ตอนที่ 325 เหมือนกินศพเด็กเข้าไปเลย
ตอนที่ 325 เหมือนกินศพเด็กเข้าไปเลย
หลินเซี่ยถือโอกาสพูดว่า “แม่คะ ถึงในอนาคตพวกแม่จะไม่มีชะตาได้อยู่ด้วยกัน อย่างน้อยก็ช่วยเขาสักหน่อย ให้เขาได้ฟื้นคืนความทรงจำ แล้วค่อยบอกพ่อให้รู้ว่าหนูมีตัวตนอยู่ ดีไหมคะ? หนูเองก็รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เขาต้องพบเจอมากเหมือนกัน อยากให้เขารู้จริง ๆ ว่าเขายังมีลูกสาวอยู่ตรงนี้ทั้งคน และหวังว่าเขาจะเข้าใจความทุกข์ยากที่แม่ต้องแบกรับเพื่อเขา จิตวิญญาณของทุกคนควรมีจุดหมายปลายทางนะคะ”
หลินเซี่ยมองดูผู้เป็นแม่ และยังคงพูดโน้มน้าวต่อไป “อย่ากังวลเรื่องพี่ชายไปเลยค่ะ แม่ไม่เห็นเหรอว่าเขาก็กระตือรือร้นในเรื่องนี้มากไม่แพ้กัน เซี่ยไห่ถึงกับส่งเขาไปที่บ้านเกิดเราเพื่อรวบรวมรูปถ่ายแล้ว แม่จะยังกังวลอะไรอยู่อีก?”
หลิวกุ้ยอิงคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ยอมตกลงโดยดี “ก็ได้ ถ้าเขาไม่รังเกียจ แม่ก็ยินดีที่จะร่วมมือกับเขาในการเปิดร้านอาหาร แต่แม่ไม่รู้หรอกว่าจะช่วยเขาบริหารจัดการยังไงได้บ้าง ถนัดแต่เป็นลูกมือในครัวเท่านั้น”
“ในแง่ของการจัดการยิ่งไม่ต้องกังวลใหญ่เลยค่ะ มีเซี่ยไห่อยู่ที่นี่ทั้งคน”
หลินเซี่ยรู้สึกประทับใจมาก เธอขยับเข้าไปกอดหลิวกุ้ยอิงพลางพูดว่า “แม่ ขอบคุณมากนะคะ แม่ใจดีที่สุดเลย”
…
ในที่สุดหลินจินซานก็กลับมาหลังจากหายหน้าหายตาไปสี่วัน
หลินจินซานถือกระเป๋าเดินทาง เดินดุ่ม ๆ เข้าไปในร้านตัดผมอย่างรีบร้อน
หลินเยี่ยนเพิ่งจะฝึกเขียนคิ้วเสร็จ ตอนนี้กำลังเรียนเขียนปากทาลิปสติก ถึงอย่างนั้นก็ทำได้เพียงลงงานจริงบนริมฝีปากของตัวเอง หรือวาดริมฝีปากของชุนฟางเท่านั้น
เธอทดลองทามันหลายสิบครั้งต่อวัน ทาแล้วลบใหม่จนริมฝีปากบวมช้ำไปหมด
ทันใดนั้นหลินเยี่ยนที่ทาปากด้วยลิปสติกสีแดงเพลิงก็วิ่งไปหาหลินจินซานเพื่อทักทายเขา “พี่ชาย ในที่สุดพี่ก็กลับมาซะที?”
“โอ้พระเจ้า นี่มันผีดูดเลือดที่ไหนกัน?” หลินจินซานตะโกนลั่นร้านด้วยความตกใจ
หลินเยี่ยนกลอกตามองเขา “ผีดูดเลือดอะไรล่ะ? เขาเรียกว่าลิปสติก พี่ไม่เห็นว่ามันดูดีเมื่ออยู่บนปากฉันเลยเหรอ?”
หลินเยี่ยนเงยหน้าขึ้นและขยับเข้าไปใกล้
หลินจินซานถอยหลังด้วยความรังเกียจ กลัวว่าเธอจะเอารอยลิปสติกแดงสดมาถูกตัว จึงโจมตีเธออย่างไร้ความปรานี “ไม่เห็นจะดูดีตรงไหน เหมือนกินศพเด็กเข้าไปเลย”
หลินจินซานต่อว่าหลินเยี่ยน ทำให้ทุกคนพากันหัวเราะร่วน
อาจารย์หวังยิ้มและพูดว่า “จินซาน ฉันกลับคิดว่าลิปสติกที่หลินเยี่ยนทาค่อนข้างดูดีทีเดียวนะ”
“พี่หวังนี่ให้ท้ายน้องสาวผมเก่งจริง ๆ”
หลินจินซานวางกระเป๋าเดินทางลง ถามหลินเยี่ยนและคนอื่น ๆ “เซี่ยเซี่ยอยู่ไหนเหรอ?”
หลินเยี่ยนตอบกลับ “ทั้งพี่สาวและเถ้าแก่เซี่ยข้ามไปทำอะไรสักอย่างที่ร้านฝั่งตรงข้ามน่ะ”
“ร้านฝั่งตรงข้ามไหนอีกล่ะ?”
ชุนฟางนินทากับเขาว่า “ร้านถังหลิงปิดตัวลงแล้ว เถ้าแก่เซี่ยจัดการเช่าร้านนั้นต่อจากหล่อน ดูเหมือนจะเช่าไว้เปิดร้านอาหารให้พี่ใหญ่ของเขามั้ง”
หลินจินซานสงสัย “ถังหลิงจะไม่กลับมาเปิดร้านแล้วเหรอ?”
“หล่อนหน้าด้านขนาดนั้นก็ดีสิ แม่สามีเอาข้าวของในร้านหล่อนออกมาขายทิ้งไปหมดแล้ว”
หลินจินซานรีบวิ่งไปหาเซี่ยไห่และหลินเซี่ย
ทั้งสองคนเพิ่งเซ็นสัญญากับเจ้าของเสร็จ และกำลังคุยกันว่าจะตกแต่งกับออกแบบภายในกันอย่างไร
เมื่อเห็นการกลับมาของหลินจินซาน ดวงตาของเซี่ยไห่ก็สดใสขึ้น เขาก็ถามอย่างคาดหวังว่า “จินซานกลับมาแล้วเหรอ? นายเจอรูปถ่ายเก่า ๆ บ้างไหม?”
“เจอแล้วครับ ผมเอารูปถ่ายเก่า ๆ ของครอบครัวติดมาด้วยทั้งหมดเลย”
หลินจินซานพูดพลางหยิบรูปถ่ายกองหนึ่งออกมาจากซองจดหมายแล้วส่งให้หลินเซี่ย
หลินเซี่ยแยกรูปถ่ายออกมาวางเป็นกอง ๆ จากนั้นก็มองดูทีละภาพ
“นี่คือพ่อหลินเหรอ?” เธอถามโดยชี้ไปที่ผู้ชายซึ่งอยู่ในรูปถ่ายกลุ่ม
หลินจินซานพยักหน้า “ใช่ พ่อฉันเอง เมื่อก่อนเขาก็ดูดีไม่หยอกเลยว่าไหม?”
คนดีไม่มีอายุยืนยาว
ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ป่านนี้พ่อของเขาคงได้ติดตามลูกชายเข้ามาดูความก้าวหน้าในเมืองเช่นเดียวกัน
“คนไหนคือพี่อิงจื่อ?”
เซี่ยไห่จิ้มไปที่รูปถ่ายของเด็กผู้หญิงไว้ผมเปียแล้วถามว่า “คนนี้เหรอ?”
ปากของหลินจินซานกระตุกเล็กน้อยในขณะที่เขาอธิบาย “หัวหน้า นี่คือเสี่ยวเยี่ยนตอนเด็กครับ”
“ฮ่าฮ่า ฉันเดาผิดไปแยะเลย”
หลินจินซานหยิบรูปถ่ายขาวดำขนาดสองนิ้วออกมา แล้วมอบให้เซี่ยไห่ “นี่คือแม่ผมสมัยสาว ๆ ครับ มีรูปเดี่ยวอยู่แค่รูปเดียว แล้วก็มีรูปรวมของครอบครัวด้วยอีกหนึ่งใบ รูปนี้แม่ผมกำลังอุ้มผมไว้ ส่วนพ่อก็กำลังอุ้มเสิ่นอวี้อิ๋ง ดูสิ ๆ”
เซี่ยไห่มองดูสาวสวยหน้าตาฉลาดเฉลียวในภาพขาวดำนั้น เห็นว่าเธอถักผมเปียสีดำทั้งสองข้าง สมัยสาว ๆ เธอดูสวยมากทีเดียว
เขาพูดว่า “ขอรูปเดี่ยวใบนี้ให้ฉันก็แล้วกัน รูปที่เหลือนายเก็บเอาไว้เองเถอะ”
“จินซาน นายเพิ่งกลับมาก็อย่าลืมพักผ่อนให้เต็มที่ คืนพรุ่งนี้ค่อยกลับมาทำงานตามปกตินะ”
เซี่ยไห่ถือรูปถ่ายและกำลังจะออกไปข้างนอก “ฉันขอกลับบ้านก่อน”
“หัวหน้าครับ แล้วผม…”
หลินจินซานต้องการถามว่าเขาจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือได้รับเงินเดือนเพิ่มตามที่ตกลงกันไว้หรือเปล่า แต่เซี่ยไห่หายตัวไปราวกับสายลมซะแล้ว
เซี่ยไห่ตื่นเต้นมาก หลินเซี่ยจึงล็อกประตู แล้วข้ามฝั่งกลับไปที่ร้านตัดผมพร้อมหลินจินซาน
เธอถามหลินจินชาน
“พี่ชาย หลินเอ้อร์ฝูกับคนอื่น ๆ เจอนายตอนที่นายกลับไปหรือเปล่า?”
“จะไม่เจอได้ยังไงล่ะ?” หลินจินซานโยนกุญแจที่เขาขอมาจากหลิวกุ้ยอิงลงบนพื้นก่อนพูดต่อ “คนพวกนั้นย้ายเข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านของเรา แม่กุญแจอันเดิมหายไปไหนไม่รู้”
“พวกเขางัดประตูเข้าไปเชียวเหรอ?”
หลินจินซานพูดด้วยความโกรธ “ใช่ ได้ยินชาวบ้านเล่าว่าพวกเขาย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านทันทีที่แม่กับเสี่ยวเยี่ยนเก็บข้าวของจากไปด้วยซ้ำ”
“แล้วตอนนี้ล่ะ? นายไล่พวกเขาออกไปรึยัง?” หลินเซี่ยถาม
“ไล่ไปแล้ว” หลินจินชานตอบ “และฉันก็จัดการปล่อยเช่าเรียบร้อยด้วย”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หลินเซี่ยก็ถามด้วยความประหลาดใจ “มีคนเช่าเร็วขนาดนี้เชียว? นายปล่อยเช่าให้ใครกัน? เขามีเงินจ่ายค่าเช่าด้วยเหรอ?”
“เถี่ยจู้จากหมู่บ้านของเราไปทำงานนอกหมู่บ้าน ไม่นานมานี้เขาเพิ่งพาภรรยากลับมาจากในเมือง บ้านหลังเดิมของเขามีพี่น้องอยู่กันหลายคนเกินไป ไม่มีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับพวกเขาสองคน ฉันเลยเสนอบ้านให้เขาเช่าอยู่ไปก่อน ครอบครัวของเถี่ยจู้มีสมาชิกมากมาย ไม่มีใครในหมู่บ้านกล้ายุ่งกับพวกเขาหรอก อย่างน้อยปล่อยให้พวกเขาสองคนเช่า ย่ากับอารองคงไม่กล้ามาก่อปัญหาแน่”
“พูดเรื่องนี้ก็อดโกรธไม่ได้จริงๆ” หลินจินซานสาปแช่งด้วยความโมโห “อารองหน้าซื่อใจคด ฉันพอจะยอมให้ย่าอยู่ในบ้านของเราต่อไปได้ แต่ถ้าอารองกับเมียเขาย้ายมาอยู่ด้วยแล้วจะเกิดอะไรขึ้น? อีกหน่อยฉันก็ต้องพาแฟนกลับไปอยู่บ้านนะ ถ้าบ้านถูกคนอื่นยึดครอง แล้วฉันจะไปอยู่ไหนล่ะ?”
“ตอนแรกอารองปฏิเสธที่จะย้ายออก เขาบอกว่าเป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่ย่าจะอยู่ในบ้านของเรา ไร้ยางอายสิ้นดี เขาเอาชื่อย่ามาอ้างตลอดเลย แต่ความจริงเอาครอบครัวตัวเองเป็นเรือพ่วงรับผลประโยชน์ต่างหาก โชคดีที่วันนั้นลุงเขยอยู่ในหมู่บ้านด้วย ฉันก็เลยพาเขากับผู้ใหญ่บ้านมาช่วยกันข่มขู่กดดัน ในที่สุดก็ไล่พวกเขาออกไปสำเร็จในเช้าของเมื่อวานนี้เอง”
หลังจากได้ยินสิ่งที่หลินจินซานเล่าให้ฟัง หลินเซี่ยก็มองเขาด้วยความชื่นชมและยกนิ้วให้ “พี่ชาย ทำได้ดีมาก นายมีความกล้าขึ้นเยอะเลย”
“นั่นแน่อยู่แล้ว ฉันเป็นลูกชายคนเดียวของครอบครัวนะ บ้านหลังนั้นถือเป็นบ้านของฉันหลังจากพ่อตาย ดังนั้นฉันมีสิทธิ์ขาดในการตัดสินใจ”
ในพื้นที่ชนบท ทรัพย์สินของครอบครัวทั้งหมดจะตกเป็นของลูกชาย หมายความว่าตราบใดที่เขาโตเป็นผู้ใหญ่ เขาจะมีอำนาจ และคำพูดมีน้ำหนักมากที่สุดในครอบครัว
ต่างจากเด็กผู้หญิงตรงที่เมื่อพวกเธอเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ พวกเธอทำได้เพียงรอที่จะแต่งงานกับใครสักคน แล้วกลายเป็นคนนอกของบ้านหลังเดิม
เมื่อหลินเซี่ยกลับมาที่ร้านตัดผม หลินจินซานก็เดินตามเข้ามาด้วยหลินเซี่ย ถามเขาว่า “ทำไมนายไม่กลับบ้านไปอัปเดตสถานการณ์ให้แม่ฟังล่ะ?”
หลินจินซานตอบว่า “ฉันยังมีเรื่องที่ต้องคุยกับน้องเขยน่ะสิ เลยว่าจะรอกลับไปพร้อมเธอหลังจากที่เธอเลิกงานแล้ว และค่อยกลับบ้านทีหลัง”
หลินเซี่ยและคนอื่น ๆ มีงานยุ่งเต็มมือ พอหลินจินซานนั่งอยู่ในร้าน เขาก็เริ่มแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับทักษะการแต่งหน้าของหลินเยี่ยน ทำให้หลินเยี่ยนหมดอารมณ์ที่จะฝึกฝนต่อ
หลินเซี่ยทนฟังความคิดดาษดื่นของหลินจินซานไม่ได้ จึงหาอะไรให้เขาทำ “เอาอย่างนี้ ในเมื่อนายไม่มีอะไรทำ งั้นช่วยออกไปรับหู่จื่อหน่อย ใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว”
“ได้เลย”
หลินจินซานจูงมือหู่จื่อกลับมา จากนั้นก็ไปที่อาคารพักอาศัยในโรงงานพร้อมกับหลินเซี่ยหลังจากเลิกงาน
หลินเยี่ยนกำลังจะแยกกลับบ้าน หลินจินซานพูดว่า “เสี่ยวเยี่ยน ฝากกลับไปบอกแม่หน่อยว่าเดี๋ยวฉันตามไป
“ได้สิ”
เมื่อหลินเซี่ยและหลินจินซานกลับบ้านพร้อมกับหู่จื่อ เฉินเจียเหอยังไม่เลิกงาน
หลินจินซานเริ่มนำสิ่งของออกจากกระเป๋าเดินทางของเขาออกมาวางเรียง
“นี่คือของที่คุณตาโจวและคุณยายโจวฝากมาให้ครับ”
เมื่อหู่จื่อเห็นบางอย่างสีดำ ๆ ในกระเป๋าเขาก็ดีใจมาก พูดว่า “ว้าว ตาทวดของผมส่งพุทราตากแห้งที่ผมชอบมาให้ผมด้วย”
นี่เป็นพุทราดำพันธุ์เก่าแก่ เมื่อผลสุกดี จะมีรสชาติคล้ายกับลูกพลับมาก
หลินเซี่ยล้างพุทราแห้งให้หู่จื่อแล้วพูดว่า “หู่จื่อ กินแต่พอดีนะ ถ้าลูกกินมากเกินไปเดี๋ยวท้องจะผูกจนถ่ายลำบาก
“ได้ฮะ”
เมื่อเฉินเจียเหอกลับมาหลังจากเลิกงาน เขาเห็นหลินจินซานก็รีบทักทายทันทีว่า “พี่เขยกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“ผมกลับมาตั้งแต่ตอนบ่ายแล้ว”
ทุกครั้งที่เฉินเจียเหอเห็นเขา จะทักทายเขาในฐานะพี่เขยอย่างไม่เคอะเขิน กระทั่งหลินจินซานเป็นฝ่ายที่ต้องรู้สึกกระดากอายเสียเอง
น้องเขยคนนี้เป็นช่างวิศวกรเทคนิครายใหญ่ แต่กลับไม่มีความถือตัวเลยสักนิด
หลินเซี่ยพูดกับหลินจินซานว่า “เจียเหอกลับมาแล้ว ทีนี้นายบอกพวกเราได้แล้วล่ะว่ามีเรื่องอะไรจะคุยกับเขา”
“ได้ ฉันจะค่อย ๆ เล่าให้ฟัง” หลินจินซานมองไปที่เฉินเจียเหอด้วยสีหน้าซุบซิบ “สิ่งที่ฉันอยากจะเล่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับเอ้อร์เลิ่งผู้โง่เขลาในหมู่บ้านของเรา หรือเพื่อนที่ดีของนายในหมู่บ้านนั่นแหละ”