ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง – บทที่ 575 หักหลัง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

บทที่ 575 หักหลัง

หาตัวผู้ครองปราณมังกรพบแล้ว?

สวี่ชีอันดีใจเหลือล้น เขาวางมือลงบนราวบันไดแล้วกระโดดลงไปจากชั้นสี่

“เจ้านั่นอยู่ที่ไหน”

ขณะที่เอ่ยพูด เขาก็โบกมือไปทางด้านหลัง ชุดคลุมตัวยาวสีฟ้าลอยตามออกมาแล้วเข้ามาห่มตัวเขา

หลี่หลิงซู่เดิมทีก็ไม่มีอะไร แต่หางตาก็มองเห็นลั่วอวี้เหิงบินลงมาจากหอสังเกตการณ์เช่นกัน

ราชครูหันหน้ามองฟ้า นางใช้ปิ่นเรียบๆ หนึ่งอันมวยผม ทั้งเรียบง่ายและสะอาดเรียบร้อย เมื่อเทียบกับหลายวันก่อน บรรยากาศรอบตัวนางเปลี่ยนไปมาก ที่หว่างคิ้วก็มีความโศกเศร้าจางๆ พัวพันอยู่

ริ้วแดงบนใบหน้าไม่จางหายไป คิ้วขนงและดวงตาล้วนทรงเสน่ห์

‘งดงามราวกับบุปผายามวสันต์…’ หลี่หลิงซู่ทอดถอนใจ เขาบังคับให้ตนเองอย่าไปมองนางอีก จากนั้นก็กลับมาทำสีหน้าจริงจังแล้วเอ่ย

“อยู่ที่หอนางโลมชื่อ ‘ชุนอี้หนง’”

“ชุนอี้หนง?”

สวี่ชีอันขมวดคิ้วแล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด “นี่ไม่ใช่ชื่อของหอนางโลมทั่วไป”

คำขึ้นต้นของหอนางโลมมักจะเป็นคำประเภท ‘หอ โรง เรือน’ อะไรทำนองนั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนด

“จริงๆ มันไม่ใช่หอนางโลมทั่วไป หากพูดให้ถูกต้องบอกว่าเป็นชุมนุมตำรา” หลี่หลิงซู่เล่าถึงข้อมูลที่ได้มาจากตระกูลกงซุนแล้วเอ่ยว่า “เดิมทีถูกก่อตั้งโดยบุตรีตระกูลเศรษฐีที่รักในบทกวีผู้หนึ่ง มีไว้เพื่อให้ความบันเทิงแก่ปัญญาชนโดยเฉพาะ รวมถึงเอาไว้ใช้จัดงานชุมนุมวรรณกรรมด้วย ต่อมาตระกูลก็ประสบภัย ล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก จึงเปลี่ยนจากชุมนุมตำราไปเป็นหอนางโลม และว่าจ้างสตรีมากพรสวรรค์ที่ครอบครัวประสบภัยเช่นเดียวกันมาขายศิลปะ เป็นการให้หญิงงามมานั่งอ่านหนังสือเป็นเพื่อนบัณฑิต”

กล่าวจบหลี่หลิงซู่ก็คิดอย่างสงสัยว่า ‘ดูเหมือนสวีเชียนจะเข้าใจเรื่องหอนางโลมมากเลยนี่นา’

สวี่ชีอันเข้าใจเรื่องนี้ในทันที คำสี่คำจึงแล่นเข้ามาในหัว ‘คลับที่มีธีม’!

สถานที่ประเภทนี้พบได้ทั่วไปในต้าฟ่ง ที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือหอคณิกา

ธีมหลักของหอคณิกาก็คือดนตรี ละคร กายกรรม และอื่นๆ แต่ก็ยังเป็นธุรกิจขายเนื้อขายตัวเช่นกัน

อีกอย่าง ยังมีอารามเต๋าบางทีที่มีลักษณะเช่นนี้อยู่ด้วย ในนั้นล้วนมีแต่นักพรตหญิงที่มีผิวพรรณงดงาม จากนั้นจะแสร้งแสดงธรรมให้กับผู้แสวงบุญ แต่พูดไปพูดมาก็เริ่มกลิ้งไปอยู่ใต้ผ้าห่มกันแล้ว

สำหรับพวกผู้แสวงบุญแล้ว สตรีที่พวกเขาหลับนอนด้วยไม่ใช่สตรีในโลกปุถุชน แต่เป็นนักพรตหญิง

ให้ความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

‘ชุนอี้หนง’ ที่ว่านี่ก็เช่นเดียวกัน

สวี่ชีอันหันไปมองลั่วอวี้เหิง “ราชครู พวกเราไปกันเถอะ”

เพื่อเป็นการป้องกัน เขาจึงนำลั่วอวี้เหิงไปด้วย เมื่อมีพลังต่อสู้มากพอก็สามารถต่อกรกับอันตรายที่ไม่แน่นอนได้แล้ว

ทุ่งต้าเจี่ยว ค่ายทหาร

สายสืบเฉินยื่นมือออกไปจับนกพิราบที่บินเข้ามาในเรือน แล้วดึงกระบอกไม้ไผ่เล็กๆ ที่ผูกติดกับกรงเล็บของมัน

เมื่อเขาอ่านเสร็จก็หันไปเอ่ยกับพวกจีเสวียนที่อยู่ด้านหลัง

“พบตัวผู้ครองปราณมังกรแล้ว”

คณะของจีเสวียนที่เดิมวางแผนจะออกไปตามหาหลังมื้อเช้ารู้สึกตกใจกับข่าวนี้มาก

“อยู่ที่ใด”

ไป๋หู่ หนึ่งในกลุ่มดาราเอ่ยถาม

สายสืบเฉินหัวเราะ

“อยู่ที่หอนางโลมชื่อ ‘ชุนอี้หนง’”

“เมื่อคืนเกิดเรื่องระหว่างสตรีผู้หนึ่งกับลูกค้า วุ่นวายกันยกใหญ่ พอเรื่องแพร่ออกไปจึงเปิดเผยที่ซ่อนตัวออกมา”

นักพรตเต๋าเจียวเย่ส่ายหน้าหัวเราะ “มิน่าตามหาในโรงเตี๊ยมก็ไม่เจอตัว ที่แท้เจ้านี่ก็ซ่อนอยู่ในหอนางโลมนี่เอง”

สวี่หยวนซวงแก้คำพูดให้ “นี่ไม่ใช่การซ่อนตัว แต่โชคชะตาทำให้เขาหลบเลี่ยงเคราะห์ร้ายได้ เขาจึงเลี่ยงที่จะไม่มาโรงเตี๊ยม”

“เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าเขาไม่ควรมีเรื่อง แต่ควรซ่อนตัวเงียบๆ ก่อนที่เราจะหาตัวเขาพบเช่นนั้นสินะ”

สีหน้าของสวี่หยวนซวงเย็นชา นางเอ่ยเสียงเรียบ

“บางทีเขาอาจจะหนีและกำลังไปซ่อนตัวจากพวกเราอีกรอบแล้ว หรือไม่ก็มีคนที่มีโชคชะตามากกว่าตามหาเขาพบก่อน อย่าลืมล่ะว่าสวีเชียนมีปราณมังกรอยู่กับตัวสองสาย”

จากคำอธิบายของนาง สาเหตุที่ผู้ครองปราณมังกรถูกเปิดโปงนั้นเป็นเพราะสวีเชียนกำลังตามหาเขา

“รอช้าไม่ได้แล้ว ต้องรีบไป” จีเสวียนหันไปมองสายสืบเฉินแล้วเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ดูจากหูตาของตระกูลกงซุนในยงโจว พวกนั้นคงจะได้รับข่าวไม่ช้าไปกว่าพวกเราแน่”

สายสืบเฉินพยักหน้า “ข้าจะแจ้งภิกษุสำนักพุทธทันที อีกฝ่ายมีลั่วอวี้เหิงอยู่ด้วย อาศัยแค่พวกเราคงจะต่อกรไม่ได้แน่”

นักพรตเต๋าเจียวเย่พลันเอ่ยขึ้นมา “จะดีกว่าถ้าไม่ปรากฏตัวตรงๆ แล้วดักซุ่มอยู่ใกล้ๆ เพื่อไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัวจนถอยไปได้ก่อน”

ชุนอี้หนง

ในห้องหนังสือที่ตกแต่งอย่างสง่างามและเปี่ยมกลิ่นอายความเก่าแก่ สตรีในชุดผ้าโปร่งผู้มีเรือนกายสง่างามกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่หลังโต๊ะ

รูปสลักสัตว์ทองบนโต๊ะกำลังพ่นควันหอมออกมา

สตรีผู้นี้มีใบหน้างามเสลา ยามพลิกม้วนหนังสือก็มีท่าทีรู้หนังสือแบบบุตรีของตระกูลผู้ดีมั่งมีคนหนึ่ง

แต่ชุดที่นางสวมกลับซ่อนเร้นกิเลสปรารถนาและยั่วยวนบุรุษยิ่งนัก

บุคลิกสองอย่างสอดประสานกันจนเกิดเป็นเสน่ห์ที่ยากจะบรรยาย

เหมียวโหย่วฟางยืนอยู่ข้างหน้าต่างและกำลังชื่นชมทิวทัศน์หิมะด้านนอก หิมะกำลังตกหนักทีเดียว

ผ่านไปครู่หนึ่งก็หันกลับมามองสตรีที่นั่งอยู่หลังโต๊ะแล้วเกาศีรษะ

วันนั้นเขาสังหารเจ้าของบ่อนพนันลิ่วป๋อด้วยดาบเดียว หลังจากดื่มด่ำกับความสุขของการแก้แค้น เดิมทีเหมียวโหย่วฟางก็วางแผนจะหาโรงเตี๊ยมสักแห่งเพื่อเข้าพัก

แต่ระหว่างทางเขาก็เจอกับโจรขโมยกระเป๋าของสตรีสกุลดี เขาจึงเข้าไปช่วยชิงกระเป๋ากลับมาคืนสตรีผู้นั้นอย่างผู้ผดุงความยุติธรรมแล้วเอาชนะโจรร้ายได้

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าสตรีที่มีใบหน้างดงามราวบุปผาผู้นั้นจะเป็นหนึ่งในหญิงชั้นนำใน ‘ชุนอี้หนง’ แห่งนี้ มีนามว่าจื่อยวน

แม่นางจื่อยวนมีความรู้สึกดีๆ ให้กับเขาเป็นอย่างมาก นางเชิญให้เขาพักที่ ‘ชุนอี้หนง’ เหมียวโหย่วฟางเป็นชายหนุ่มที่มีกำลังวังชาดี ไหนเลยจะต้านทานการยั่วเย้าได้ ทางหนึ่งพูดว่าไม่เอาๆ อีกทางก็ถอดกางเกงออกไปแล้ว

เมื่อคืนมีคุณชายคนหนึ่งที่แต่งตัวแบบบัณฑิตอยากให้จื่อยวนไปอ่านหนังสือด้วย ท่าทางดื้อรั้นเอาแต่ใจยิ่ง จื่อยวนไม่ยอมไป เขาจึงต้องใช้กำลังสั่งสอน

พอเจ้านั่นถูกเหมียวโหย่วฟางสั่งสอนไปยกหนึ่งก็รีบเผ่นออกจาก ‘ชุนอี้หนง’ ทันที

‘เหมียวโหย่วฟางหนอเหมียวโหย่วฟาง เจ้าจะต้องเป็นจอมยุทธ์ผู้ยิ่งใหญ่นะ จะมามัวแต่อาลัยอาวรณ์ความงามไม่ได้’ …เหมียวโหย่วฟางกระแอมไอแล้วเอ่ยขึ้น

“แม่นางจื่อยวน วันนี้ข้าต้องไปแล้วนะ”

หญิงสาวที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเงยหน้าขึ้นมามองแล้วเอ่ยเสียงนุ่ม

“คุณชายเหมียวต้องการท้าทายผู้แข็งแกร่งในงานชุมนุมกลุ่มจอมยุทธ์เพื่อขัดเกลาวิทยายุทธ์ ถ้าอย่างนั้นอยู่ในค่ายทหารก็มิสู้อยู่กับข้าน้อยนะเจ้าคะ”

หมายความว่าไม่ให้เขาไป

เหมียวโหย่วฟางไร้คำพูดไปชั่วขณะ สัญชาตญาณบอกให้เขาออกไปจากที่นี่ เหมียวโหย่วฟางคิดว่าเป็นเพราะตนหมกมุ่นอยู่กับความงามของแม่นางจื่อยวนในช่วงสองวันนี้ ดังนั้นจึงเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา

“เพราะต้องท้าทายยอดฝีมือเพื่อขัดเกลาวิทยายุทธ์ ข้าจึงไม่อาจแบ่งจิตใจไปที่ไหนได้ จะต้องมีสมาธิอยู่กับการฝึกตน”

แม่นางจื่อยวนเม้มริมฝีปาก ความผิดหวังวาบผ่านแววตา จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน

“เช่นนั้นคุณชายค่อยไปพรุ่งนี้ ดีหรือไม่”

เหมียวโหย่วฟางลังเลไปชั่วขณะและเผยสีหน้าหนักใจออกมา เพราะเป็นคนที่มีประสบการณ์น้อย เขาจึงไม่อาจเอ่ยคำลวงหลอกต่อหญิงสาวออกมาโดยที่หน้าไม่เปลี่ยนสีและใจไม่เต้นรัวได้

ตอนนี้เอง นกกระจอกตัวหนึ่งก็บินเข้ามาร่อนลงที่หน้าต่าง มันมองดูคนทั้งสองเงียบๆ ด้วยดวงตาสีดำราวกับกระดุม

ในตรอกเล็กๆ ที่ห่างจาก ‘ชุนอี้หนง’ ร้อยเมตร คนสามคนที่สวมหมวกคลุมหน้ายืนอยู่เงียบๆ มีหิมะบางๆ ปกคลุมอยู่บนบนไหล่และปีกหมวกของพวกเขา

“ผู้อาวุโส เป็นอย่างไรบ้าง?”

ชายหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามเสียงต่ำ

“คนในภาพวาด อยู่ที่นี่”

สวี่ชีอันเอ่ยตอบหลี่หลิงซู่พลางรับรู้ภาพการมองเห็นของนกกระจอกไปด้วย

เขาระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคิดว่าเรื่องได้ผ่านไปหนึ่งคืนแล้ว สำนักพุทธและตำหนักความลับสวรรค์ก็คงจะรู้ข่าวแล้วเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ได้บุ่มบ่ามบุกเข้าไป

แต่เลือกควบคุมให้นกกระจอกไปสังเกตการณ์แทน

“ราชครู รบกวนท่านช่วยพาคนออกมาหน่อย แล้วพวกเราค่อยไปเจอกันที่สวนชิงซิ่ง” สวี่ชีอันหันหน้าแล้วยื่นมือไปคว้ามือนุ่มภายในเสื้อคลุมของลั่วอวี้เหิงแล้วบีบนวดบนฝ่ามือของนาง

‘น่ารังเกียจจริง!’ หลี่หลิงซู่สังเกตเห็นรายละเอียดนี้ จึงก่นด่าสาปแช่งอย่างไม่พอใจ

เขารู้สึกว่าตนถูกล่วงเกินเสียแล้ว

ลั่วอวี้เหิงตอบรับเสียง ‘อืม’ ขณะที่กำลังจะจากไป จู่ๆ ก็พลันชะงักนิ่งแล้วก้มหน้ามองมือใหญ่ที่กำแน่น

‘โครม!’

เหมียวโหย่วฟางกำลังคิดที่จะปฏิเสธ ประตูห้องก็เปิดออกอย่างแรง คนกลุ่มหนึ่งพลันบุกรุกเข้ามา

ผู้นำคือชายหนุ่มองอาจหล่อเหลา มุมปากแต้มรอยยิ้มบางเบาซึ่งชวนให้ผู้คนรู้สึกอยากเสวนาพาทีด้วย

ด้านหลังของเขามีสาวน้อยบุคลิกเยือกเย็นและชายหนุ่มเย็นชาที่สะพายหอกยาวไว้บนหลัง รวมถึงสตรีทรงเสน่ห์เย้ายวน ชายชราสวมชุดเต๋าเก่าๆ ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน และชาวซินเจียงตอนใต้ที่สวมชุดคลุมยาวสีสันสดใส

พวกนี้คือศัตรูที่เขาสร้างไว้โดยบังเอิญตอนอยู่ที่ชิงโจวนั่นเอง

นอกจากคนกลุ่มนี้แล้ว ยังมีภิกษุหนุ่มสองรูป รูปหนึ่งมีท่าทางอ่อนโยน อีกรูปองอาจเปี่ยมกำลัง

‘พวกเขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?’

‘พวกเขาตามข้ามาหรือ?’

‘ทำไมกัน?’

ความสงสัยมากมายแล่นเข้ามาในใจของเขา แต่การตอบสนองของเหมียวโหย่วฟางไม่ได้ช้าลงเพราะเหตุนี้ เขากระโดดขึ้นและกำลังจะหนีออกทางหน้าต่างในทันใด

“อามิตตาพุทธ กลับใจคือฟากฝั่ง”

ทันใดนั้น ที่หูก็ได้ยินเสียงอันอ่อนโยนนุ่มละมุน

เหมียวโหย่วฟางตัวแข็งทื่อ การเคลื่อนไหวช้าลงและหันหน้ากลับมาอย่างไม่อาจควบคุม

ไป๋หู่และจิ้งหยวนลงมือพร้อมกัน ต่างก็เข้าไปกดบ่าของเหมียวโหย่วฟางทางด้านซ้ายและขวา พร้อมทั้งลากตัวไปทางกลุ่มของแต่ละคนพร้อมกัน

“ฮึ่ม!”

จิ้งหยวนแค่นเสียงเย็นแล้วชกเข้าที่ใบหน้าของไป๋หู่ตรงๆ

ฝ่ายหลังโจมตีคืนพร้อมยิ้มแสยะ สองหมัดกระทบกันอุตลุด พลังปราณระเบิดเป็นระลอก

ทั้งภาพแขวน กระถางเครื่องหอม และแจกันลายครามและเครื่องเรือนต่างๆ ในห้องหนังสือล้วนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

แม่นางจื่อยวนที่กำลังสะพรึงกลัวมีสีหน้าขาดซีด ทรวงอกถูกกระแทกจนกระอักเลือดออกมา จากนั้นก็นอนสลบเหมือดอยู่บนโต๊ะ เป็นตายมิรู้

“แม่นางจื่อยวน!”

เหมียวโหย่วฟางเบิกตากว้าง

จีเสวียนหันหน้าไปมองจิ้งซินแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เราคุยเรื่องนี้กันแล้ว ผู้ครองปราณมังกรต้องมอบคืนให้พวกเรา”

จิ้งซินประนมมือแล้วเอ่ยตำหนิ “จิ้งหยวน!”

จอมยุทธ์ภิกษุจิ้งหยวนขมวดคิ้วแล้วคล้ายมือออกจากเหมียวโหย่วฟางอย่างไม่พอใจ ไม่แย่งชิงต่ออีก

เหมียวโหย่วฟางดวงตาแดงก่ำทั้งสองข้าง เขาขบเขี้ยวแล้วเอ่ยว่า

“ข้าไม่รู้ว่าทำไมพวกเจ้าถึงเพ่งเล็งมาที่ข้า แต่ในเมื่อข้าไร้ความสามารถจะขัดขืนแล้ว เหตุใดพวกเจ้าต้องทำร้ายผู้บริสุทธิ์ด้วย”

ไม่มีใครสนใจเขา ราวกับบุคคลตัวเล็กๆ ผู้นี้ไม่คู่ควรให้เปลืองน้ำลายสนทนาด้วย

“พาตัวเขาไปเดินอ้อมอยู่ข้างนอกครู่หนึ่ง ให้สหายที่มาช้าผู้นั้นได้เห็น” จีเสวียนมองไปยังสวี่หยวนซวง “แม่นางผู้นี้ได้รับบาดเจ็บ”

สวี่หยวนซวงเอ่ยพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ของของข้าถูกสวีเชียนชิงไปแล้ว”

จีเสวียนตบหน้าผากแล้วปลดถุงหนังที่เอวส่งให้

เมื่อสวี่หยวนซวงให้ยารักษากับสตรีผู้นั้นแล้ว คนทั้งคณะก็พากันออกจากชุนอี้หนง

“ไม่ต้องแล้ว!”

สวี่ชีอันถอนหายใจ “พวกเขาเอาคนไปแล้ว”

หลี่หลิงซู่ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยด้วยความกลัว “เมื่อกี้หากผู้นำเต๋าออกไป ก็อาจถูกอรหันต์และระดับเพชรจากสำนักพุทธร่วมมือกันโจมตีได้เลยนะ”

ภายใต้ม่านโปรงที่ปกคลุม แววตาของลั่วอวี้เหิงเจ็บปวดเศร้าโศก นางถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยว่า

“หากข้าเลื่อนสู่ขั้นหนึ่งโดยเร็วก็คงดี”

บุคลิก ‘เศร้า’ มีสามประการคือ ถอนหายใจ แผ่ความเศร้า และโทษแต่ตัวเอง

“ผู้อาวุโส ตอนนี้ไม่ดีแล้ว ดูท่าว่าคงต้องทิ้งคนผู้นี้แล้วไปหาเป้าหมายต่อไปจะดีกว่า”

เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ดังนั้นแม้ว่าหลี่หลิงซู่จะผิดหวัง แต่ก็ไม่ได้เป็นกังวลนัก

สำหรับข้า ปราณมังกรเก้าสายจะต้องรวมมาให้ครบเท่านั้น…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างครุ่นคิด

“ข้าคาดเดาความเป็นไปได้นี้แล้ว ดังนั้นจึงได้เตรียมวิธีการต่อไปไว้เรียบร้อย”

หลี่หลิงซู่เอ่ยถามอย่างไม่รู้ตัว “วิธีใด?”

เพิ่งจะพูดจบ หมวกคลุมหน้าของเขาก็ถูกสวี่ชีอันปลดออก

หลี่หลิงซู่รู้สึกงุนงงกับเรื่องนี้ ยังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยถามก็เห็นเจ้าสารเลวสวีเชียนยกเท้าถีบเขาออกจากตรอกเล็กๆ

ขณะเดียวกัน เขาก็ได้ยินสวีเชียนขับเคลื่อนพลังปราณจากตันเถียนแล้วเอ่ยด้วยเสียงกัมปนาท

“เทพบุตรนิกายสวรรค์หลี่หลิงซู่อยู่ที่นี่!”

???

หลี่หลิงซู่ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผู้อาวุโสสวีที่ตนเคารพเชื่อใจจะทำเรื่องบ้าบอแบบนี้ออกมาได้

แต่ที่บ้าบอยิ่งกว่านั้นก็คือ พอสวีเชียนตะโกนจบ เขาก็หยิบหยกทรงกลมออกมาเงียบๆ แล้วทุบมันแตกอย่างสงบนิ่ง

เสียงหยกแตกดังขึ้น แสงสีใสเข้ามาปกคลุมสวีเชียนและลั่วอวี้เหิงจนทั้งสองหายวับไป

ครู่ต่อมา ฝ่ามือยักษ์สีทองก็พุ่งลงมาจากฟ้าแล้วปกคลุมทั่วทั้งบริเวณ

อรหันต์ลงมือแล้ว

หลี่หลิงซู่ตกอยู่ในความสิ้นหวัง

…………………………………………………

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

Status: Ongoing
ตั้งแต่ข้ามเวลามาเขาตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตอย่างสุขสบายในสังคมที่ไร้ซึ่งคำว่า ‘สิทธิมนุษยชน’ นี้ แต่ทำไมเขาถึงต้องเข้ามาพัวพันกับเรื่องการเมือง และอำนาจลึกลับที่อยู่เบื้องหลังราชวงศ์ต้าฟ่งแห่งนี้ด้วย!Top 5 นิยายยอดนิยมในเว็บจีนต่อเนื่อง 10 เดือน! นิยายแปลจีน สืบสวน ไขคดี ใช้ความรู้ยุคปัจจุบันผสมกับแอ็คชั่นกำลังภายในสวี่ชีอัน อดีตนายตำรวจรุ่นใหม่ตัดสินใจลาออกจากอาชีพข้าราชการเพื่อออกไปทำธุรกิจของตัวเอง แต่ดันต้องมาจบชีวิตลงด้วยโรคพิษสุราเรื้อรัง เขาตื่นขึ้นมาอีกครั้งแล้วพบว่าตัวเองกำลังนอนอยู่ในห้องขัง ในร่างของใครอีกคน…หลังจากทบทวนความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม เขาตระหนักได้ว่าตัวเองกลับมาเกิดใหม่ในร่างของทหารหนุ่มที่กำลังต้องโทษ และถูกคุมขังเพื่อรอการลงทัณฑ์!แม้ว่าเขาจะยังมึนงงกับเรื่องอัศจรรย์ที่เกิดขึ้น แต่ความจริงที่ว่าเขาเหลือเวลาอีกไม่มากในการใช้ชีวิตที่สองซึ่งพระเจ้าเมตตาประทานให้ ผลักดันให้เขาต้องทำอะไรสักอย่าง…ภายในคุกหลวง สวี่ชีอันต้องงัดเอาทุกกลยุทธ์ในการสืบสวนและไขคดี เพื่อเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งใหญ่นี้ให้ได้!และนับตั้งแต่ที่ข้ามเวลามา สวี่ชีอันต้องเผชิญกับวิกฤติต่างๆ ต้องอาศัยความสามารถในการไขคดีและการปรับตัวที่ยอดเยี่ยม รวมถึงโชคดีที่มักจะเข้ามาได้ถูกจังหวะเพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า…แต่เดิมจุดประสงค์ในการมีชีวิตอยู่ในยุคโบราณแห่งนี้ของเขาคือการปกป้องตัวเอง และใช้ชีวิตสบายๆ แบบเศรษฐีในยุคสังคมศักดินาที่ไร้ซึ่งคำว่าสิทธิมนุษยชนเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะนำพาให้เขาต้องเข้าไปพัวพันกับอำนาจขององค์กรลับ และความลับของราชวงศ์ต้าฟ่งที่อาจมีเพียงคนผู้เดียวที่กุมความลับนี้เอาไว้!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท