคนไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดต่อกัน เป็นเพียงข้อตกลงเท่านั้นนี่นา”

ทรวงอกของลั่วอวี้เหิงกระเพื่อมขึ้นลง นางโบกมือเพื่อปิดบานหน้าต่าง

“ถ้าอย่างนั้นข้าไปเที่ยวซ่องจริงๆ แล้วนะ” สวี่ชีอันตะโกนทะลุบานหน้าต่างเข้าไป

“ไสหัวไป!”

แต่สวี่ชีอันไม่ได้ไปจากสวนชิงซิ่งในทันที เขาให้สาวใช้เตรียมอาหาร เตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์อาบน้ำต่างๆ ให้

เมื่อพบห้องที่ไม่มีใครใช้ห้องหนึ่ง ก็หยิบเจดีย์พุทธะออกมาและโยนออกไปเบาๆ

เจดีย์พุทธะขยายใหญ่ขึ้น ยอดเจดีย์เกือบเจาะทะลุหลังคาห้อง สวี่ชีอันครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเข้าไปข้างในเจดีย์

เมื่อขึ้นไปถึงชั้นสาม เขาก็เห็นมู่หนานจือนั่งตรงข้ามถ่าหลิง ประนมมือนั่งสมาธิเลียนแบบท่าทางของภิกษุ

เล่นอะไรเนี่ย…สวี่ชีอันวางห่อสิ่งของไว้ข้างตัวและเอ่ย “หนานจือ ข้าเอาเสื้อผ้ากับอาหารมาให้”

มู่หนานจือไม่ขยับเขยื้อน ยังคงนั่งสมาธิแน่นิ่งดังเดิม สุนัขจิ้งจอกสีขาวตัวน้อยวิ่งปร๋อเข้ามา ทำจมูกฟุดฟิด พร้อมกับบ่นพึมพำไปด้วย

“ไม่มีผลไม้เลยเหรอ ข้าอยากกินผลไม้”

สวี่ชีอันใช้มือตบมันอย่างแรงจนร่างกระเด็น แล้วตะคอกด้วยความโมโห “ไปให้พ้น”

ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าสัตว์ชั้นต่ำนี่ ข้าก็คงไม่ต้องเผชิญกับการต่อสู้ ป่านนี้พระชายาคงยังอยู่อย่างเจี๋ยมเจี้ยมรอข้าที่โรงเตี๊ยมเหมือนเคย

สุนัขจิ้งจอกตัวน้อยถูกทุบตีอีกแล้ว มันร้องไห้โอดโอย

“ข้าไม่กินของเจ้าแล้วก็ได้ เจ้ามันชั่วช้า ดีแต่กลั่นแกล้งพวกเรา”

มันวิ่งกลับไปหามู่หนานจือ ดีดตัวขึ้นอย่างแรงให้ขาหน้าเกี่ยวขอบโต๊ะ จากนั้นถีบขาหลังเพื่อปีนขึ้นบนโต๊ะ

มันสะอื้นอยู่ครู่หนึ่ง จนกระทั่งสวี่ชีอันนำขนมมาวางตรงหน้ามัน

สุนัขจิ้งจอกขาวชำเลืองมองขนมแล้วค้อนขวับอย่างเย่อหยิ่ง

“ไม่กินหรือ”

“ฮึ!”

“งั้นข้ากินเองก็ได้…อื้ม ห๊อม หอม ทั้งหวานทั้งนุ่ม อร่อยจริงๆ…มีซาลาเปาเนื้อด้วยนะ น้ำซุปฉ่ำๆ เนื้อแน่นๆ เลย ไอ้หยา เหลือลูกเดียวเสียด้วย”

เจ้าจิ้งจอกขาวหูกระดิกทันที

“น่าเสียดาย เจ้าจิ้งจอกน้อยบางตัวไม่ยอมกิน งั้นข้ากินเองหมดเลยดีกว่า”

“กินด้วยๆ”

ความเย่อหยิ่งของจิ้งจอกน้อยหายวับไปทันที มันหันกลับมากระโจนเข้าใส่อ้อมแขนของสวี่ชีอัน และพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อน “จะกินๆ”

สวี่ชีอันลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน เมื่อป้อนข้าวเช้าให้มันเสร็จ เขาก็เห็นมู่หนานจือยังคงทำหน้าเย็นชาดังเดิม จึงถอนหายใจและปล่อยจิ้งจอกน้อยไป

ส่วนมู่หนานจือ เขามีวิธีรับมือกับนางหลายวิธี เพียงแต่เวลานี้การบำเพ็ญคู่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เขาเพิ่งจะเกลี้ยกล่อมนาง แต่แล้วก็เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา

หรือว่านางจะใช้โอกาสนี้ตัดสัมพันธ์กับลั่วอวี้เหิง ไม่ให้ร้องขอสิ่งใดอีกหลังจากการบำเพ็ญคู่เสร็จสิ้น

ตอนนี้งานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์ถูกจัดขึ้นที่ยงโจวตามกำหนดการ สถานที่คือทุ่งต้าเจี่ยวในตะวันตกเฉียงใต้

งานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์เปิดรับชาวยุทธ์จากทั่วยงโจว (ที่ไม่มีประวัติอาชญากรรมของทางการ) เข้าร่วมได้ ขั้นแรกคือการคัดเลือก ซึ่งผู้สมัครทุกคนสามารถเข้าร่วมได้

เมื่อการคัดเลือกสิ้นสุดลง ก็จะได้ผู้เข้ารอบหนึ่งร้อยคน

ขั้นที่สองคือให้ผู้ชนะหนึ่งร้อยคนแรกมาแข่งขันจัดอันดับผู้แข็งแกร่งกัน

การแข่งขันจัดอันดับนี้เหมือนการจัดอันดับผู้แข็งแกร่งหนึ่งร้อยอันดับของยุทธภพทางภาคกลาง

เหลยเจิ้ง ผู้ปกครองป้อมปราการหลงเสิน และกงซุนเซี่ยงหยาง ผู้นำตระกูลกงซุน ทั้งสองเป็นยอดฝีมืออันดับที่เจ็ดสิบเอ็ดและแปดสิบแห่งยุทธภพ

สวี่ชีอันแปลงโฉมอีกครั้งเป็นชายหนุ่มแสนธรรมดา แอบเข้าไปในทุ่งต้าเจี่ยว

เดิมทีที่นี่เป็นค่ายของกองทัพป้องกันเมือง แต่ภายหลังถูกปล่อยทิ้งร้างมาหลายปี แม้สภาพจะทรุดโทรมไปบ้างแต่ก็มีพื้นที่กว้างขวาง

เมื่อมาถึงสนามประลอง มองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ทะเลฝูงชน

สวี่ชีอันยืนอยู่นอกฝูงชน เฝ้ามองเวทีประลองที่สร้างขึ้นมาใหม่ ซึ่งมีจอมยุทธ์หนุ่มสองคนกำลังประดาบกันอยู่

กลยุทธ์ใดๆ สามารถงัดมาใช้ได้ไม่มีข้อจำกัด ไม่มีการคำนึงถึงศีลธรรม ขอแค่สังหารศัตรูได้ก็ถือว่าชนะไป

แม้วิธีการจะสกปรกไปสักหน่อย แต่โชคดีที่ไม่มีการใช้วิธีการหยาบช้าอย่างเคล็ดกระบี่รันทดหรือเคล็ดกระบี่ขี้ปากชาวบ้าน

“คนเยอะจริงๆ ต่อไปลองมาสำรวจดูทุกวันดีกว่า อย่างไรก็ต้องเจอเจ้าของร่างปราณมังกรแน่นอน…”

เขากำชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไว้ในมือ จิตนึกคิดของเขากระจายไปทุกทิศทาง

ไม่ช้า ภาพ ‘ทิวทัศน์’ ทั้งหมดรอบด้านก็ย้อนกลับเข้ามาในหัวของเขา

ทิศใต้มีชายฉกรรจ์ผู้หนึ่ง สายตาจับจ้องไปยังเวทีประลองแน่นิ่ง มีหญิงสาวผู้หนึ่งแนบชิดข้างกาย ฝ่ามือใหญ่หยาบหนานวดคลึงบั้นท้ายกลมกลึงของสาวเจ้าอย่างเมามัน

ซ้ายมือของชายผู้นั้น คือชายร่างเล็กผู้หนึ่งที่ใช้มีดกรีดถุงเงินของชายผู้ฉกรรจ์ผู้นั้นเงียบๆ

ทางทิศเหนือเองก็มีชายหนุ่มพยายามขโมยสิ่งของเช่นกัน

เมื่อมองข้ามผ่านผู้คนและสิ่งต่างๆ โดยรอบ สวี่ชีอันก็รู้สึกได้ถึงเจ้าของร่างปราณมังกรผู้หนึ่ง เขาดูการต่อสู้ท่ามกลางฝูงชน สองมือกุมเข่าไว้ ราวกับดูแคลนการประลองในสนามอย่างยิ่ง

“เจ้าของชิ้นส่วนปราณมังกร…”

สวี่ชีอันไม่ได้ออกอาการผลีผลามแต่อย่างใด เนื่องจากเขาไม่ทราบว่าคนผู้นั้นเป็นวายร้ายหรือว่าเหยื่อล่อ

ในเมืองยงโจวแห่งนี้ หากไม่ใช่เจ้าของร่างหนึ่งในปราณมังกรเก้าสาย เขายอมปล่อยผ่านดีกว่าเสี่ยงภัย

จิตรับรู้ของเขาเคลื่อนผ่านกลุ่มผู้ชมอีกครั้ง กระจายไปทั่วค่ายทหาร และแล้วก็มีเจ้าของร่างปราณมังกรอีกรายหนึ่งปรากฏตัวขึ้นในระยะการรับรู้ของเขา

จวนสองทางเข้าแห่งนี้ดูทรุดโทรมอย่างยิ่ง ราวกับไม่ได้รับการบำรุงรักษามานานหลายปี

มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ที่โถงด้านนอก เจ้าของร่างปราณมังกรก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย

“เจ้าของร่างชิ้นส่วนปราณมังกร ต่อให้งานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์ครั้งนี้จะเป็นงานใหญ่ ต่อให้ในยงโจวมีเจ้าของร่างปราณมังกรมากว่าหนึ่งคนก็ตาม แต่มันไม่ปกติเลยที่พวกเขาปรากฏตัวขึ้นในเวลาและสถานที่เดียวกัน…

“ในหมู่เจ้าของร่างปราณมังกรทั้งสองคน ต้องมีใครคนใดคนหนึ่งเป็นเหยื่อล่อ ไม่ก็เป็นทั้งคู่…เอ๋? กงซุนเซี่ยงหยาง?!”

สวี่ชีอันเห็นกงซุนเซี่ยงหยางท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น

ที่โถงนอก กงซุนเซี่ยงหยางนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวใหญ่ เบื้องหลังคือพี่น้องตระกูลกงซุน

ส่วนชายหนุ่มที่นั่งเสมอกับผู้นำตระกูลกงซุน มีใบหน้าอ่อนโยน แต้มด้วยรอยยิ้มบางๆ ชวนให้รู้สึกถึงสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

ด้านหลังของชายหนุ่มเรียงจากซ้ายไปขวา ได้แก่

เด็กหนุ่มหน้าตาเคร่งขรึมพร้อมกับหอกในมือ สาวน้อยหน้าตาสะสวยชวนฝัน นักพรตเฒ่าท่าทางเหลือขอในเสื้อคลุมนักบวชเต๋าโทรมๆ ชายชาวซินเจียงตอนใต้นัยน์ตาสีฟ้าสวมอาภรณ์ยาวสีสันสดใส หญิงสาวผู้มีใบหน้างามงดทรงเสน่ห์และร่าเริง ชายผู้มีท่าทางแข็งแกร่ง น่าเกรงขาม

และชายวัยกลางคนสะพายกระบี่ไว้บนหลัง ชายผู้นี้สีหน้าไร้อารมณ์ ดวงตาฉายแววยอมแพ้ต่อโชคชะตา เขาเป็นเจ้าของร่างปราณมังกร

คนพวกนี้เป็นใคร…สายตาของสวี่ชีอันหยุดไปที่ร่างของสาวน้อยชั่วขณะ

อายุไม่เกินยี่สิบปี ร่างกายเริ่มมีทรวดทรงของสตรีเต็มวัย ดวงตากลมโต ขนตายาวเป็นแพ คางเรียวแหลมเป็นเอกลักษณ์ของสาวน้อย

นางสวยเหมือนกับสวี่หลิงเยวี่ย ทว่าสวี่หลิงเยวี่ยเป็นพวกสาวน้อยข้างบ้าน อ่อนโยน บอบบาง หรืออย่างน้อยภายนอกก็ดูเป็นเช่นนั้น

ทว่าสาวน้อยผู้นี้กลับมีดวงหน้าเย็นชา ดุดัน และเริ่มสร้างบุคลิกหญิงแกร่งเป็นของตน ผ่านไปอีกไม่กี่ปี คงกลายเป็นผู้หญิงประเภทเดียวกับฮว๋ายชิ่ง

จากนั้นเขาก็เคลื่อนสายตามองไปยังสาวงามอีกนาง สาวงามผู้นี้ทรงเสน่ห์แต่ไม่อ่อนหวาน ยั่วเย้าแต่ไม่ดาษดื่นทั่วไป ดูมีนิสัยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ข้าไม่น่าจะเคยพบเจอกับนางมาก่อน แต่ดูจากลักษณะท่าทางของนางดูคุ้นหูคุ้นตา เหมือนกับเคยพบเจอจากที่ใดมาก่อน…สวี่ชีอันกล่าวในใจ ในตอนนี้เองที่ได้ยินเสียงกงซุนเซี่ยงหยางหัวเราะขึ้นอย่างสุภาพ

“ท่านวีรชนผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายมีนามว่ากระไรกันบ้างหรือ”

เหลยเจิ้งเป็นพวกบ้าการต่อสู้ที่ไม่ชอบพิธีรีตองต่างๆ ดังนั้นเจ้าภาพจัดงานชุมนุมใหญ่ของกลุ่มจอมยุทธ์อย่างกงซุนเซี่ยงหยางจึงถูกเชิญมาที่นี่ หลังจากกล่าวเปิดพิธีเสร็จสิ้น

คนกลุ่มนี้น่ากลัวอย่างยิ่ง ด้วยความที่กงซุนเซี่ยงหยางอยู่ในขั้นห้าระดับสูงสุด จึงพอจะคาดเดาได้คร่าวๆ ถึงขีดกำจัดของเด็กหนุ่มที่ถือหอก และนักพรตเฒ่าผู้มีท่าทางเหลือขอ

คนอื่นๆ เขาไม่แน่ใจนัก

กงซุนเซี่ยงหยางมั่นใจอย่างยิ่งว่าคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ต้องอยู่ในขั้นสี่

แต่การคาดเดานี้ช่างน่าตกตะลึง ขั้นสี่คือระดับแนวหน้าในโลกแห่งยุทธภพ มีเพียงสถานที่อย่างเมืองหลวงที่เมืองหลวงเดินกันขวักไขว่เท่านั้นถึงจะเจอจอมยุทธ์ปรากฏตัวเป็นกลุ่มเช่นนี้

ต้าฟ่งมีถึงสิบสามมณฑล แต่ละมณฑลมีประชากรหลายสิบล้าน และแม้ว่าจะมีประชากรถึงหลายสิบล้านก็มีขั้นสี่เพียงหยิบมือ

“จีเสวียน”

ชายหนุ่มผู้อ่อนเยาว์และอบอุ่นที่นั่งอยู่เพียงผู้เดียวเอ่ยพลางหัวเราะ

“วีรบุรุษจี!”

กงซุนเซี่ยงหยางกอบหมัดคำนับไม่หยุด

จีเสวียน…สวี่ชีอันขมวดคิ้ว แซ่จีทำให้เขารู้สึกอ่อนไหวเป็นพิเศษ

ชายหนุ่มเยาว์วัยผู้มีนามว่าจีเสวียนกล่าวยิ้มๆ “พวกข้ามาจากชิงโจว ได้ข่าวว่าที่ยงโจวกำลังจัดงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์ครั้งใหญ่ จึงมาหาความบันเทิง และถือโอกาสเรียนรู้ไปด้วยขอรับ”

หลังจากเว้นวรรคชั่วขณะ เขาก็หยิบภาพวาดหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ และวางบนโต๊ะ

“ท่านกงซุนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงกว้างขวางในยงโจว ข้าจึงใคร่ขอความช่วยเหลือจากท่านกงซุนสักเล็กน้อย”

ยังไม่ทันคำนึงว่ากงซุนเซี่ยงหยางจะตอบตกลงหรือไม่ เจ้าตัวก็พูดเองเออเองว่า “ช่วยตามหาคนในรูปนี้ด้วยเถิดขอรับ แล้วข้าจะตอบแทนท่านอย่างงาม”

กงซุนเซี่ยงหยางย่อมไม่มีปฏิเสธ เขารับรูปภาพมาด้วยสองมือ พินิจมองรูปดังกล่าวโดยละเอียด แล้วกล่าวยิ้มๆ

“ได้เลยๆ หากมีข่าวคราวจะส่งคนไปบอกท่านทันที แค่ตามหาคนเท่านั้นเอง หาใช่เรื่องใหญ่โต ไยต้องเกรงใจกันถึงขั้นนี้ด้วย”

จีเสวียนพยักหน้าอย่างพึงใจ แล้วกล่าว “ยังมีเรื่องเล็กน้อยจะรบกวนอีกเรื่องขอรับ”

กงซุนเซี่ยงหยางทำท่าตั้งอกตั้งใจฟัง

“ขอท่านกงซุนช่วยจับตาคนผู้หนึ่ง คนผู้นี้ไม่มีภาพเหมือน มีนามสวีเชียนขอรับ”

จีเสวียนจิบชา

‘สวีเชียน…’ กงซุนเซี่ยงหยางแอบตกตะลึงในใจ

………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท